บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1355 สืบมาถึงองค์ชายรัชทายาท
เหลิ่งจิ้งเหยียนจึงต้องไปหาท่านย่าหยวน ให้หมอหญิงของโรงหมอหุ้ยหมิงไปช่วยตรวจร่างกายให้กับผู้หญิงในหอนางโลม ดูว่ามีผู้ติดเชื้อกี่คน
นี่ก็เป็นความตั้งใจเดิมของหยวนชิงหลิง ยังไงจะตรวจขุนนางพวกนั้น คงมีไม่กี่คนที่ให้ความร่วมมือ พวกเขายอมที่จะไปหาหมอข้างนอกรักษาเป็นการส่วนตัว
เมื่อตรวจเช่นนี้แล้ว ท่านย่าหยวนแทบอยากที่จะกลั้นลมหายใจ
ในหอนางโลมตรวจเจอผู้หญิงที่ติดโรคยี่สิบกว่าคน และผู้หญิงยี่สิบกว่าคนนี้ต่างก็มีอาการแล้ว เพียงแต่ซื้อยาจากในตลาดมาแช่เอง
ใต้เท้าเหลิ่งไม่คิดเลยว่า หลังจากที่ตนเองเพิ่งรับตำแหน่ง เรื่องแรกที่ตนเองต้องทำ ก็คือสืบสวนขุนนางที่ติดโรคแบบนี้
ตามหลักทางด้านหน่วยงานเลี้ยงรับรองก็มีบันทึกว่า พวกผู้หญิงเคยดูแลขุนนางคนไหนบ้าง ต่างมีบันทึกไว้อย่างละเอียด ไปหาตามที่บันทึกไว้ก็สามารถสืบรู้ได้
แต่ทางด้านหน่วยงานเลี้ยงรับรองกลับถูกไฟไหม้ รายการบันทึกถูกไฟเผาหมด ไม่สามารถสืบต่อไปได้ ทำได้เพียงถามพวกผู้หญิงพวกนั้น แต่ผู้หญิงพวกนั้นกลับเหมือนเตรียมกันไว้แต่แรกแล้ว ต่างพูดเหมือนกันว่าไม่รู้จักสถานะของขุนนางพวกนั้น
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้สืบหรือไม่สืบก็ไม่สำคัญแล้ว ในที่ว่าราชการเช้า เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดตำหนิประณามอย่างรุนแรง ให้ขุนนางที่เคยเรียกใช้บริการผู้หญิงในหอนางโลมไปตรวจร่างกาย หากติดโรค จะต้องเข้ารับการรักษา
หลังจากเหลิ่งจิ้งเหยียนประณาม ในที่ว่าราชการต่างไม่มีใครกล้าโต้เถียง ขุนนางส่วนใหญ่ต่างออกมาร่วมเห็นด้วยกับคำเสนอแนะของเขา เหมือนคนที่ร่วมเห็นด้วยกับคำพูดของใต้เท้าเหลิ่ง ตนเองก็ไม่เคยไปหาผู้หญิงในที่แบบนั้น
เดิมเรื่องนี้ควรที่จะจบแบบนี้แล้ว แต่กลับมีผู้หญิงของหอนางโลมคนหนึ่ง บอกคนที่เหลิ่งจิ้งเหยียนส่งไปสืบสวนว่า แม่นางจุ้ยเยว่หญิงงามในหอนางโลมเคยดูแลองค์ชายรัชทายาท และไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
เกี่ยวข้องกับองค์ชายรัชทายาท เจ้าหน้าที่ที่สืบสวนจึงกลับมาบอกเหลิ่งจิ้งเหยียน เหลิ่งจิ้งเหยียนไม่เชื่ออยู่แล้ว ใช่ว่าองค์ชายรัชทายาทสูงส่งอะไร แต่เรื่องที่ต้องใช้เงิน องค์ชายรัชทายาทไม่มีทางทำ
แต่เพราะตอนที่ถามก็ต้องมีคนอื่นอยู่ด้วย เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงขององค์ชายรัชทายาท เหลิ่งจิ้งเหยียนจึงตามแม่นางจุ้ยเยว่มาถามความ และผู้ดูแลหอนางโลมก็ให้มาพร้อมกัน
เมื่อถามแล้ว ผู้ดูแลหอนางโลมพูดขึ้นด้วยเสียงเสียงคร่ำครวญว่า มีเรื่องเช่นนี้จริง และคืนนั้นเขาเป็นคนส่งแม่นางจุ้ยเยว่กับแม่นางอีกคนหนึ่งไปด้วยตนเอง และสถานที่ดื่มเหล้าก็คือฝู๋เต๋อซวน เขาก็เห็นองค์ชายรัชทายาทอยู่ข้างในด้วยตาตนเอง
เหลิ่งจิ้งเหยียนถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “นอกจากองค์ชายรัชทายาทแล้ว ยังมีใครอยู่ด้วย?”
“ยังมีอีกสามคน แต่บ่าวไม่รู้ว่าเป็นใคร” ผู้ดูแลพูดขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้พูดไปเรื่อย องค์ชายรัชทายาทเคยเรียกพวกนางไปเต้นรำจริงๆ
แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คิดว่าคงไม่กระทำการล่วงเกินอะไร คงเพียงแต่ร่วมดื่มเหล้าเท่านั้น
เรื่องนี้เขาไม่ได้บอกหยวนชิงหลิง นางจะได้ไม่คิดมาก แต่ได้บอกกับอ๋องฉี ให้คนของกรมการพระนครไปสืบให้รู้เรื่อง เพราะคนเยอะขนาดนั้นต่างไม่ยอมพูดให้การออกมา มีเพียงองค์ชายรัชทายาทคนเดียวที่ถูกให้การ เรื่องนี้ควรแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง
อ๋องฉีได้ฟังเรื่องนี้ ก็รีบสั่งคนไปตามจุ้ยเยว่คนนั้นมาถามความ แม่นางจุ้ยเยว่เล่าเรื่องในคืนนั้นให้ฟัง และก็เล่าลักษณะของทั้งสามคนนั้น อ๋องฉีฟังแล้วก็รู้ว่าเป็นพี่ซูหลง หลู่หม่าง และหวางเจียง เขาสั่งคนไปถามพี่ซูหลงกับหลู่หม่าง ยืนยันว่ามีเรื่องนี้จริง ส่วนผู้หญิงพวกนั้น พี่ซูหลงเป็นคนเรียกมา ได้เรียกผู้หญิงมาสี่คน หนึ่งในนั้นมีแม่นางจุ้ยเยว่
เดิมอ๋องฉีคิดว่าคืนนั้นคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ เพียงแค่ร้องเต้นกันอย่างสนุกสนาน แต่จุ้ยเยว่กลับยืนยันว่าเคยมีอะไรกับองค์ชายรัชทายาท อ๋องฉียอมเชื่อเสียที่ไหน? สั่งคนตามพี่ซูหลงกับหลู่หม่างมาถาม ทั้งสองคนนั้นกลับพูดว่าไม่รู้เรื่อง เพราะพวกเขาต่างพาผู้หญิงอีกสองคนไปแล้ว ส่วนหวางเจียงกับองค์ชายรัชทายาทพาไปไหม พวกเขาไม่รู้
และตอนนี้องค์ชายรัชทายาทกับหวางเจียงเมืองหวู่โจวแล้ว ไม่สามารถถามได้
ในใจอ๋องฉีปิดบังเรื่องอะไรไว้ไม่ได้ จึงกลับไปเล่าให้หยวนหย่งอี้ฟัง หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ถามขึ้นอย่างโศกเศร้าว่า “พี่ห้าคงไม่กระทำผิดไปแล้วจริงๆมั้ง?”
หยวนหย่งอี้พูดขึ้นว่า “องค์ชายรัชทายาทไม่ใช่คนแบบนั้น เขากับพี่หยวนรักใคร่กันมาก แม้แต่สนมรองยังไม่ยอมมี จะกระทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง?”
“แต่จุ้ยเยว่คนนั้นยืนยันว่าเคยมี หากไม่ใช่ความจริง นางจะกล้าพูดแบบนี้หรือ?” อ๋องฉีพูดขึ้น
“ใครจะไปรู้ว่านางคิดอะไรอยู่?” หยวนหย่งอี้พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ยังไงข้าก็ไม่เชื่อ จุ้ยเยว่คนนั้นจะต้องพูดไปเรื่อยแน่ พรุ่งนี้เจ้าเรียกนางมา ข้าถามนางด้วยตนเอง”
“อืม พรุ่งนี้ข้าจะสืบดูประวัติความเป็นมาของจุ้ยเยว่คนนี้ วันนี้ที่เห็นนาง รูปร่างหน้าตาถือว่าไม่เลว และค่อนข้างหยิ่งยโส น่าจะเป็นคุณหนูตระกูลใดตระกูลหนึ่งที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นนางคณิกา”
อ๋องฉีเงียบไปสักพัก แล้วถามขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าเรื่องนี้ควรบอกพี่สะใภ้ห้าไหม? จุ้ยเยว่คนนั้นไม่ยอมรับการตรวจ ไม่รู้ว่าติดโรคหรือเปล่า หากพี่ห้ากระทำเรื่องเหลวไหลจริงๆ ต้องให้พี่สะใภ้ห้ารู้เรื่องไหม? โรคนี้สามารถติดต่อกันได้นะ”
หยวนหย่งอี้ขมวดคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “ยังไม่ต้องบอก พรุ่งนี้ให้ข้าถามก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
นางไม่เชื่อเด็ดขาดว่า องค์ชายรัชทายาทจะกระทำเรื่องแบบนี้
“ได้ ทำตามอย่างที่เจ้าพูด” อ๋องฉีแสดงท่าทีเชื่อฟังอย่างมาก นั่งด้านข้างนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าอ้วน ข้าไม่มีทางไปใช้บริการให้ผู้หญิงพวกนี้มาร่วมดื่มเหล้าแน่นอน ตอนนี้ข้ามีเวลาว่างก็กลับจวนมาหาเจ้ากับพี่หญิงเป่า ผู้หญิงพวกนั้นข้าไม่แม้แต่จะชายตามอง”
หยวนหย่งอี้เหลือบมองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “ใครสนใจเจ้า? เจ้าอยากไปก็ไปสิ”
อ๋องฉีโอบกอดนางไว้ พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่กล้า สู้เจ้าไม่ได้”
“ไสหัวไป” หยวนหย่งอี้หัวเราะพร้อมก่นด่า
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากอ๋องฉีกลับมาที่ทำการปกครอง ก็ได้สืบประวัติของจุ้ยเยว่คนนั้นก่อน เมื่อสืบดูแล้วค่อยรู้ว่านางเป็นลูกสาวของเจ้าเมืองหงโจวซางต้าเถียน มีชื่อเรียกว่าซางชิวเตี๋ย เดิมซางต้าเถียนเป็นขุนนางภายใต้หยู่เหวินจุน ต่อมาถูกย้ายไปเป็นเจ้าเมืองที่หงโจว ตอนที่หยู่เหวินจุนต้องโทษ มีขุนนางที่เกี่ยวข้องมากมาย ขุนนางพวกนี้ต้องโทษทั้งหมด และคนในครอบครัวต่างก็ถูกส่งไปเป็นคนเต้นกินรำกิน ส่วนผู้ช่วยถูกส่งไปเป็นทาส
และในตอนนั้นซางต้าเถียนก็ถูกจองจำคุกหลวง ส่วนลูกชายลูกสาวต่างก็ถูกต้องโทษตามนั้น มีส่วนหนึ่งถูกส่งไปหน่วยงานเลี้ยงรับรอง ส่วนหนึ่งไปเป็นทาส
อ๋องฉีตามขุนนางกรมข้าราชการพลเรือนที่ทำคดีนี้ในตอนนั้นมา ถามถึงสถานการณ์ในตอนนั้น เพราะซางต้าเถียนคนนี้ อ๋องฉีจำได้ เป็นขุนนางที่ตรงไปตรงมา ถึงแม้จะเป็นขุนนางที่หยู่เหวินจุนสนับสนุนขึ้นมา แต่หลังจากย้ายไปเป็นเจ้าเมืองหงโจว ก็กลับเมืองหลวงน้อยครั้งมาก น่าจะไม่เคยเกี่ยวข้องกับการกบฏของหยู่เหวินจุนในตอนนั้น
ขุนนางกรมข้าราชการพลเรือนที่ทำคดีในตอนนั้นพูดว่า “หลังจากซางต้าเถียนต้องโทษ ก็พูดตลอดว่าถูกใส่ร้าย แต่ก็มีหลักฐานยืนยันว่าเกี่ยวข้องกับการกบฏขององค์ชายใหญ่ ดังนั้นในตอนนั้นจึงลงโทษเขาตามพระราชโองการ”
สักพัก ขุนนางคนนี้ก็ถอนหายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “ที่จริงตอนนั้นมีขุนนางมากมายต่างถูกดึงเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ไม่ได้กระทำอะไรผิดร้ายแรง แต่เพราะฮ่องเต้โกรธจัด ใครก็ไม่กล้าพูดอะไร ดังนั้นขุนนางที่ต้องโทษพวกนี้ มีคนบริสุทธิ์หรือไม่ ใครก็ไม่กล้าพูด หลังจบเรื่องนี้ ก็ไม่มีใครไปสืบอีก”
อ๋องฉีพูดขึ้นด้วยเสียงเข้มว่า “คดีนี้ผ่านไปตั้งนานขนาดนี้แล้ว หากถูกใส่ร้ายจริง ก็ควรที่จะรื้อคดี”
“เรื่องนี้ไม่มีใครกล้าพูดขึ้นมาอีก ใครจะกล้าพูดกับฮ่องเต้?”
“รอพี่ห้ากลับมา ข้าจะพูดกับเขา เสด็จพ่อไม่อยากที่จะพูดถึงเรื่องนี้จริง แต่พี่ห้ามีอำนาจตรวจสอบ” อ๋องฉีพูดขึ้น
ขุนนางกรมข้าราชการพลเรือนพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง กระหม่อมขอพูดตามตรงว่า ข้าราชการขุนนางควรที่จะได้รับการจัดการให้เป็นระเบียบ ขอท่านอ๋องบอกองค์ชายรัชทายาทด้วย หากไม่จัดการ เกรงว่าจะเป็นภัยอย่างไม่สิ้นสุด”
อ๋องฉีขมวดคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าเป็นคนของกรมข้าราชการพลเรือน แม้แต่เจ้ายังพูดเช่นนี้ แสดงว่าการกระทำของขุนนางพวกนี้ เกินเหตุไปแล้วจริงๆ