บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1357 มองก็รู้เลย
ด้านหลังจดหมาย แนบเพิ่มไม่กี่คำ ให้อ๋องฉีไปสืบ และสืบสวนคดีซางต้าเถียนอีกครั้ง
เจ้าห้ายังสั่งคนส่งจดหมายมาให้หยวนชิงหลิงหนึ่งฉบับ ไม่ใช่ส่งผ่านนกพิราบ ตรงขานกพิราบมัดกระดาษไว้เพียงหนึ่งฉบับ เขาเขียนจดหมายขึ้นมาอีกหนึ่งฉบับ สั่งคนขี่มาเร็วเอามาให้ภรรยา
คืนวันนั้น หยวนชิงหลิงก็ได้รับจดหมายของเจ้าห้าแล้ว เขาบอกว่าดื่มเหล้ากับพี่ซูหลง และมีการเรียกผู้หญิงหน่วยงานเลี้ยงรับรองมาจริงๆ แต่ผู้หญิงพวกนั้นเพียงแค่อุ่นเหล้าอยู่ด้านข้าง แม้แต่เพลงเขาก็ไม่ฟัง อย่าว่าแต่มารับใช้ใกล้ชิด
ส่วนจุ้ยเยว่คนนั้น พยายามเข้าใกล้เขา พยายามใกล้ชิดเขา ถูกเขาก่นด่าให้ออกไป หากไม่เชื่อก็ให้ไปถามหลู่หม่างกับพี่ซูหลง
ทางด้านอ๋องฉีเคยไปถามพี่ซูหลงแต่แรกแล้ว เป็นเหมือนอย่างที่หยู่เหวินเห้าเล่า และคืนนั้นหลังจากหยู่เหวินเห้าดื่มเหล้าไปพอสมควร ก็โกรธโมโหขึ้นมา ก่นด่าจุ้ยเยว่คนนั้น เพราะเขาบอกแล้วว่าไม่ต้องมารับใช้ใกล้ชิด แต่จุ้ยเยว่กลับพยายามเข้าหาหลายครั้ง มีครั้งหนึ่งยังตั้งใจเอาเหล้าหกใส่หน้าอกของเขา เพื่ออยากที่จะใกล้ชิดหยู่เหวินเห้า ถูกหยู่เหวินเห้าผลักล้มลงพื้น ดังนั้น งานเลี้ยงในคืนนั้น แยกย้ายกันอย่างไม่มีความสุข
หลังจากหยวนชิงหลิงได้รู้ความจริงแล้ว ก็สั่งให้ทังหยางไปสืบเรื่องของซางต้าเถียนที่เมืองหงโจว ดูว่าประชาชนเห็นว่าเขาเป็นอย่างไร แล้วก็ถามขุนนางเล็กใหญ่เมืองใกล้เคียงเมืองหงโจว ถามถึงผลงานในระหว่างที่ซางต้าเถียนดำรงตำแหน่ง แล้วเอามาเทียบกับกรมข้าราชการพลเรือน เพราะก่อนหน้านี้กรมข้าราชการพลเรือนมีการประเมินขุนนางทุกปี หลังจากสั่งการเสร็จแล้ว ก็เรียกจุ้ยเยว่คนนั้นมาที่จวนอ๋องฉู่ เพื่อถามความนาง
จุ้ยเยว่แต่งตัวอย่างสวยที่สุด มาถึงจวนอ๋องฉู่ มองเห็นหยวนชิงหลิง
วินาทีที่มองเห็นหยวนชิงหลิง สีหน้านางตกตะลึง เดิมคิดว่าผู้หญิงที่คลอดลูกแล้วห้าคน ยังกำลังตั้งครรภ์ ยังไงสีหน้าก็ต้องเหี่ยวเฉา ใบหน้าบวมแลดูแก่ แต่พระชายารัชทายาทไม่แต่งหน้า สวมเสื้อผ้าสีพื้น เกล้าหมัดผมไว้อย่างง่ายๆ ปักปิ่นหยกลายเมฆหนึ่งอัน กลับงดงามอย่างไม่อาจละสายตา
ความงดงามแบบนี้ ไม่ใช่งามจากภายนอก แต่เป็นความงามมาจากข้างใน ผิวขาวอมชมพู พุงป่องแต่ก็ไม่ได้ทำให้ดูอ้วน กลับดูสวยงดงามอย่างมีเสน่ห์ ปากแดงโดยที่ไม่ต้องเติมแต่ง คิ้วสง่าโดยไม่ต้องเติมแต่ง ท่าทีไม่ได้ดูสูงส่งเหมือนอย่างหญิงผู้ดีแบบนั้น แต่กลับสง่างามมีความมั่นใจอย่างบอกไม่ถูก
นางกลืนความขมขื่นลงไป ยังคงไม่ทำความเคารพ เพียงยืนอยู่ตรงหน้าหยวนชิงหลิง
หยวนชิงหลิงมองดูนาง พิจารณาดู ถือว่าเป็นผู้หญิงที่งดงามหยิ่งยโสคนหนึ่ง แต่เม้มริมฝีปาก แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจ
หยวนชิงหลิงต้องการที่จะสืบหาความจริง จึงไม่ได้กดดันนาง พูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “แม่นางชิวเตี๋ย เชิญนั่ง”
คำว่าแม่นางชิวเตี๋ย ทำให้สีหน้าจุ้ยเยว่เปลี่ยนไปเล็กน้อย นางมองดูหยวนชิงหลิงอย่างไม่พูดไม่จา แต่หลังจากสักพัก ยังคงเดินมานั่งลง ยกแขนเสื้อขึ้นมา มือประสานไว้ตรงหน้า ท่าทางเหมือนยังเป็นลูกสาวเจ้าเมืองคนเดิมคนนั้น
สีหน้าก็กลับมาเยือกเย็น และยังคงพูดจาที่แฝงไปด้วยความเสียดสีว่า “ขอบพระทัยพระชายารัชทายาทที่ให้นั่ง”
“อืม” หยวนชิงหลิงสั่งคนมารินน้ำชา
จุ้ยเยว่พูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “พระชายารัชทายาทไม่จำเป็นต้องเสแสร้งทำดี หากเจ้าโกรธ ตำหนิข้าได้เลย ลงโทษข้าก็ได้ ใครก็สามารถเข้าใจได้ ผู้หญิงต่างก็มีจิตใจขี้อิจฉา โดยเฉพาะข้าเป็นผู้หญิงที่ออกมาจากในสถานที่แบบนั้น ยังไงก็กีดขวางสายตาพระชายารัชทายาท”
หยวนชิงหลิงมองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ถึงขนาดนั้น หากเจ้าเคยมีอะไรกับองค์ชายรัชทายาทจริง ข้าไม่มีทางเจอเจ้า”
จุ้ยเยว่หัวเราะเยาะ พร้อมพูดขึ้นว่า “พระชายารัชทายาทไม่เชื่อหรือ? งั้นพระชายารัชทายาทมีความเชื่อมั่นในตัวเองเกินไปแล้ว ไม่มีผู้ชายคนไหนที่จะรักและซื่อสัตย์กับผู้หญิงได้เพียงคนเดียว โดยเฉพาะคนอย่างองค์ชายรัชทายาท แต่องค์ชายรัชทายาทกับข้าเพียงแค่เล่นๆกัน หากมีผู้หญิงที่งดงามจริงๆปรากฏขึ้น ทำให้องค์ชายรัชทายาทหลงชอบ ก็ไม่แปลก เป็นเรื่องช้าเร็วเท่านั้นเอง”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล แต่ต่อให้ระหว่างข้ากับองค์ชายรัชทายาทเกิดปัญหาเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องของพวกเรา ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง ที่เรียกเจ้ามา เพราะอยากคุยกับเจ้าเรื่องพ่อของเจ้า”
จุ้ยเยว่อึ้งไปสักพัก พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้า…..พ่อของข้า?”
“อืม พ่อของเจ้าเป็นคนยังไง?” หยวนชิงหลิงถามขึ้นอย่างอ่อนโยน พ่อในสายตาของลูกสาว บางครั้งก็ไม่ดีเสมอไป แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณา อย่างเช่นการที่พ่ออบรมสั่งสอนลูกสาว
สายตาจุ้ยเยว่ค่อยๆประกายความโกรธอย่างไม่พอใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “พ่อของข้า เขาไม่ควรต้องโทษ เขาเป็นคนซื่อสัตย์และซื่อตรง มีความขยันหมั่นเพียรและมีความรักต่อประชาชน ไม่เคยคิดฉวยโอกาส ยิ่งไม่เคยเข้าร่วมไปเกี่ยวข้องกับเรื่ององค์ชายใหญ่”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง?” หยวนชิงหลิงถามกลับ
“เขาไม่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว” จุ้ยเยว่ตื่นเต้นอย่างมาก จนลุกขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นอย่างโกรธเคืองว่า “เขาเคยพูดว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เขาได้ย้ายมาเป็นข้าราชการต่างเมือง ไม่ต้องไปมีส่วนร่วมกับการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทในเมืองหลวง เขาพูดว่าองค์ชายใหญ่โหดเหี้ยม ไม่คู่ควรที่จะเป็นองค์ชายรัชทายาท เขาจะไปมีส่วนเกี่ยวข้องได้ยังไง?”
“หยู่เหวินจุนเป็นคนสนับสนุนพ่อของเจ้า เขาพูดว่าองค์ชายใหญ่ลับหลังเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเขาสามารถทำได้หรือ?” หยวนชิงหลิงถามขึ้น
จุ้ยเยว่ตื่นตระหนกและหวาดกลัว พร้อมพูดขึ้นว่า “เขาพูดไม่ผิด เขาบอกว่าตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท เป็นเรื่องใหญ่ระดับประเทศ การเป็นคนเป็นขุนนาง เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ต้องรู้จักแยกแยะ องค์ชายใหญ่สนับสนุนเขาถือเป็นบุญคุณ แต่เขาจะหลับหูหลับตาพูดว่าองค์ชายใหญ่ดีความสามารถไม่ได้ เขาไม่มีความผิด เขาต้องโทษจำคุกแล้ว พวกเจ้ายังอยากทำอะไรเขา? พวกเจ้ายังจะรื้อฟื้นคดี? ฆ่าเขาหรือ?”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “เรื่ององค์ชายใหญ่ในตอนนั้น ไม่ทำให้เขาเสียชีวิต แต่เรื่องที่เจ้าใส่ร้ายองค์ชายรัชทายาทว่ามีอะไรกับเจ้า ทำลายชื่อเสียงของเขา เมื่อต้องโทษ ก็เพียงพอที่จะส่งผลต่อเขา หากเขาถูกประหารจริงๆ นั่นก็เป็นเพราะเจ้า”
สีหน้าจุ้ยเยว่ตื่นตระหนก ริมฝีปากขยับ กลับยังพูดขึ้นอย่างปากแข็งว่า “ข้า….ข้าไม่ได้โกหก”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นด้วยสายตาเฉียบคมว่า “ตอนนี้คนในตระกูลของเจ้า คนในครอบครัวของเจ้าอยู่ที่ไหน ข้ารู้หมด ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ข้าต้องการฟังความจริง มี หรือไม่มี?”
นางหายใจเข้าลึกๆ เงยคางขึ้น จ้องมองหยวนชิงหลิง ถอนหายใจพร้อมพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้ สิ่งที่ข้าทำ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนในครอบครัวของข้า สิ่งที่ข้าทำข้ารับผิดชอบคนเดียว เจ้าประหารข้าเลยก็ได้ แต่จะไปลงโทษพวกเขาไม่ได้”
หยวนชิงหลิงมองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าได้ยินพระชายาฉีพูดว่า ตอนที่นางถามความเจ้า เจ้าก็ขอให้เขาขังเจ้า ตอนนี้ก็ให้ข้าประหารเจ้า ส่วนเรื่องที่เจ้าอยู่ในหอนางโลม ข้าก็ไปสืบมาแล้ว เจ้าฝึกฝนดีดฉิน เล่นหมากรุก วาดภาพ คัดลายมือมานาน และป่วยอยู่นาน จนสุดท้ายมาในหน่วยงานเลี้ยงรับรองโกรธ จึงส่งเจ้าไปยังหอนางโลม แต่เจ้าเชี่ยวชาญดีดฉิน หมากรุก คัดลายมือ และวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก เก่งและฉลาด ทำไมต้องเรียนนานขนาดนี้? ดังนั้นเจ้าพยายามทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะต้องรับแขก สุดท้ายไม่มีทางเลือก เจ้าจึงบอกผู้ดูแลหอนางโลมว่าเจ้าเคยดูแลองค์ชายรัชทายาท เจ้าเป็นผู้หญิงขององค์ชายรัชทายาท ดังนั้นผู้ดูแลหอนางโลมจึงไม่ส่งเจ้าไปรับแขกอีก แต่เจ้ารู้ว่ายังไงสุดท้ายความจริงก็จะถูกเปิดเผย ดังนั้นเจ้าหวังให้พระชายาฉีกักขังเจ้า หวังให้ข้าตัดหัวเจ้า เพราะเจ้าไม่สามารถฆ่าตัวตาย เจ้าอยู่ในสถานะต้องโทษ หากฆ่าตัวตายจะส่งผลกระทบต่อคนในครอบครัว ใช่ไหม?”
หยวนชิงหลิงพูดเช่นนี้ เหมือนเป็นการเอาค้อนหนักทุบหัวใจของจุ้ยเยว่ สายตาของนางฉายแววแตกสลาย ความสุขุมเย่อหยิ่งบนใบหน้าก็ลดลงทีละน้อย น้ำตาไหลลงอย่างโศกเศร้า คุกเข่าลงพร้อมพูดขึ้นทั้งน้ำตาว่า “ในเมื่อพระชายารัชทายาทรู้ ก็โปรดกรุณาข้า ข้าจะได้ไม่ต้องทำให้คนในครอบครัวต้องเดือดร้อน….ข้ายอมตาย ก็ไม่ยอมที่จะกระทำเรื่องแบบนั้น”