บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1361 ถังกั่วเอ๋อ
ตอนใหม่จะมาในอีก2-3วันนะคะ
อะซี่กับสวีอีได้สมดั่งใจปรารถนา ให้กำเนิดลูกสาวคนหนึ่ง ข่าวแพร่กระจายออกไปรวดเร็วดั่งไฟป่า วันรุ่งขึ้น บรรดาพระชายาก็มาแสดงความยินดีถึงเรือน
ทั้งอะซี่และสวีอีล้วนเป็นคนของจวนอ๋องฉู่ เรื่องมงคลเรื่องนี้ แน่นอนว่าย่อมนับเป็นเรื่องน่ายินดีภายในจวนอ๋องฉู่ แต่การมาอวยพรครั้งนี้ ไม่ใช่การนำของขวัญมาร่วมยินดี แต่เป็นการนำเสื้อผ้าตัวเล็ก ๆ ที่ทำเองมาให้แทน
โดยเฉพาะหรงเยว่ที่แสดงท่าทีตื่นเต้นกังวลเป็นพิเศษ สาเหตุหลัก ๆ เป็นเพราะอะซี่กับนางไม่ได้ต่างกันนัก ในเมื่ออะซี่คลอดแล้ว ก็หมายความว่านางเองก็ใกล้จะคลอดแล้วเช่นกัน
หลังจากที่นางเข้าไปในห้องของอะซี่ นางก็ไปดูเด็กน้อยก่อน แวบแรกที่เห็นพลันรู้สึกตื่นตระหนกปนประหลาดใจ ในใต้หล้านี้มีเด็กน้อยที่หน้าตาน่าเกลียดเช่นนี้อยู่ด้วย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรไม่ดี ยามเอ่ยปากก็เต็มไปด้วยคำพูดชื่นชม “ช่างดูดีเหลือเกิน เหมือนสวีอีอย่างยิ่ง”
สวีอีไม่ได้หน้าตาน่าเกลียด ในระดับหนึ่ง เขาก็ดูหล่อเหลาอยู่บ้าง แต่เพราะฟันหน้าสองซี่ที่หายไป เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนทุกคนอยู่เสมอว่าเขาน่าเกลียดอยู่บ้างนิดหน่อย
ดังนั้นเมื่อได้ยินหรงเยว่บอกว่าเหมือนสวีอี ในใจของทุกคนก็รู้ดีแก่ใจ ทุกคนต่างก็เห็นด้วย
สิ่งนี้ทำให้อะซี่รู้สึกเศร้าเล็กน้อย อันที่จริงหลังคลอดเสร็จ เมื่อเห็นแวบแรกนางก็รู้สึกว่าลูกดูดีอยู่ แต่เมื่อพินิจมองหลาย ๆ ครั้ง กลับรู้สึกว่าดูน่าเกลียดอยู่บ้างจริง ๆ
ฮูหยินเหยาเป็นผู้รอบรู้ที่มากประสบการณ์ นางพูดขึ้นว่า “เด็ก ๆ ที่เกิดใหม่ก็หน้าตาน่าเกลียดอย่างนี้ทั้งนั้นล่ะ ตอนที่เหล่าราชนัดดาเพิ่งเกิด ก็ไม่ใช่ว่าเป็นอย่างนี้เหมือนกันหรอกรึ? จริง ๆ แล้วนั่นไม่เรียกว่าน่าเกลียดหรอก รอให้ครบเดือน ทั้งคิ้ว ตา หน้าผาก แก้มเปิดออกจนหมด ก็จะดูดีขึ้นมาแล้วล่ะ”
ทุกคนจึงอาศัยคำพูดของฮูหยินเหยา มาพูดปลอบอะซี่กันใหญ่
อะซี่หวนนึกถึงบรรดาราชนัดดา ตอนนั้นก็ไม่ได้หน้าตาน่าเกลียดขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้หล่อเหลาเท่าตอนนี้ หลังจากครบเดือนเริ่มโตขึ้นมาหน่อย ถึงค่อยดูดีขึ้นกว่าเดิม
อันที่จริงแล้ว เด็กน้อยก็ไม่ได้น่าเกลียดจริง ๆ แค่ตรงจมูกจะมีจุดสีเหลืองคล้ายกระครบเดือน ใบหน้าก็แดงเห่อเหมือนผิวหนังที่เพิ่งลอกคราบใหม่ ๆ รวมทั้งยังมีจุดขาว ๆ จำนวนหนึ่งซึ่งล้างไม่ออก แต่จะค่อย ๆ จางหายไปตามกาลเวลา
พวกเปาจื่ออยากเข้ามาดูด้วยตลอดเวลา แต่แม่นมฉีไม่อนุญาต นางบอกว่าเด็ก ๆ เข้ามาแล้วจะไม่ดี ควรรอจนกว่าเด็กน้อยสามารถถูกอุ้มไปไหนมาไหนได้แล้ว ค่อยมาดู
หลังจากที่รอมาหลายเดือน กระทั่งเด็กน้อยเกิดแล้ว พวกเขาก็ยังเข้าไปดูไม่ได้ ซึ่งที่จริงเรื่องนี้ออกจะทำให้พวกเปาจื่อผิดหวังมาก ก่อนหน้านี้ตอนที่แฝดสองเกิด พวกเขาก็ยังเข้าไปดูได้แท้ ๆ
ช่างน่าผิดหวังเสียจริง
แต่ถ้าแม่นมฉีเกิดดุขึ้นมา มันน่ากลัวมากจริง ๆ นะ
เดิมทีเจ้าสิบตามเข้ามาอย่างตื่นเต้นเพราะหวังจะได้ดูเด็กน้อย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกข้ารับใช้ชราไล่ออกไป จึงโมโหโกรธากัดฟันกรอด ร้องโวยวายว่าจะสั่งโบยนาง ถ้าโดนโบยไปสักทีจะได้รู้จักที่ต่ำที่สูง
หมัดของซาลาเปา เหวี่ยงออกไปทักทายฟันหน้าของเขาเต็มเหนี่ยว “แม่นมฉีเป็นแม่บุญธรรมของใต้เท้าทัง เจ้ากล้าโบยนางอย่างนั้นรึ?”
เจ้าสิบแสดงท่าทีขี้ขลาดไม่กล้าอวดดีอีก รีบวิ่งออกไปด้วยท่าทางหางจุกก้นชนิดไม่เหลียวหลัง
เมื่อเหล่าพระชายาเห็นดังนั้น ก็รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะพระชายาซุน นางหันไปพูดกับหยวนชิงหลิงด้วยความตื่นตระหนกตกใจว่า“เหตุใดถึงทำกับเขาแบบนี้ล่ะ? เจ้าไม่กลัวว่าเสด็จพ่อจะตำหนิรึ?”
หยวนชิงหลิงตอบว่า “คนถูกส่งมาให้จวนอ๋องฉู่ ถ้าไม่อบรมสั่งสอนให้ดี นั่นต่างหากที่จะทำให้เสด็จพ่อตำหนิ พอดีว่าเขากลัวซาลาเปากับใต้เท้าทังมาก ก็ลองกดนิสัยชอบวางอำนาจของเขาดูสักพักเถอะ ธรรมชาติของเขาก็ไม่ใช่เด็กไม่ดี แต่เพราะถูกตามใจเกินไปจนติดเป็นนิสัย เลยค่อนข้างจะเอาแต่ใจไปบ้าง ทั้งไม่เข้าใจเหตุผลที่เหมาะที่ควร ต้องดูกันไปว่าจะสั่งสอนให้กลับมาเป็นผู้เป็นคนได้หรือไม่ ฮู่เฟยเคยบอกกับข้าว่า ให้ข้าตัดสินใจได้เลยไม่ต้องกังวล ถูกตีสักทีสองที อย่างไรก็ดีกว่าไปก่อปัญหาใหญ่โตขึ้นมาในอนาคต”
หรงเยว่เห็นด้วยกับคำพูดของนาง พูดขึ้นว่า”เจ้าสิบเป็นลูกชายคนเล็กสุดของเสด็จพ่อ อยากเรียกลมต้องได้ลม อยากเรียกฝนต้องได้ฝน คุ้นเคยกับการวางอำนาจบาตรใหญ่ในวังมาโดยตลอด เสด็จพ่อก็ไม่คิดจะสนใจ จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งข้าเข้าวังไป เด็กคนนั้นถึงกับเอาโคลนมาปาใส่กระโปรงข้าจัง ๆ เลย เสด็จพ่อเห็นแล้ว แม้ว่าจะตำหนิเขาไปประโยคหนึ่ง แต่ก็ยังบอกด้วยว่าเขาเป็นเด็กนิสัยชอบเล่นซุกซน วันข้างหน้าจะมีแววโดดเด่น เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ข้าเองก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว เมื่อก่อนพวกเจ้าหกสามารถทำตัวเหลวไหลไร้มารยาทอย่างนี้ได้ด้วยรึ? ช่างลำเอียงสิ้นดี!”
“ช่างเถอะ อย่าพูดถึงเลยนะ เราไม่อาจไม่เคารพเสด็จพ่อได้ สถานะของพวกเราก็ไม่เหมาะ เสด็จพ่อจะโปรดปรานใคร เดิมก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะไปเอ่ยปากถามไถ่ได้อยู่แล้ว” พระชายาซุนพูดเบา ๆ
จวิ้นจู่จิ้งเหอรีบเปลี่ยนหัวข้อเรื่องทันที “จริงสิ อะซี่ ใครจะเป็นคนตั้งชื่อให้เด็กหรือ? ตระกูลสวียังมีผู้อาวุโสอยู่บ้างหรือไม่?”
อะซี่ตอบว่า”ทางตระกูลสวีนั่นไม่ต้องไปหวังหรอก สวีอียิ่งไม่ต้องไปหวังใหญ่ เมื่อวานท่านย่าบอกว่ารัชทายาทกับพี่หยวนจะช่วยตั้งให้ ยังบอกด้วยว่าพวกเขาล้วนเป็นคนที่ได้รับพร หากตั้งชื่อให้เด็กที่เกิดมา เด็กก็จะได้รับพรไปด้วย”
หยวนชิงหลิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า“เจ้าอย่าได้ไปขอให้เจ้าห้าช่วยตั้งชื่อจะดีกว่า มาตรฐานการตั้งชื่อของเจ้าห้าไม่ค่อยต่างจากสวีอีเท่าไหร่หรอก”
“ตอนนี้รัชทายาทร่ำเรียนอยู่กับราชครูเหว่ย คิดว่าวิชาความรู้คงจะก้าวหน้าขึ้นมากเป็นแน่” อะซี่มีความคาดหวังต่อรัชทายาทสูงมาก หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง ก็หันไปมองหยวนชิงหลิงอีกครั้ง “หรือไม่ ก็ให้พี่หยวนเป็นคนตั้ง? ”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “การตั้งชื่อเด็กนั้น ข้าก็พอจะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องมีการศึกษาและให้ความสำคัญ ต้องดูช่วงเวลาตกฟากแปดอักษร จากนั้นก็ต้องพิจารณาธาตุประกอบทั้งห้า อะไรจำพวกทองคำ ไม้ น้ำ ไฟ และดิน ข้าคิดว่า ไม่สู้ไปขอร้องท่านย่าให้ช่วยตั้งให้น่าจะดีกว่านะ?”
“อันที่จริง การให้คนจากทางตระกูลแม่เป็นคนตั้งชื่อให้ เชื่อกันว่าจะไม่ค่อยดี อย่างไรน่าจะไปขอคำชี้แนะจากทางราชครูเหว่ยได้” พระชายาซุนเสนอ
“ ด้วยความเร็วของราชครูเหว่ย ข้าเกรงว่าอาจต้องใช้เวลาราว ๆ หนึ่งปีครึ่ง กว่าจะได้ชื่อมาสักชื่อ” หยวนหย่งอี้พูดกลั้วหัวเราะ
“ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก ให้สวีอีตั้งชื่อเล่นให้นางก่อนสักชื่อก็ได้” หยวนชิงหลิงพูดพลางหัวเราะออกมา เมื่อวานนางได้ยินว่าจะตั้งชื่อเป็นบะหมี่ เป็นเกี๊ยว เป็นน้ำแกงและของกินอื่น ๆ อีกมากมาย นางยังไม่รู้เลยว่าจะเลือกชื่อไหนดี
อะซี่ก็หัวเราะด้วยเช่นกัน พูดว่า “ที่จริงก็ตั้งชื่อเล่นไว้ชื่อหนึ่งแล้วล่ะ ชื่อว่าถังกั่วเอ๋อ( *แปลว่าพวกผลไม้ที่เคลือบน้ำตาล หรือพวกลูกกวาดที่ปั้นจากน้ำตาล)”
“ถังกั่วเอ๋อ? ช่างไพเราะจริง ๆ!” หยวนชิงหลิงรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาชั่วขณะ พอทุกคนได้ยินชื่อนี้ ต่างก็รู้สึกว่าชื่อนี้เป็นชื่อที่ดีมากจริง ๆ “เป็นเจ้าตั้งให้หรือเป็นสวีอีตั้งให้ล่ะ?”
“สวีอีเป็นคนตั้ง เมื่อวานข้าไม่มีแรงแล้ว ในหัวคิดเรื่องอะไรไม่ออกทั้งนั้น เขาคิดชื่อที่เป็นอาหารการกินเยอะมาก สุดท้ายเหมือนจะฉุกคิดขึ้นมาได้วูบหนึ่ง บอกว่าให้ชื่อถังกั่วเอ๋อ ข้าเองก็คิดว่ามันไม่เลวเลยเชียวล่ะ ” อะซี่พูดพลางหัวเราะ
หยวนหย่งอี้พูดชมไม่ขาดปากว่า “ชื่อนี้พอเทียบกับชื่อพี่หญิงเป่าของข้าแล้ว ก็นับว่าดีกว่ากันไปขั้นหนึ่งล่ะนะ”
“คิดไม่ถึงเลยว่าสวีอีจะตั้งชื่อที่ดีขนาดนี้ออกมาได้ ข้าเพิ่งค้นพบเลยว่า สวีอีตั้งชื่อคนได้ค่อนข้างเหมาะเลยทีเดียว ก่อนหน้านี้ชื่อของแฝดสามก็เป็นเขาที่ตั้งให้สินะ?” ฮูหยินเหยาพูด
“ใช่แล้วล่ะ มีจุดเด่นที่เป็นประโยชน์กับเขาบ้างแล้วสิ” อะซี่อดรู้สึกภูมิใจไม่ได้
เวลาปกติอาจไม่สามารถเลือกจุดเด่นมาใช้ประโยชน์ได้ แต่แค่จุดนี้ ก็นับว่าไม่เลวเลยจริง ๆ
หยวนชิงหลิงอุ้มถังกั่วเอ๋อขึ้นมา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าลูกกวาดน้อย พ่อของเจ้าตั้งชื่อที่ดีขนาดนี้ให้เจ้าเชียวนะ ช่างหวานฉ่ำน่ารักเสียจริง”
หรงเยว่ไม่ค่อยเต็มใจนัก “เป็นชื่อที่ดีขนาดนี้แท้ ๆ ที่จริงข้าคิดว่าจะตั้งชื่อนี้อยู่พอดีเลย กลายเป็นว่าถูกเจ้าชิงตัดหน้าไปก่อนเสียได้”
“ พูดจาเหลวไหล เจ้ายังไม่รู้เลยว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็จะตั้งชื่อให้ว่าถังกั่วเอ๋อแล้ว ปล้นชื่อกันเลยรึ?” พระชายาซุนว่าพลางหัวเราะ
ทุกคนต่างหัวเราะเสียงดัง
หรงเยว่บ่นงึมงำ“ไม่ได้โกหกพวกเจ้าเลยนะ ที่จริงก็เคยคิดไว้เหมือนกัน แต่ตอนนี้สวีอีชิงตั้งไปก่อนแล้ว ข้ายังจะไปต่อสู้แย่งชิงกับเขาได้อย่างไรล่ะ? ยกให้เจ้าไปก็แล้วกัน”
หรงเยว่ลูบ ๆ ท้องตัวเอง มีท่าทีกังวลใจมาก แน่นอนว่าชื่อจริงของเด็กในท้องย่อมไม่อาจให้นางเป็นคนตั้ง นางทำได้แค่ตั้งชื่อเล่นให้เท่านั้น เฮ้อ ทำไมนางถึงไม่คิดชื่อถังกั่วเอ๋อนี้ให้ได้ก่อนนะ? ถ้าคิดออกก่อนแล้วประกาศออกไปให้คนอื่นรู้ สวีอีก็ใช้ไม่ได้แล้วแท้ ๆ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็พูดอย่างไม่ค่อยเต็มใจว่า“สวีอีมีพรสวรรค์เรื่องการตั้งชื่อเล่น เช่นนั้นก็ขอให้เขาช่วยตั้งชื่อให้ลูกของข้าสักสองสามชื่อแล้วกัน เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะได้เลือกมาสักชื่อ”
ต้องยอมรับว่า ในด้านนี้สวีอีมีระดับมากจริง ๆ
หยวนชิงหลิงปรบมือของตัวเอง “เจ้าจะรีบร้อนไปทำไมกัน? เจ้าหกก็ร่ำเรียนมาไม่น้อย ชื่อที่เขาตั้งย่อมจะต้องดีกว่าชื่อที่สวีอีตั้งอยู่แล้วล่ะ เจ้าก็อย่าได้อิจฉาไปเลยนะ”
“จริงด้วยสิ!” หรงเยว่เริ่มมีความเชื่อมั่นในตัวอ๋องหวยขึ้นมาอีกครั้งในทันที