บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1339 อ๋องชินเฟิงอันล้อมวังหลวง
ทันใดนั้นหยู่เหวินเห้าก็เอ่ย “หากทำผิด เหตุใดจะขอโทษไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าเป็นโอรสสวรรค์!” ฮ่องเต้หมิงหยวนตวาด
หยู่เหวินเห้าไม่ลดละ “พระองค์เคยขอโทษท่านหญิงฮู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? หากทรงเคยขอโทษกับท่านหญิงฮู่ เช่นนั้นเหตุใดจึงขอโทษท่านแม่ไม่ได้?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนเอามือกดขมับ เอ็นเขียนนูนขึ้นชัด น้ำเสียงเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ “เจ้าอาละวาดพอหรือยัง? เรื่องสนมข้า เจ้าที่เป็นรัชทายาทมาถามได้ตั้งแต่เมื่อไร? ข้าต้องฟังไท่ซ่างหวงแล้วมาฟังเจ้าอีกหรือ? เจ้ายังจำฐานะของตัวเองได้หรือไม่?”
มู่หรูกงกงรีบเข้าไปตักเตือนหยู่เหวินเห้า “พระองค์ อย่าตรัสอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ ระหว่างพระบิดากับโอรสหากมีปากเสียงกันจะทำลายบรรยากาศสมานฉันท์ได้นะพ่ะย่ะค่ะ อย่าตรัสอีกเลย ขออภัยโทษแล้วเสด็จกลับเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”
คำพูดของมู่หรูกงกงดูเหมือนเป็นการตักเตือนหยู่เหวินเห้า แต่ที่จริงก็เตือนฮ่องเต้หมิงหยวนด้วย ด้วยสายสัมพันธ์แห่งพ่อลูก เช่นนั้นการที่ผู้เป็นลูกจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้มารดาเป็นเรื่องธรรมดา จัดการอย่างเรื่องในครอบครัว อย่าได้แบ่งราชากับขุนนางชัดอีก
มู่หรูกงกงปรนนิบัติฮ่องเต้หมิงหยวนมาหลายปี เขารู้จักฮ่องเต้หมิงหยวนดี แล้วไยฮ่องเต้หมิงหยวนจะไม่รู้จักเขา? ดังนั้นความหมายของคำพูดนี้ ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ฟังออกเช่นกัน สงบอารมณ์เล็กน้อย แล้วเอ่ยกับหยู่เหวินเห้า “เจ้ากลับไปก่อน ไว้ข้าจะไปตำหนักฉางเหมิน เจ้าไม่ต้องพูดมากอีก ข้าไม่อยากทำลายบรรยากาศปรองดองพ่อลูกกับเจ้า”
หยู่เหวินเห้าคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ในลำคอเกร็งเล็กน้อย “เสด็จพ่อ หม่อมฉันหรืออยากทำลายบรรยากาศปรองดองกับท่าน? หม่อมฉันแค่เจ็บใจแทนท่านแม่เท่านั้น หลายปีที่นางอยู่กับท่าน ท่านบอกว่านางอ่อนโยนมีเมตตา ไม่แก่งแย่งชิงดี คุณธรรมดีงาม แต่หญิงใดไม่อยากให้สามีอยู่ด้วย? นางกลั้นความอยุติธรรมนี้เพื่อท่าน แม้นท่านไม่ดีกับนางเหมือนอย่างท่านหญิงฮู่ แต่ก็เย็นชืดเกินไปไม่ได้ จะทำร้ายจิตนางนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนโบกมือ “ไปเถอะ!”
หยู่เหวินเห้ารู้ว่าเขาฟังไม่เข้าหู กระทั่งอาจทำให้เกิดความขัดแย้ง เวลานี้เขาพูดต่อไม่ได้จริงๆ หากยังเอาความอีก ก็ต้องทำจนตึงเครียด ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่งาม ทางท่านแม่ก็จะยิ่งรับความลำบาก ยิ่งไม่สบายใจ
ดังนั้นเขาจึงทูลลา
เมื่อเขาจากไป ฮ่องเต้หมิงหยวนปาพู่กันแดงลงพื้นแรง “ข้ายอมให้เขาสามส่วน เขาก็บีบข้าหกส่วน ความหนักแน่นสองปีนี้หายไปไหนหมด อาละวาดคลั่งอย่างกับเมื่อก่อน หากข้าไม่เห็นแก่ไท่ซ่างหวง จะปล่อยให้เขาเหิมเกริมเช่นนี้ได้อย่างไร?”
มู่หรูกงกงเก็บพู่กันแดงขึ้นมาเงียบๆ สองมือประคองกลับ เอ่ยเสียงเบา “ฝ่าบาท ครอบครัวสามัญก็มักมีช่วงเวลาที่พ่อลูกทะเลาะกัน แต่มิต้องคิดแค้นในพระทัยหรอกพ่ะย่ะค่ะ พ่อลูกไม่มีแค้นข้ามคืน!”
“หากเขารู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ข้าก็ไม่ต้องเข้มงวดรุนแรงกับเขาเพียงนี้!” ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าวเย็นชา
มู่หรูกงกงอ้าๆ ปาก นัยน์ตาขรึม สุดท้ายก็ไม่ได้พูดต่อ ที่ฝ่าบาทตรัส ที่จริงก็ไม่อาจโต้แย้ง ราชวงศ์ย่อมเป็นราชาขุนนางก่อนจึงเป็นบิดากับบุตร
แต่หากจะกล่าวกันจริงๆ เช่นนั้นก็ควรเห็นเสมอภาค
ที่จริงมู่หรูกงกงรู้ว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงต้องทำกับรัชทายาทเช่นนี้ ใจจริงเขาก็ไม่ใช่ไม่ชอบหรือไม่ชื่นชมองค์รัชทายาท เขายอมรับความสามารถขององค์รัชทายาท และภูมิใจในตัวเขา แต่เขาคิดว่าองค์รัชทายาทไม่มีบุคลิกที่องค์รัชทายาทควรมี
เพราะฮ่องเต้เคยเป็นองค์รัชทายาทมานานปี เขาเชื่อฟังมา รู้ความตลอด ไม่เคยโต้แย้งไท่ซ่างหวง ทำงานตามไท่ซ่างหวงสั่งเท่านั้น เขาคิดว่ารัชทายาทควรเป็นเช่นนี้
ส่วนเขานอกจากไม่พอใจองค์รัชทายาทในจุดนี้แล้ว ยังเพราะไท่ซ่างหวงให้ความกับรัชทายาทมากเกินไป ชื่นชมถึงที่สุด เขาตัวเองกลับหมายการยอมรับ ความเชื่อมั่นและความชื่นชมจากไท่ซ่างหวงมาตลอด เสียแต่ไม่ได้รับ
เขามีความริษยาองค์รัชทายาทโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นท่าทีถึงได้ผิดปกติ
มู่หรูกงกงเห็นทุกอย่างชัดแจ้ง แต่กลับไม่รู้จะพูดอย่างไร หนำซ้ำยังรู้ว่าพูดไม่ได้
ฮ่องเต้หมิงหยวนกำพู่กันแดง ความหงุดหงิดเกิดขึ้นในใจ และเขาก็ไม่อยากไปหาฮู่เฟยทางนั้น เพิ่งสูญเสียลูก เขาก็เสียใจเช่นกัน ต้องการคนปลอบใจ
หากเป็นเมื่อก่อน ไปนั่งเล่น ดื่มชา พูดคุยกับทางหวงกุ้ยเฟย นางมักรู้เห็นทุกอย่างชัดเจน แม้ไม่อาจแบ่งเบาภาระ แต่ก็ทำให้เขาผ่อนคลายสบายขึ้นได้
บัดนี้นางย้ายไปอยู่ตำหนักฉางเหมินแล้วจริงๆ เห็นชัดว่าไม่พอใจ แม้ไปก็รังแต่ได้ฟังความน้อยใจของนาง ตอนนี้จิตใจว้าวุ่นนัก ไม่อยากเห็นนัยน์ตาตัดพ้อของนางอีก แม้ในใจรู้สึกผิดต่อนางอยู่บ้าง แต่นี่ไม่ใช่เวลาเหมาะ
อยู่นาน เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น “ข้าไม่ได้ไปพบฮองเฮามานานแล้ว”
“ฝ่าบาท ฮองเฮากักบริเวณอยู่พ่ะย่ะค่ะ ท่านโสวฝู่เกิดเรื่องก็ไปเยี่ยมเยียนมิได้ ทรง…จะมีพระกรุณา อนุญาตให้ฮองเฮาเสด็จไปเยี่ยมท่านโสวฝู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” มู่หรูกงกงเอ่ย
“ข้ากักบริเวณนางนานมากแล้ว นางอยากไปก็ไปเถอะ” ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่อยากพบฮองเฮาอีก เมื่อครู่แวบหนึ่ง เขานึกถึงเรื่องราวมากมายในวันวาน อย่างไรก็ไม่มีสายใยสามีภรรยาแล้ว พบนางอีกก็ไม่รู้จะพูดอะไร
“ข้าจะไปเยี่ยมฉินเฟยแล้วกัน” ฮ่องเต้หมิงหยวนลุกขึ้นยืน ตั้งแต่หยู่เหวินจุนตายไป คำพูดที่พูดกับฉินเฟย ห้านิ้วก็นับได้
มู่หรูกงกงชายตาขึ้น อาจหาญเอ่ย “ฝ่าบาท มิสู้ไปตำหนักฉางเหมินสักหน่อยไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนกวาดสายตามองเขาอย่างเย็นชาทีหนึ่ง “คำพูดนี้ ต้องถามฉินเฟยหรือไม่?”
มู่หรูกงกงพลันสะอึก ฝ่าบาทบอกจะไปตำหนักของฉินเฟย แต่เขากลับให้ฝ่าบาทไปตำหนักฉางเหมิน ฉินเฟยไม่แค้นเขาก็แปลกแล้ว
แม้ฝันฉินเฟยก็คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ยังจะมาหานาง
ขณะที่คำว่า ‘ฝ่าบาทเสด็จ’ แว่วเข้ามาในตำหนัก ฉินเฟยก็ตื่นเต้นทันที จากนั้นก็วิ่งออกมาอย่างล้มลุกคลุกคลาน เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้มาจริง น้ำตาทั้งสองสายก็ไหลพราก ริมฝีปากสั่นระริก เอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ฝันไปกระมังเพคะ?”
ความลุ่มหลงและนับถือที่ฉินเฟยมีต่อเขา ทำให้ฮ่องเต้หมิงหยวนที่คับข้องใจได้รับการปลอบ เวลานี้ เขาต้องการคนเคารพเขาเป็นโอรสสวรรค์เหลือเกิน
นอกเมืองหลวงมีการเคลื่อนไหวของการทหาร แม่ทัพแต่ละค่ายได้รับคำสั่ง ดังนั้นจึงรวมตัวกันอยู่นอกเมืองคืนนั้น จากนั้นกองทัพใหญ่ก็ย่างเข้าในเมือง ผู้นำกำลังพลคืออ๋องชินเฟิงอันสองสามีภรรยา แล้วยังมีแม่ทัพเก่าในกองทัพจำนวนหนึ่งติดตามมาด้วย ทหารประตูเมืองไม่กล้าขัดขวาง เพียงแต่ส่งคนไปรายงานที่กรมทหารกับกรมการพระนคร
เวลานี้รัชทายาทคุมกรมทหาร อ๋องฉีคุมกรมการพระนคร เมื่อรู้ว่าอ๋องชินเฟิงอันนำกองทัพเข้าเมืองก็ตะลึงงันทันที
อ๋องฉีขี่ม้ามาด้วยตนเอง พาทหารเม็ดเบี้ยของกรมการพระนครมาด้วย มิใช่กรมการพระนครจะกระจอกเช่นนี้ แต่หากเทียบกับกลุ่มองครักษ์ของอ๋องชินเฟิงอัน คนของกรมการพระนครก็ดั่งไก่อ่อน
ดังนั้นภายใต้ความแตกต่างเด่นชัด แทบไม่มีความเป็นไปได้ที่จะทัดทาน หลังจากฟ้ามืดแล้ว คนของอ๋องชินเฟิงอันก็ล้อมวังหลวงอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดนี้แทบไม่ให้สุ้มให้เสียง กระทั่งคนภายนอกไม่อาจเข้าวังรายงาน
กระทั่งทหารรักษาพระองค์พบการล้อมขององครักษ์ ขณะคิดจะไปรายงานฮ่องเต้หมิงหยวนอย่างเร่งด่วน อ๋องชินเฟิงอันก็เข้าวังมาแล้ว จากนั้นก็ไม่รู้ไปที่ใด ส่วนทหารรักษาพระองค์ทั้งหมดก็ถูกกุมตัวแบบสองต่อหนึ่งด้วย ไม่อาจเคลื่อนไหว
พระชายาอ๋องชินเฟิงอันขึ้นหน้าเอ่ยกับกู้ซือ “อย่าต่อต้านอย่างไร้ความหมาย มิใช่จะบีบให้สละราชสมบัติ พวกเจ้ารออยู่เงียบๆ เถอะ”
กู้ซือตกใจและฉงนใจ แต่ทหารรักษาพระองค์ถูกกุมตัวหมดแล้ว และเขาก็คงไม่ใช่คู่ประของพระชายาอ๋องชินเฟิงอัน ดังนั้นจึงได้แต่อยู่เฉยรอดูการเปลี่ยนแปลง