บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1365 ปลอดภัย
ฮ่องเต้หมิงหยวนนำพาความรู้สึกเจ็บปวดใจ กับหัวใจที่แสนจะอ่อนล้ากลับมายังตำหนักฉางเหมินพร้อมกับหยู่เหวินเห้าอีกครั้ง เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้ใช้เวลาตรวจสอบมากนัก แผนการของฉินเฟยก็ไม่ได้ฉลาดแยบคายอะไรเลย แต่นางกลับประสบผลสำเร็จได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ช่างเป็นสิ่งที่ทำให้ฮ่องเต้หมิงหยวนทั้งเจ็บปวด ทั้งเกลียดชังตัวเองอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว
เพราะเขารู้ดีว่า เพราะเขาเองที่เป็นสาเหตุหลัก ทำให้หลายคนมองข้ามฉินเฟยไปโดยไม่รู้ตัว
เวลาค่อย ๆ ไหลผ่านไปทีละน้อย ภายในตำหนักยังไม่มีใครออกมาพูดอะไรเลย ไม่มีแม้แต่เสียงความเคลื่อนไหวใด ๆ จากข้างใน ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับถูกแช่แข็งจนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
แต่ทั้งฮ่องเต้หมิงหยวนและหยู่เหวินเห้าต่างก็รู้ดีว่า ข้างในนั้นกำลังแข่งขันกันอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย
กู้ซือยังคงสืบสวนต่อไป แม้ว่าฉินเฟยจะสารภาพแล้ว แต่เรื่องนี้มีคนเกี่ยวข้องมากน้อยเท่าไหร่ คนที่ฉินเฟยซื้อตัวไว้มีใครบ้าง อย่างไรก็จะต้องสืบสวนออกมาให้ชัดเจน
ทั้งฮองเฮาและตี๋กุ้ยเฟยต่างก็ส่งคนมาถามถึงสถานการณ์ความคืบหน้า ประตูของตำหนักฉางเหมินที่เคยเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว คืนนี้กลับเต็มไปด้วยแสงไฟสว่างไสว
หยวนชิงหลิงใช้ยาชาเพียงครึ่งเดียว ดังนั้นหวงกุ้ยเฟยจึงมีสติที่แจ่มชัด แต่แค่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดใด ๆ นางกังวลมาก เอาแต่พยายามจะเงยหน้าขึ้นมาดูอยู่ตลอด แต่ถูกฮุ่เฟยกับหลู่เฟยกดไว้ ทั้งสองเฝ้าอาการนางในลักษณะนี้ตลอดเวลา
การผ่าตัดค่อนข้างราบรื่น เด็กน้อยถูกนำออกมา เป็นเด็กทารกเพศหญิงตัวเล็กกระจ้อยร่อย ไม่ร้องไห้ แต่ยังมีลมหายใจ ใบหน้าและร่างกายเป็นสีเขียวคล้ำเล็กน้อย ถ้าช้าอีกนิดเดียว ก็น่ากลัวว่าอาจจะขาดอากาศหายใจจนตายก็เป็นได้
“เสด็จแม่ เป็นองค์หญิงน้อยเพคะ ยังหายใจดีอยู่!” หยวนชิงหลิงอุ้มเด็กน้อย นำไปให้หวงกุ้ยเฟยดู หวงกุ้ยเฟยมองเด็กน้อยราวตกอยู่ในภวังค์ น้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบ ๆ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
ทั้งฮู่เฟย หลู่เฟย รวมถึงนางผดุงครรภ์ที่อยู่ด้วยในนั้น ต่างก็พากันถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคยังดีที่ยังมีชีวิตอยู่
หยวนชิงหลิงรีบให้นางสูดออกซิเจน แล้วขอให้ฮุ่เฟยรีบเช็ดล้างทำความสะอาด จากนั้นจึงห่อด้วยเสื้อคลุม แล้วนำมาใส่ในผ้าสำหรับห่อตัวเด็กอย่างเรียบร้อย
เมื่อต้องเย็บปิดปากแผล หยวนชิงหลิงก็เริ่มเหนื่อยจนออกอาการว่ามีแรงไม่พอแล้ว ท้องของนางใหญ่มาก มักเป็นอุปสรรคขัดขวางการเคลื่อนไหวของนางอยู่เสมอ นางเหงื่อออกจนท่วมตัว ร่างกายเทอะทะจนรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจไปสนใจเรื่องนั้นได้ นางคิดแค่ว่าอยากจะเย็บปิดแผลให้เร็วขึ้นอีกหน่อย เพื่อลดการติดเชื้อให้ได้มากที่สุด
หลู่เฟยถามหยวนชิงหลิงว่า “ต้องเปิดประตูออกไปทูลฝ่าบาทก่อนหรือไม่?”
“ อย่าเพิ่งเปิดประตู รอให้ข้าจะเย็บปิดปากแผลเสร็จค่อยว่ากัน!” มือของหยวนชิงหลิงยังคงเย็บปิดปากแผลต่อไปโดยไม่หยุด
“ได้!” หลู่เฟยตอบรับอย่างเงียบ ๆ มองดูหยวนชิงหลิงเย็บปิดแผลให้หวงกุ้ยเฟย นี่นับว่าเป็นฉากที่นองเลือดและโหดร้ายที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมาในชีวิตนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นฉากที่น่าประทับใจที่สุดด้วย เพราะนางได้เห็นกับตาตัวเองว่า เด็กถูกนำออกมาจากท้องได้อย่างไร
นางรู้สึกว่าผู้หญิงช่างบอบบางนัก แต่ผู้หญิงก็ยิ่งใหญ่มากเช่นกัน
ภายหลังการเย็บปิดแผล เด็กถูกอุ้มไปวางไว้ข้างกายหวงกุ้ยเฟย หวงกุ้ยเฟยเอียงหน้าไปทางด้านข้าง หันหน้าเข้าหาเด็กน้อย แม่หนูน้อยยังต้องสูดออกซิเจนอยู่ ใบหน้าน้อย ๆ นั้นถูกหน้ากากออกซิเจนปิดไว้จนมิด มองไม่เห็นหน้าตาเลย ทั้งไม่ลืมตาอีกด้วย ดูแล้วช่างให้ความรู้สึกชวนสงสารเห็นใจนางอย่างยิ่ง
ฮู่เฟยที่อยู่ข้าง ๆ พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “ท่านพี่หญิง องค์หญิงน้อยจะต้องปลอดภัย นางจะต้องปลอดภัยแน่”
หวงกุ้ยเฟยค่อยๆ เงยศีรษะขึ้นมองนาง สายตาปรากฏแววซาบซึ้งในบุญคุณ
หยวนชิงหลิงเหนื่อยมาก ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ หลังจากสูดลมหายใจเข้าออกหลายต่อหลายเฮือก ก็พูดกับหลู่เฟยว่า “สามารถเปิดประตูออกไปทูลฝ่าบาทได้แล้ว”
หลู่เฟยได้เห็นหวงกุ้ยเฟยแม่ลูกนอนอยู่ในสภาพที่น่าสงสารแบบนั้น อีกทั้งร่างกายของนางก็เพิ่งถูกเย็บปิดแผลไปหมาด ๆ จู่ ๆ นางก็เกิดความรู้สึกไม่อยากไปขึ้นมาอย่างกะทันหัน จึงพูดกับนางผดุงครรภ์ว่า “เจ้าไปทูลข่าวดีแก่ฝ่าบาทเถอะ !”
นางผดุงครรภ์เปิดประตูออกมาอย่างงุ่มง่ามเงอะงะ ทันทีที่คนที่เฝ้ารออยู่ข้างนอกเห็นว่าประตูเปิด ได้เห็นนางผดุงครรภ์เดินออกมา แต่พวกเขาไม่ได้ยินเสียงร้องของทารก ในหัวใจก็พลันหนักอึ้งจมดิ่งทันที
นางผดุงครรภ์ค้อมกายคำนับ “ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ทรงมีองค์หญิงน้อยเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งองค์เพคะ หวงกุ้ยเฟยแม่ลูกล้วนปลอดภัยดี พระนางช่างน่าทึ่งมากเพคะ ถึงกับให้ผ่าท้องนำองค์หญิงน้อยออกมาได้สำเร็จ!”
หัวใจที่ขึ้นมาแขวนค้างอยู่ที่ลำคอของฮ่องเต้หมิงหยวน ค่อย ๆ ผ่อนคลายลงจนกลับคืนไปอยู่ตำแหน่งเดิมได้ในที่สุด ทว่ากลับเกิดความรู้สึกเจ็บปวดใจครั้งใหม่ขึ้นมาอีก ผ่าเปิดท้องเพื่อคลอดลูก นางต้องอดทนต่อความเจ็บปวดมากมายขนาดไหนกัน?
คนที่อยู่นอกพระตำหนัก ต่างทยอยแสดงความยินดีกับฮ่องเต้กันถ้วนหน้า หยู่เหวินเห้าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน ก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อ ไม่เป็นไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ เข้าไปเยี่ยมเสด็จแม่ข้างในเถิด!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนพยักหน้า ตรัสด้วยสุรเสียงแหบพร่าว่า “ข้าจะเข้าไป!”
ตอนที่พระองค์เสด็จเข้าไป หวงกุ้ยเฟยกำลังหลับตาสนิท
ฮ่องเต้หมิงหยวนเดินเบา ๆ ไปยืนอยู่หน้าเตียง ไม่มีใครพูดอะไรเลย ในพระตำหนักเงียบสงัด ความเงียบนี้ลุกลามตามกันไป ดุจดั่งวัชพืชที่เติบโตอย่างไร้ทิศทาง
ฮ่องเต้หมิงหยวนทอดพระเนตรหวงกุ้ยเฟย แล้วค่อยทอดพระเนตรเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่นอนอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าของนางถูกครอบปิดด้วยของบางอย่าง หัวใจของพระองค์พลันบีบรัดขึ้นในทันใด หันไปจ้องมองหยวนชิงหลิงด้วยแววเนตรที่แฝงคำถามเป็นนัย ๆ
หยวนชิงหลิงพูดเบา ๆ ว่า”คลอดก่อนกำหนด เกิดสภาวะขาดออกซิเจน จำเป็นต้องให้ออกซิเจนเพคะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนฟังไม่เข้าใจ แต่คำว่าคลอดก่อนกำหนดนี้พระองค์ฟังเข้าใจ ก็คือองค์หญิงน้อยยังอันตรายอยู่มาก
หลู่เฟยพูดว่า “ฝ่าบาทเสด็จกลับไปพักผ่อนก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันกับฮู่เฟยจะอยู่เฝ้าอาการนางที่นี่ให้เอง”
ฮ่องเต้หมิงหยวนถามหยวนชิงหลิงว่า “สถานการณ์ของหวงกุ้ยเฟยเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ยาสลบยังไม่หมดฤทธิ์ รอให้หมดฤทธิ์ยาก่อน ก็จะตื่นเองเพคะ!”หยวนชิงหลิงตอบ อันที่จริงหวงกุ้ยเฟยตื่นอยู่ แต่นางเลือกที่จะหลับตาไว้ นั่นพิสูจน์ว่านางยังไม่ต้องการพบหน้าฝ่าบาทในเวลานี้ นางจึงทำได้เพียงให้ความร่วมมือกับหวงกุ้ยเฟยเท่านั้น
“ข้าจะอยู่เฝ้าอาการนางที่นี่เอง!” ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าว
“เสด็จพ่อ ท่านกลับไปก่อนเถิดเพคะ นางยังไม่ตื่นในเร็ว ๆ นี้แน่” หยวนชิงหลิงพูด
ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่ไป ในพระตำหนักจึงกลับมาตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ในตอนแรกหวงกุ้ยเฟยแค่หลับตาเพื่อจะหลบหน้าฮ่องเต้หมิงหยวน แต่ทันทีที่หลับตา นางถึงรู้ว่าตัวเองเหนื่อยล้ามากแค่ไหน นางเจ็บปวดมาครึ่งค่อนคืน แม้ว่าตอนนี้จะไม่เจ็บแล้ว แต่นางไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออีกต่อไป หลังจากหลับตาลงแล้ว ก็ไม่มีแรงพอจะฝืนลืมตาขึ้นมาได้ไหว
หลังจากหยวนชิงหลิงพักผ่อนได้ครู่หนึ่ง ก็เริ่มเตรียมวางยาระงับปวดให้หวงกุ้ยเฟยต่อ
หลังจากทำงานเสร็จ นางก็แทบจะทรุดให้ได้แล้ว หยู่เหวินเห้ารอนางอยู่ข้างนอก ทั้งสองต่างก็ไม่ได้ออกจากวัง แต่เลือกไปพักอยู่ที่พระตำหนักฉินคุนก่อนคืนหนึ่ง แล้วให้หมอหลวงผลัดกันทำหน้าที่เฝ้าอาการ
อันที่จริงฟ้าเกือบจะสว่างแล้ว หยู่เหวินเห้านั้นสามารถอดนอนได้ตลอดทั้งคืน แต่หยวนชิงหลิงทำไม่ได้ นางเหนื่อยมากจนแทบจะเดินไม่ไหวแล้ว เป็นหยู่เหวินเห้าที่ช่วยอุ้มนางไปที่พระตำหนักฉินคุน
หลังจากที่ไท่ซ่างหวงจากวังหลวงไป พระตำหนักฉินคุนก็ไม่มีใครอาศัยอยู่ แต่มีคนคอยไปทำความสะอาดเรื่อย ๆ จึงยังคงสะอาดและเป็นระเบียบมาก ทั้งสองไปพักกันที่ตำหนักข้าง บรรดาเครื่องนอนหมอนมุ้งล้วนซักสะอาดแล้ว หลังจากนางข้าหลวงมาปูที่นอนเสร็จ พวกเขาก็นอน ได้ทันที
หยู่เหวินเห้าไม่ได้บอกเรื่องของฉินเฟยให้นางรู้ แค่กอดนางไว้เพื่อให้นางหลับลงได้อย่างรวดเร็วขึ้นอีกสักหน่อย
หยวนชิงหลิงหลับไปได้ราว ๆ ครึ่งชั่วยามกว่า ๆ ก็ตื่นขึ้นมา แล้วสั่งให้คนไปสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของหวงกุ้ยเฟยที่ตำหนักฉางเหมิน เมื่อได้รู้ว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี อีกทั้งฮ่องเต้หมิงหยวนก็ยังอยู่ที่นั่น นางจึงตัดสินใจไม่ไปที่นั่นก่อน
ฤทธิ์ยาสลบน่าจะยังไม่หมด แล้วก็ให้ยาระงับปวดแล้วด้วย มีหมอหลวงคอยดูแลอยู่ คงไม่เกิดปัญหาอะไรได้
“ นอนต่ออีกหน่อยเถอะ หน้าเจ้าดูซีดมากเลย” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างเป็นห่วง
หยวนชิงหลิงบ่นงึมงำว่า”ไม่นอนแล้ว เมื่อครู่นี้เผลอหลับไป ฝันร้ายไปว่าข้ามาไม่ทันเวลา เสด็จแม่ก็เลย…..”
หยู่เหวินเห้ากอดนาง “มันเป็นแค่ฝันร้าย ความจริงไม่ได้เป็นอะไร ทั้งแม่ลูกล้วนปลอดภัยดี”
“แต่ก็อันตรายมาก หากช้ากว่านี้อีกนิด น่ากลัวว่าเด็กอาจจะขาดออกซิเจนจนรั้งไว้ไม่ได้แน่ ” หยวนชิงหลิงรู้สึกกลัวมากเมื่อหวนคิดถึงเรื่องนี้
หยู่เหวินเห้าจับมือนางไว้ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็พูดขึ้นว่า “เป็นฝีมือฉินเฟยที่ทำเรื่องนี้”
หยวนชิงหลิงไม่แปลกใจแม้แต่น้อย วังหลังในเวลานี้ เพียงคนเดียวที่ยังคงทุกข์ทนทุรนทุรายอยู่ ก็มีเพียงนางเท่านั้นแล้ว
แม้ว่าฮองเฮาก็นับว่ามีความคิดเช่นนั้นอยู่ แต่อย่างไรนางก็ยังต้องคิดห่วงกังวลไปถึงโส่วฝู่กับอ๋องฉี ส่วนตี๋กุ้ยเฟยก็ยังมีอ๋องอานที่ต้องห่วงใย หากนางมีเจตนาร้ายเช่นนั้น อ๋องอานก็จะต้องถูกลากเข้าไปตกระกำลำบากด้วยทันที นางไม่มีทางทำเรื่องโง่ ๆ แบบนี้แน่
มีเพียงฉินเฟยคนเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถระบายโทสะของตัวเองได้เต็มที่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมาใด ๆ ทั้งสิ้น