บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1346 ความตั้งใจเริ่มแรกของพวกเรา
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1346 ความตั้งใจเริ่มแรกของพวกเรา
หรงเยว่เอามือทาบหน้าผากพร้อมพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้รอง เรื่องการแต่งงานของคนอื่น เจ้าจะไปเป็นห่วงทำไม?”
พระชายาซุนพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “ไม่ควรที่จะพูดเช่นนี้ ยังไงตอนนี้เขาก็เป็นถึงโสวฝู่แล้ว อย่าว่าแต่เรื่องการแต่งงานของเขา แม้แต่เรื่องการอยู่การกิน ควรใส่ใจก็ยังต้องใส่ใจ”
ฮูหยินเหยาหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องสนใจนาง นางว่างจัด”
พระชายาซุนว่างมากไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เมิ่งถงโตบ้างแล้ว ไม่ติดนางแล้ว เรื่องงานในจวนเป็นเรื่องง่าย ไม่มีสนมให้ต้องต่อสู้ อ๋องซุนก็ยุ่งกับการทำงาน และก็ยังทำได้ไม่เลว ตอนนี้สิ่งที่นางตื่นขึ้นมาแล้วเป็นกังวลในทุกวันก็คือ จะผ่านพ้นวันนี้ไปอย่างมีคุณภาพยังไง
พระชายาซุนพูดขึ้นอย่างโศกเศร้าว่า “ว่างมากจริงๆ อยากที่จะหาอะไรทำบ้าง”
“หากเจ้าว่างมากจริงๆ ก็ไปช่วยจิ้งเหอสิ ทางด้านนางยุ่งเหมือนอย่างกับทำศึกทุกวัน” ฮูหยินเหยาพูดขึ้น ช่วงนี้นางช่วยงานอยู่ทางนั้น วันนี้เหนื่อยอย่างมากจริงๆ อยากมาหาทุกคน เดิมจิ้งเหอยังไม่ยอมมา ไม่วางใจลูก แต่ถูกนางลากมา
“ใช่ พี่สะใภ้รอง หากเจ้าว่างไม่มีอะไรทำ ไปช่วยข้าเลี้ยงลูกสิ” จิ้งเหอหัวเราะพร้อมพูดขึ้น ตั้งแต่มีลูกแล้ว มีสิ่งที่ผูกพันแล้ว คนทั้งคนก็เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา แต่สีหน้ายังค่อนข้างแย่ เห็นได้ชัดว่านอนไม่อิ่ม ไม่น่าแปลก คุณแม่ลูกอ่อนล้วนได้นอนน้อยอยู่แล้ว
พระชายาซุนพูดขึ้นว่า “ดี ข้าจะไปพรุ่งนี้เลย”
แต่ก็กลับไม่ค่อยดีใจ ใช่ว่านางไม่ชอบเด็ก แต่ยังไงก็เป็นลูกของจิ้งเหอ กลัวว่าหลังจากตนเองเลี้ยงไปสักพักแล้ว เกิดรักชอบขึ้นมา แล้วพบว่าไม่ใช่ลูกของตนเอง ในใจจะเป็นทุกข์
นางหันไปมองพระชายาอาน พร้อมถามขึ้นว่า “พวกเจ้าจะออกเดินทางไปจวนเจียงเป่ยเมื่อไหร่?”
พระชายาอานพูดขึ้นว่า “วันสองวันนี้แล้ว อาการบาดเจ็บของท่านอ๋องดีขึ้นมากแล้ว ดังนั้นวันนี้ที่ข้ามาก็เพื่อลาทุกคนด้วย”
พระชายาซุนอืมหนึ่งที พร้อมพูดขึ้นว่า “จะไปเร็วขนาดนี้แล้วหรือ? ไม่อยู่อีกนานหน่อยล่ะ? ตอนนี้เจ้าสี่ยังบาดเจ็บอยู่ เสด็จพ่อไม่ไล่เขาไปแน่ อยู่ได้นานหน่อยก็อยู่ต่อไปอีกสักพักสิ”
“เดินทางไปพร้อมกับเจ้าสาม จะได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน” พระชายาอานพูดขึ้น
ทุกคนได้ยินเช่นนี้แล้ว ต่างก็หันไปมองจิ้งเหอ
จิ้งเหอพูดขึ้นว่า “ขออวยพรให้พวกเจ้าเดินทางปลอดภัยก่อน มีเวลาก็กลับมาเยี่ยมพวกเราที่เมืองหลวงนะ”
“แน่นอน” พระชายาอานพูดขึ้น
พระชายาซุนถามขึ้นว่า “แขนของเจ้าสี่นั้น ไปหาอ๋องสำเร็จราชการแทนพระองค์ที่แคว้นต้าโจวต่อให้ได้ไหม? เป็นแขนเหล็กเหมือนอย่างเจ้าสามก็ยังดี ยังไงก็ดีกว่าพิการ”
พระชายาอานส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “เขาบอกว่าไม่ไปแล้ว ข้าก็เห็นว่าไปไม่ไปก็ไม่เป็นไร ไม่มีแขนหนึ่งข้าง จะได้มีชีวิตอย่างสบายหน่อย”
พระชายาซุนดูเหมือนจะลืมเรื่องที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดตอนที่อยู่เซียนเปยไปแล้ว นางมีนิสัยพูดตรงไปตรงมาก็เป็นเรื่องดี จำเรื่องเคียดแค้นไว้ ในใจของตนเองก็ไม่มีความสุข
แผนการชั่วร้ายในการแย่งชิงตำแหน่งว่าที่กษัตริย์ในตอนนั้น ดูแล้วก็ค่อยๆไกลห่างไปแล้ว
จิ้งเหอพูดคุยอยู่ไม่นาน ก็บอกว่าจะกลับแล้ว ไม่ค่อยวางใจลูกจริงๆ บอกว่าลูกไม่ค่อยสบาย ต้องกลับไปดูเสียหน่อย
ฮูหยินเหยาจึงนางกลับไป พร้อมทั้งพาพระชายาซุนไปด้วย บังคับให้นางไปช่วยดูแลเด็ก นางจะได้ไม่ออกไปยุ่งเรื่องแต่งงานของใต้เท้าเหลิ่ง
หยวนหย่งอี้กับหรงเยว่ยังไม่ยอมกลับ สามีดื่มเหล้าอยู่ข้างนอก พวกนางคุยกันอยู่ที่นี่ ก็ถือเป็นเรื่องดี
“ท่านฉู่อาการเป็นอย่างไรบ้าง?” หรงเยว่ถามหยวนชิงหลิง
“ตาบอดแล้ว ส่วนจะมีอาการอย่างอื่นแทรกซ้อนในภายหลังหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่รู้ หวังว่าจะไม่เป็นไร” หยวนชิงหลิงถอนหายใจ
หยวนหย่งอี้พูดขึ้นว่า “ข้าได้ยินเจ้าเจ็ดพูดว่า เขามีคำสั่งห้ามคนตระกูลฉู่ เข้ารับตำแหน่งขุนนาง การสอบคัดเลือกขุนนางก็ห้ามสอบ เหมือนการกระทำของซูกั๋วกงซูชางเย๋ในตอนนั้น”
“เขาแค่ไม่อยากมีความกังวลในภายหลัง คนตระกูลฉู่บางคน มีความเลวอยู่ในกระดูก” หรงเยว่พูดขึ้น
ตระกูลฉู่สมัยก่อนโสวฝู่ มีชื่อเสียงที่ไม่ดีจริง มีข่าวฉาวโฉ่เอารัดเอาเปรียบ ตอนนั้นฉู่หวนพ่อของโสวฝู่ฉู่ ยังเคยคิดอยากที่จะครอบครองตำแหน่งฮ่องเต้ แต่เสียดาย มีจุดจบอย่างน่าเวทนา
ความทะเยอทะยานที่มีอยู่ในกระดูกเช่นนี้ น่าจะมีอยู่ในสายเลือด ดังนั้นโสวฝู่จึงมีคำสั่งเช่นนี้ แต่เป็นการป้องกันสิ่งนี้
หยวนหย่งอี้หันไปมองหน้าประตูแล้วถามขึ้นว่า “อะซี่ล่ะ? วันนี้ทำไมถึงไม่เห็นอะซี่?”
“ไปเที่ยวซื้อของกับแม่นมฉีแล้ว บอกว่าอยากซื้อผ้าเนื้อดีสักหลายผืน เอามาทำเสื้อผ้า รอเมื่อคลอดลูกแล้วจะได้ใส่” หยวนชิงหลิงพูดขึ้น
หลังจากอะซี่ตั้งครรภ์ ท้องโตขึ้นอย่างมาก หลังจากคลอดลูกแล้วจะต้องไม่สามารถใส่เสื้อผ้าพวกนี้อีกแน่ ดังนั้นจึงต้องรีบทำชุดใหม่
“ต้องไปด้วยตนเองด้วยหรือ? เรียกมาที่บ้านสักคนก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ? นางออกไปชนโน่นนี่นั่น ไม่สนใจว่าตนเองเป็นคนที่กำลังตั้งครรภ์อยู่” หยวนหย่งอี้ไม่วางใจอะซี่เลย มักคิดว่านางยังเป็นน้องสาวที่มีนิสัยวู่วามเหมือนเมื่อก่อน
“นางรู้จักระวัง นอนรักษาครรภ์ในช่วงก่อน ทำให้นางเบื่อจะแย่แล้ว ให้นางออกไปเดินเล่นบ้าง ตอนนี้อะซี่โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากแล้ว”
ตอนที่หยวนชิงหลิงพูดประโยคนี้ ในใจรู้สึกเศร้าเล็กน้อย ไม่เพียงอะซี่ที่โตแล้ว ทุกคนต่างเติบโตแล้ว เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากแล้ว แม้แต่หรงเยว่ก็ไม่เฉียบคมเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ส่วนหยวนหย่งอี้ตอนนี้ก็เป็นแม่คนแล้ว ดูแน่นิ่งกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก ค่อยมีลักษณะของการเป็นชายาอ๋องฉินแล้ว
ทุกคนต่างล้วนเติบโต ทุกคนต่างล้วนเปลี่ยนแปลง นางล่ะ?
ภพหน้ากับตอนนี้ นางเป็นเหมือนดั่งสองคน ไม่รู้ว่าได้หรือสูญเสีย ต่างสถานการณ์ต่างอารมณ์ อย่างน้อยสามารถมั่นใจได้ว่า ในใจของนางไม่คิดถึงเรื่องวิจัย แต่ก็ไม่ได้ปล่อยทิ้งทั้งหมด ยังไงในเรื่องด้านการแพทย์ยังมีอะไรให้ทำเยอะแยะ เป็นความตั้งใจที่นางคิดตั้งมั่นมาตั้งแต่เด็ก
นางไม่ใช่ดอกเตอร์หยวนแล้ว แต่นางยังเป็นดอกเตอร์หยวน ฟังดูแล้วค่อนข้างสับสน แต่นางรู้ตัวเอง
นางมองดูหยวนหย่งอี้ พร้อมถามขึ้นว่า “เมื่อก่อนเจ้าเคยพูดว่า อยากไปท่องเที่ยวรอบประเทศเป่ยถัง ตอนนี้ล่ะ? ปล่อยวางความฝันนี้หรือยัง?”
หยวนหย่งอี้เองก็อึ้งไปสักพัก สายตาค่อยๆเปลี่ยนไปอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ ไม่ปล่อยวาง แต่ว่าตอนนี้พี่หญิงเป่าต้องการข้าดูแล ข้ามีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ จะเอาแต่ใจจะไปก็ไปเลยไม่ได้ รอพี่หญิงเป่าเติบโตแล้ว บางทีวันไหนสักวันข้าอาจจะเก็บของแล้วออกเดินทางไปเลย หากข้าไม่ได้ออกไปบ้าง ชั่วชีวิตนี้ข้าต้องเสียใจแน่”
หยวนชิงหลิงฟังแล้ว มองดูสายตาเป็นประกายของนางอย่างตื่นเต้น แล้วหันไปถามหรงเยว่ว่า “หรงเยว่ เจ้าล่ะ? สิ่งที่เจ้าอยากทำมากที่สุด ทำแล้วหรือยัง?”
หรงเยว่หัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ฝันที่ยิ่งใหญ่ของข้าก็คือ ได้เจอผู้ชายที่ถูกใจ ได้อยู่กับคนที่รักไปตลอดชีวิต ข้าสมหวังแล้ว ไม่มีเสียดายอะไรแล้ว”
เมื่อก่อนหรงเยว่มีชีวิตท่ามกลางการนองเลือด ต้องการชีวิตที่สงบสุข ไม่ถือว่าน่าแปลกเลยสักนิด ใช่ ตอนนี้นางสมหวังแล้ว มีคนที่รัก ยังกำลังตั้งครรภ์อยู่ ชีวิตในอนาคตเห็นได้ชัดว่าจะเป็นไปอย่างสดใส นางจะมีอะไรต้องเสียใจ?
“พี่หยวน เจ้าล่ะ? เจ้ามีอะไรที่อยากทำไหม?” หยวนหย่งอี้ถามนาง
หยวนชิงหลิงนิ่งอยู่ในภวังค์ เวลาได้ทิ้งร่องรอยไว้ในใจของนาง แต่มีบางอย่างที่ยิ่งอยู่ยิ่งค่อนข้างชัดเจน นางพูดขึ้นว่า “เมื่อก่อนข้าอยากทำวิจัยรักษาโรคมะเร็ง….ยารักษาโรคระยะสุดท้าย ต่อมาข้าไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมถึงไปทำวิจัยยาอีกอย่างหนึ่ง ตอนนี้กลับไปหวนคิด ต้องยอมรับว่าข้าค่อนข้างไร้สาระ มักคิดอยากทำอะไรที่คนอื่นทำไม่ได้ ท้าทายสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ที่จริงต่อให้ข้าทำวิจัยออกมาได้ ก็ไม่มีผลดีอะไรต่อมนุษย์ แต่ข้าในตอนนั้น กลับไม่คิดเช่นนี้”
หากนางยังสามารถกลับไปยังศูนย์วิจัย นางจะเปลี่ยนอีกทิศทางหนึ่ง ทำการวิจัยยาที่สามารถช่วยคนได้จริงๆ