บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1354 อุปนิสัยฟุ่มเฟือย
ทังหยางยังไม่ทันไปถามอ๋องฉี วันนี้อ๋องซุนก็มาหาหยวนชิงหลิงอย่างร้อนรน
ในที่สุดเขาก็ยอมพูดความจริงว่า ตนเองอาจจะป่วยเป็นโรคนั้น ให้หยวนชิงหลิงสั่งยาให้เขา
หยวนชิงหลิงได้ยินเช่นนี้ แล้วก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี พี่สะใภ้รองพูดว่าเขาไม่อย่างนั้นไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงไม่ควบคุมตนเอง? ในใจเกิดความโมโห แต่จะไม่สนใจก็ไม่ได้ จึงถามขึ้นด้วยเสียงเย็นชาว่า “งั้นตอนนี้เจ้ามีอาการยังไงบ้าง?”
“ยัง ยังไม่มีอะไร” อ๋องซุนก้มหน้าก้มตาลง ยอมรับความโกรธเคืองของหยวนชิงหลิง
หยวนชิงหลิงจ้องมองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “งั้นทำไมเจ้าถึงพูดว่าเจ้าป่วย? เพราะผู้หญิงที่เซ่าชิงคนนั้นเคยแตะต้อง เจ้าก็เคยแตะต้อง? ทำไมเจ้าถึง….เฮ้อ พวกเจ้าเรียกหอนางโลมรับรองมา ก็ไม่ได้เรียกมาคนเดียว ทำไมจะต้องใช้ผู้หญิงคนเดียวกัน?”
อ๋องซุนเงยหน้าขึ้น พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าไม่เคยมีอะไรกับพวกนาง เพียงแต่ข้าเคยแช่อ่างร่วมกับอู๋เซ่าชิง โรคนี้ข้าเคยถามหมอหลวงแล้ว หมอหลวงบอกว่า หากเคยแช่อ่างด้วยกัน ก็สามารถติดกันได้”
หยวนชิงหลิงได้ยินเช่นนี้แล้ว ในใจค่อยโล่งอก พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ได้มีอะไรกับพวกนาง? เพียงแค่เคยแช่อ่างกับอู๋เซ่าชิง?”
“วันนั้นที่มาหาเจ้า ก็เพราะอู๋เซ่าชิงบอกข้าว่าเขาติดโรคนั้น ข้าค่อยคิดขึ้นมาได้ว่าเคยแช่อ่างร่วมกับเขามาหลายครั้ง โรคนี้สามารถติดต่อกันได้ ดังนั้นข้าจึงรีบมาหาเจ้า คิดว่าเจ้าตรวจจับชีพจรก็รู้ว่าข้าติดโรคหรือเปล่า ตอนนี้อู๋เซ่าชิงตายแล้ว โรคนี้…..เฮ้อ สองวันนี้ข้ารู้สึกไม่สบายตัว แต่ให้บอกว่าอาการเป็นอย่างไร ก็ไม่เห็นจะมี แต่ก็ต้องป้องกันไว้ก่อน” เขาพูดพร้อมกับมองดูหยวนชิงหลิง แล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้เจ้าห้ามบอกพี่สะใภ้รองของเจ้า นางคงร้องไห้แย่แน่”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “ข้าไม่บอก งั้นตอนนี้เจ้าไม่มีอาการอะไร ไม่สามารถบอกได้ว่าติดโรคไหม และแค่แช่อ่างอาบน้ำด้วยกัน ไม่ได้ใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกัน…ไหม?”
สีหน้าอ๋องซุนขาวซีด พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช้”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างโกรธจัดว่า “เจ้าทำไมถึงไม่ระวังขนาดนี้? ผ้าเช็ดตัวสามารถใช้ร่วมกันได้หรือ?”
“ไอร้อนหนาขนาดนั้น จะแยกออกได้อย่างไรว่าผืนไหนคือของข้า ผืนไหนคือของเขา แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะเป็นโรคเช่นนี้? ข้าถูกเขาทำร้ายแย่แล้วจริงๆ ดื่มเหล้าก็ดื่มเหล้าสิ ทำไมจะต้องเรียกผู้หญิงพวกนั้นมา? รังเกียจที่สุด” อ๋องซุนพูดขึ้นอยากเกลียดชัง
หยวนชิงหลิงเห็นสีหน้าเขาขาวซีด หวาดหวั่นทำอะไรไม่ถูก จึงพูดปลอบขึ้นว่า “เจ้าอย่าเพิ่งเป็นกังวล ใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวกันก็อาจจะไม่ติด ขุนนางศาสหงหรูของพวกเจ้า มักดื่มเหล้าด้วยกันบ่อยหรือ? ทุกครั้งล้วนเรียกพวกผู้หญิงของหน่วยงานเลี้ยงรับรองมาหรือ?”
“หากมีงานเลี้ยง ก็จะเรียกทุกครั้ง หากพวกเราดื่มกันเป็นการส่วนตัว ข้าจะไม่อนุญาตให้เรียกมา” อ๋องซุนพูดขึ้น
หยวนชิงหลิงคิดไปคิดมา แล้วก็ถามขึ้นว่า “งั้นขุนนางคนอื่นก็สามารถเรียกผู้หญิงของหน่วยงานเลี้ยงรับรองมาหรือ?”
อ๋องซุนพูดขึ้นว่า “ส่วนมากใช่ เพราะยังไงก็ไม่แพง และยังสามารถร่วมดื่มเหล้าได้อย่างคึกคัก ร้องเพลงดีดพิณ จัดงานเลี้ยงกันส่วนตัว ก็มีขุนนางส่วนมากเรียกมา แต่ว่าหลังจากดื่มเหล้าแล้ว ได้มีการร่วมประเวณีหรือไม่ ข้าไม่รู้”
หยวนชิงหลิงฟังแล้ว ก็ให้เขากลับไปก่อน แนะนำสิ่งที่ต้องระวัง จากนั้นก็ตามทังหยางมาถามถึงสถานการณ์
สิ่งที่นางเป็นกังวลก็คือ โรคนี้ไม่ได้ติดเพียงแค่ขุนนางเพียงคนเดียวแน่ แต่ไม่ใช่ว่าคนที่ติดโรคทุกคนจะเป็นเหมือนอู๋เซ่าชิงแบบนั้น รู้จักละอายใจ แล้วก็แขวนคอฆ่าตัวตาย
บางทีพวกเขาจะแอบรักษา หรือบางทีอาการยังไม่แสดงออกมา จึงเถลไถลต่อไป
หากในเหล่าขุนนาง ต่างติดโรคนี้ เป่ยถังก็จะ….ยากที่จะบรรยาย เจ้าห้าคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่
ที่จริง เหล่าขุนนางก็ต้องได้รับการจัดการเปลี่ยนแปลง ช่วงเวลาที่โสวฝู่เกษียณลงมา ปัญหาภายในและภายนอก ละเลยการตรวจสอบขุนนาง และตอนนี้ได้ชัยชนะจากการศึก ประเทศสงบสุข ความฟุ่มเฟือยค่อยๆปรากฏขึ้น หากหลังจากเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายแล้วค่อยจัดการ สำหรับราชสำนักถือเป็นความเจ็บปวดอย่างยิ่ง
ทังหยางพูดกับนางว่า “หญิงงามส่วนมากในหอนางโลมรับรองเป็นบุตรผู้ต้องโทษ หลังจากได้เข้าไปในหน่วยงานเลี้ยงรับรอง ถือว่าดีแล้ว เมื่อเข้าบัญชีโสเภณีก็จะไม่สามารถไถ่ตัว นอกจากฮ่องเต้อภัยโทษ และเป่ยถังมีบทบัญญัติ ไม่อนุญาตให้ขุนนางเข้าโรงประเวณีทั่วไป ไปได้เพียงในหอนางโลมหน่วยงานเลี้ยงรับรองของราชสำนัก รายได้จากหอนางโลมก็นำเข้ากองคลัง เพราะเหตุนี้ ราชสำนักจึงไม่ค่อยควบคุม”
“งั้นราชสำนักไม่ได้จัดให้มีการตรวจสุภาพพวกนางเป็นประจำหรือ?”
“ปกติไม่มี ในหน่วยงานเลี้ยงรับรองมีคนคอยตรวจร่างกายพวกนางโดยเฉพาะ หากพบว่าติดโรค ก็จะถูกส่งไปทำงานสถานหนัก ไม่ให้รับแขกอีก”
“ตอนที่พบว่าติดโรค คงมีการติดเชื้อไปทั่วแล้ว” หยวนชิงหลิงขมวดคิ้วพูดขึ้น
ทังหยางพูดขึ้นว่า “นี่ก็เพราะไม่รู้จะทำยังไง คนที่ติดโรคนี้น่าจะเป็นผู้หญิงในหอนางโลม หน่วยงานเลี้ยงรับรองซ้ายเป็นหน่วยร้องเพลง หน่วยงานเลี้ยงรับรองขวาเป็นหน่วยเต้นรำ มีเพียงหอนางโลมนี้ มีไว้คอยรับแขก แน่นอน ที่จริงก็ไม่ได้เข้มงวด หากพวกขุนนางพอใจ ก็ถามความยินยอมของหน่วยงานเลี้ยงรับรองซ้ายขวาก็ได้แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องเป็นหอนางโลมเท่านั้น ดังนั้น โรคนี้จึงอาจไม่ใช่ติดมาจากในหอนางโลม”
หยวนชิงหลิงไม่รู้จะพูดอย่างไรดี แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในทันที จึงพูดขึ้นว่า “เจ้าไปจัดหมอหญิงตรวจร่างกายให้กับพวกนาง คนที่ติดโรค ล้วนต้องเข้ารับการรักษา ข้าก็จะแจ้งเรื่องนี้ให้ฮูหยินใหญ่ทราบเรื่อง ให้ขุนนางที่เคยไปใช้บริการผู้หญิงหอนางโลมในช่วงนี้ไปตรวจร่างกายที่โรงหมอหุ้ยหมิง”
ทังหยางส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “คงไม่มีขุนนางคนไหนยอมไปตรวจ ถึงแม้การไปใช้บริการผู้หญิงหอนางโลมไม่ถือว่าเป็นความลับ แต่มีประโยคหนึ่งพูดถูก ยอมให้มีคนรู้แต่ไม่ยอมให้ใครเห็น หากเข้ารับการรักษาจริง เท่ากับเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่าพวกเขากระทำชั่วหรือไม่? ใครจะไม่รักษาหน้าตนเองล่ะ?”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ต้องรักษาหน้าก็ไม่ต้องไปทำเรื่องแบบนี้สิ ผู้หญิงในหน่วยงานเลี้ยงรับรอง ก็ไม่ใช่มีไว้ให้พวกเราใช้เล่นร่วมกัน ตามผู้หญิงหน่วยงานเลี้ยงรับรองซ้ายขวามาร้องเพลงดีดพิณไม่พอหรือ? ทำไมจะต้องทำแบบนั้น?”
ทังหยางพูดเรื่องพวกนี้กับหยวนชิงหลิง ก็รู้สึกค่อนข้างลำบากใจ จึงถอนหายใจพร้อมพูดขึ้นว่า “หน่วยงานเลี้ยงรับรองนี้ ยังไงก็ต้องมีมาตรการเข้มงวดขึ้น”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “ช่างเถอะ เรื่องพวกนี้ ข้าไม่เหมาะที่จะเข้าไปยุ่ง ตอนนี้เจ้ากรมพิธีการเป็นคนดูแลหน่วยงานเลี้ยงรับรองหรือ?”
“ไม่ใช่ กรมดนตรีในวังเป็นคนดูแล เมื่อก่อนหน่วยงานเลี้ยงรับรองรับผิดชอบเฉพาะการร้องและการเต้นเท่านั้น ต่อมาค่อยๆรวมเป็นอันเดียวกับหอนางโลม กรมดนตรีจึงหลับหูหลับตาบ้าง ยังไงก็มีเงินจำนวนมากเข้าบัญชีทุกปี ทางด้านฮ่องเต้ก็รับทราบแล้ว ใครจะไปสนใจอะไรอีก? ยังไงใครก็ไม่อยากมีปัญหากับขุนนางพวกนั้น”
หยวนชิงหลิงฟังจนหัวโต ไม่อยากที่จะเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ จึงให้ทังหยางไปปรึกษากับขุนนางในตำหนักบูรพาตงกง ดูสิว่าจะทำอย่างไรดี
ทังหยางตรงไปรายงานเหลิ่งจิ้งเหยียน เหลิ่งจิ้งเหยียนฟังเรื่องพวกนี้แล้ว ก็หัวเราะอย่างแดกดัน เพราะเรื่องทางด้านนี้ ปกติเขาไม่เคยสนใจถาม และราชสำนักก็ดูแลควบคุมจัดการหน่วยงานเลี้ยงรับรองอย่างหละหลวมมาก
แต่ใครจะไปคิด โรคนี้จะทำลายสภาวะการใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยนี้หรือไม่?
เขาสั่งคนไปสืบ ปกติอู๋เซ่าชิงกับขุนนางพวกนั้นที่ไปร่วมดื่มกินกัน เมื่อสืบดูที่ไหนได้ ถูกขุดออกมาเป็นเหมือนดั่งพวงองุ่น ขุนนางเล็กใหญ่ในเมืองหลวง ตอนนี้นิยมเรียกผู้หญิงในหอนางโลมมาร่วมสนุก ส่วนคนร้องรำของหน่วยงานเลี้ยงรับรองมีคนเรียกใช้บริการน้อยมาก กรมดนตรีกับหน่วยงานเลี้ยงรับรองก็ไม่ค่อยสนใจ ขอให้มีเงินมาก็พอ
เมื่อเป็นเช่นนี้ โรคนี้ไม่ติดแค่คนเดียวแน่