บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1366 น่ากลัวว่าจะเป็นเด็กผู้หญิงจริง ๆ
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1366 น่ากลัวว่าจะเป็นเด็กผู้หญิงจริง ๆ
นางเองก็นอนไม่หลับแล้ว จึงไปที่ตำหนักฉางเหมินเพื่อดูอาการองค์หญิงน้อยกับหวงกุ้ยเฟย ฤทธิ์ยาสลบของหวงกุ้ยเฟยหมดไปแล้ว แม้ว่าจะให้ยาแก้ปวดด้วย แต่ก็ดูเหมือนว่านางจะยังมีอาการปวดอยู่อย่างเห็นได้ชัด
หยวนชิงหลิงฉีดยาแก้อักเสบให้เข็มหนึ่ง ทางเด็กน้อยก็ยังต้องรับออกซิเจนอยู่ ไม่สามารถดูดนมได้ จึงต้องใช้สำลีก้อนค่อย ๆ บีบให้ทีละน้อย ๆ แต่ไม่อาจไม่ยอมรับว่า เด็กคนนี้มีแรงฮึดสู้เพื่อให้ตัวเองอยู่รอดสูงมาก แม้จะคลอดก่อนกำหนดชนิดที่ว่าเร็วเกินไปมาก แต่พลังการเอาชีวิตรอดกลับแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ หลังจากสูดออกซิเจนเข้าไปแล้ว สถานการณ์ก็ดีขึ้น ยังถึงกับร้องไห้ได้ครั้งสองครั้งแล้วด้วย
ฮู่เฟยกับจิ้งกุ้ยเฟย รวมถึงหลู่เฟยล้วนเฝ้าอยู่ที่นี่กันหมด ฮ่องเต้หมิงหยวนเฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนัก เขาเข้าไปแล้ว แต่ทนไม่ได้ที่เห็นนางเจ็บปวดขนาดนี้ บวกกับเวลาที่เขาอยู่ที่นั่น นางมักจะดูไม่เป็นธรรมชาติอยู่ตลอด จึงตัดสินใจเดินออกมาเฝ้าอาการอยู่ด้านนอกแทน
ฮองเฮากับตี๋กุ้ยเฟยต่างก็มาด้วย มีทั้งฮองเฮา ฮ่องเต้ และบรรดานางสนมมาเฝ้าอาการนางขนาดนี้ ความมุ่งมั่นในใจของหวงกุ้ยเฟยจึงหนักแน่นมั่นคงขึ้นมาก ค่อย ๆ อดทนต่อความเจ็บปวดทีละน้อย สำคัญที่สุดคือเด็กน้อยยังพยายามจะมีชีวิตต่อ นางที่เป็นแม่ก็ต้องพยายามมีชีวิตต่อให้ได้ด้วยเช่นกัน
ฮู่เฟยเห็นว่าอาการเจ็บปวดของหวงกุ้ยเฟยค่อย ๆ ลดลงแล้ว ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หันหลังกลับเดินออกจากตำหนักไปอย่างเงียบ ๆ แล้วไปนั่งลงข้าง ๆ ฮ่องเต้หมิงหยวน
หลังจากที่จ้องมองอยู่นาน นางก็จับมือเขาเบา ๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “ฝ่าบาท อย่าโทษตัวเองอีกเลยเพคะ เรื่องต่าง ๆ ในวังหลังนั้นไม่ได้ซับซ้อน และมิตรภาพระหว่างพี่สาวน้องสาวก็ยังมีอยู่เสมอนะเพคะ”
“ข้ามักทำได้ไม่ดีพอเสมอ!” ฮ่องเต้หมิงหยวนมองดูมือของฮู่เฟย นับตั้งแต่ที่นางสูญเสียลูกในท้องของตัวเองไป นี่ถือเป็นครั้งแรกที่นางเป็นฝ่ายยอมจับมือเขาก่อน
“ ไม่มีใครทำทุกอย่างได้ดีไปตลอดหรอกเพคะ แต่หม่อมฉันรู้ว่า ฝ่าบาทพยายามอย่างหนักมาโดยตลอด” นัยน์ตาของฮู่เฟยเป็นประกายด้วยน้ำตาที่ไหลคลอ
ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่เอ่ยคำใด พลิกมือเป็นฝ่ายจับมือนางแทน “เกี่ยวกับฉินเฟย … ”
นัยน์ตาของฮู่เฟยเกิดประกายเย็นเยียบวาบผ่าน “ประหารนาง!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองนางนิ่ง ๆ จึงค่อยพยักหน้ารับอย่างช้า ๆ
สามสี่วันต่อมา สถานการณ์ของหวงกุ้ยเฟยและองค์หญิงน้อยเริ่มมีความคืบหน้า หวงกุ้ยเฟยสามารถลงพื้นได้แล้ว ด้ายที่เย็บบาดแผลไม่จำเป็นต้องตัดออก มันจะถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายเอง ดังนั้นอาการปวดในระยะหลังจึงมีไม่มากนัก
ส่วนองค์หญิงน้อย ก็ทำให้คนรู้สึกเอ็นดูมากเช่นกัน เด็กอายุยังไม่ครบแปดเดือน หลังจากสูดออกซิเจนเข้าไปสองสามวัน การทำงานของหัวใจและปอดก็ค่อย ๆ เติบโตเต็มที่ ตอนที่แม่นมอุ้มขึ้นมา ก็รู้จักตามกลิ่นที่คุ้นเคยเพื่อไปหาน้ำนมกินเองได้แล้ว
หวงกุ้ยเฟยล่วงเข้าสู่วัยกลางคน ก็ได้ลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ย่อมรักใคร่อย่างสุดซึ้ง ทั้งดูเหมือนว่านางจะมองสิ่งต่าง ๆ ได้ทะลุปรุโปร่งมากขึ้น นางพูดกับหยวนชิงหลิงว่า “มีลูกคนนี้ในวันข้างหน้า ชีวิตข้าคนนี้ก็ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ”
หยวนชิงหลิงถามเบา ๆ ว่า “ท่านยังโกรธเสด็จพ่ออยู่หรือไม่เพคะ?”
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงส่ายหน้า “ตอนนี้ข้าไม่คิดอะไรพวกนั้นแล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่ข้าคลอดลูก นั่นก็นับว่าเป็นชีวิตใหม่ เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ข้าสามารถลืมมันได้โดยไม่ต้องพูดถึงอีก ข้าเดินร่วมทางกับเขามานานขนาดนี้ ก็รู้อยู่ว่าเขาทำตัวกับคนอื่นอย่างไร”
หยวนชิงหลิงเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาก พูดว่า “เพคะ!”
“ลำบากเจ้าแล้ว!” หวงกุ้ยเฟยจับมือนาง หวนนึกถึงอุปสรรคที่ได้พบมา น้ำตาก็ไหลนองออกมาจากสองดวงตา “หากไม่มีเจ้า น่ากลัวว่าเด็กคนนี้ คงไม่อาจมาอยู่เคียงข้างข้าได้เช่นนี้แน่ ”
“ พวกเราไม่พูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่านะเพคะ ท่านเองก็ช่วยข้ามานับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน ” หยวนชิงหลิงพูด
ทั้งสองต่างส่งยิ้มให้กันทั้งน้ำตา
ตอนที่หยวนชิงหลิงจะออกจากวัง ก็ไปที่ห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้หมิงหยวน
ได้เห็นเส้นเกศาที่เริ่มหงอกขาวของฮ่องเต้หมิงหยวน ในใจก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา เมื่อนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในภายหลังของเป่ยถัง ก็รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณที่ได้รับมาไม่น้อย นางพูดว่า “เสด็จพ่อ ท่านโปรดรักษาพระวรกายด้วยนะเพคะ!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนจ้องมองนางนิ่ง ๆ “พระชายารัชทายาท มีหลายคนที่บอกว่าข้าลำเอียง ปฏิบัติต่อเจ้าและเจ้าห้าอย่างไม่ยุติธรรมเจ้ามีความรู้สึกขุ่นเคืองใจต่อข้าบ้างหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ไม่หรอกเพคะ เสด็จพ่อดีต่อข้าและเจ้าห้ามาก ข้าเองก็นับถือว่าท่านเป็นดั่งพ่อแท้ ๆ ของข้าเช่นกัน”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองนาง “เป็นความจริงจากใจเจ้าเลยหรือ?”
“เป็นความจริงจากใจเพคะ” หยวนชิงหลิงก้าวขึ้นไปข้างหน้า ค้อมตัวลงคำนับ “ทุกเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีต ข้าล้วนจดจำมันไว้ในใจ ความอดทน ความรัก และความสงสารที่เสด็จพ่อมีให้ข้านั้น ข้าสามารถรับรู้และสัมผัสได้ทั้งหมด ข้าไม่อาจไปยืนบนสถานการณ์โดยรวม แล้วตัดสินว่าใครยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม แต่ข้าจะระลึกถึงสิ่งที่ได้รับมาจากเสด็จพ่อ และรู้สึกซาบซึ้งในสิ่งเหล่านั้น เสด็จพ่อดีมาก ดีมากจริง ๆ เพคะ! ”
ความกังวลในดวงเนตรของฮ่องเต้หมิงหยวนละลายหายไป “เจ้าพูดเช่นนี้ ข้ามีความสุขนัก”
หยวนชิงหลิงพูดจากใจจริง อันที่จริงแล้ว เมื่อเขานึกถึงเรื่องราวในอดีต เสด็จพ่อกระทำความผิดอย่างใหญ่หลวงหรือไม่? ก็ไม่ แม้ว่าก่อนหน้านี้ เขาจะเคยมีเรื่องขัดแย้งกับไท่ซ่างหวง หรืออาจมีความเห็นแก่ตัวไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ความผิดใหญ่โตอะไร แต่เป็นเพราะมันเกิดผลที่ร้ายแรงตามมาในภายหลังต่างหาก
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะฮ่องเต้จะทำถูกหรือผิด ก็ไม่ใช่สิ่งที่นางจะสามารถแสดงความคิดเห็นได้ แม้ว่าเสด็จพ่อจะไม่ใช่กษัตริย์ที่ปรีชาสามารถเป็นเลิศ แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ความสามารถเอาเสียเลย
หลังจากออกจากวังแล้ว นางก็ไปที่เรือนข้างเพื่อรายงานข่าวดีให้แก่ไท่ซ่างหวง
ไท่ซ่างหวงรู้ข่าวนานแล้ว ในวันที่สองหลังจากหวงกุ้ยเฟยให้กำเนิดพระธิดา ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ส่งคนมาทูลรายงานข่าวดีนี้แล้ว
ไท่ซ่างหวงดีใจมาก ทั้งยังดีใจแทนหวงกุ้ยเฟยด้วย
“ นางโดดเดี่ยวมาครึ่งค่อนชีวิต มาตอนนี้นับว่านางมีความหวังแล้ว” ไท่ซ่างหวงกล่าว
หยวนชิงหลิงพยักหน้า “ใช่แล้วเพคะ!”
“ ลูกของฮู่เฟย เป็นฉินเฟยที่ทำร้าย ใช่หรือไม่?” ไท่ซ่างหวงก็รู้เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แต่เขาแค่ไม่รู้รายละเอียดเบื้องลึกเบื้องหลัง
“ กู้ซือตรวจสอบแล้ว พบว่าเป็นฉินเฟยทำเพคะ นางไม่เต็มใจ ความคิดของนางช่างบิดเบี้ยวเหลือเกิน”
หยวนชิงหลิงพูดแบบเลี่ยงประเด็นสำคัญ เรื่องแบบนี้ นางไม่อยากที่จะเจาะลึกจนเกินไปนัก ดังนั้น เสด็จพ่อจึงไม่ได้วางแผนจัดการเรื่องนี้แบบใหญ่โตเอิกเกริก แค่กักตัวนางเอาไว้ก่อน รอให้เรื่องน่ายินดีนี้ผ่านพ้นไปแล้ว ค่อยจัดการทีเดียว
ไท่ซ่างหวงเอ่ยขึ้นว่า “อันที่จริง ราชวงศ์ไหนไม่มีเรื่องสกปรกในวังหลังบ้างล่ะ? ข้าจะส่งคนไปพูดเกลี้ยกล่อมเขาเอง ไม่จำเป็นต้องไปหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องพวกนี้ให้มากเกินไปนัก จัดการได้แล้วก็แล้วกันไป ทั้งไม่ต้องไปคิดอะไรมากเกี่ยวกับความรู้สึกเมื่อครั้งก่อนเก่า ชั่วขณะที่นางคิดจะฆ่าคน ในใจนางก็คงไม่คิดถึงความรักใคร่ผูกพันเมื่อครั้งก่อนเก่าเช่นกัน เรื่องบางเรื่องเมื่อถึงเวลาที่ต้องโหดเหี้ยม ก็ต้องโหดเหี้ยมเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นมันจะมีปัญหาตามมาไม่จบไม่สิ้น เฮ้อ! ข้าเองก็คิดจนเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วเช่นกัน อันที่จริงเขาเองก็ลำบาก เป็นเพราะข้าที่ผูกมัดเขามากเกินไป ทั้งยังกดดันเขามากเกินไป ที่จริงตัวข้าก็แบกรับภาระไว้มากมายหลายอย่าง ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงไม่สนใจอะไรแล้ว สิ่งที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ก็หวังแค่ว่าเขาจะเข้าใจได้ ”
“โอ้!”หยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดนี้ แท้จริงก็รู้ดีว่าในใจของไท่ซ่างหวงก็ไม่เคยตำหนิฝ่าบาท สองคนพ่อลูกไม่ได้มีเรื่องทะเลาะ หรือบาดหมางอะไรกันแบบข้ามวันข้ามคืน
ไท่ซ่างหวงเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ยังมีอีก เรื่องใด ๆ ในวังเจ้าอย่าได้ไปสนใจ พยายามแสดงความกตัญญูอย่างที่เจ้าเป็นก็พอ แม้ว่าในตอนนี้วังหลังจะนับว่ายังสงบอยู่ แต่ถึงอย่างไรมีถูกก็ต้องมีผิดอยู่วันยังค่ำ อย่าเอาตัวเข้าไปเกลือกกลั้วกับสิ่งเหล่านี้”
หยวนชิงหลิงตอบรับว่า “ทราบแล้วเพคะ!”
ระหว่างที่กำลังสนทนากัน คุณย่าก็มาพอดี คุณย่าสั่งยาให้โสวฝู่ และนำยาชนิดใหม่ที่ทำเองมาให้โสวฝู่ลองใช้ ยานี้ทำออกมาเป็นยาเม็ด มีสรรพคุณใช้เพื่อขจัดลิ่มเลือดภายในและห้ามเลือด
สถานการณ์ของโสวฝู่ไม่ได้แย่ลง แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้น จึงหวังแค่ว่ายาใหม่นี้จะใช้ได้ผล
ตอนที่หยวนชิงหลิงกลับไป ก็ขอให้คุณย่ากลับไปพร้อมกัน ขณะที่นั่งข้างคุณย่าบนรถม้า หยวนชิงหลิงรู้สึกผ่อนคลายมาก ราวกับว่าหมอกควันอึมครึมทั้งหมดได้ผ่านพ้นไปแล้ว
“ คุณย่า ขอบคุณนะคะที่มาดูแลโสวฝู่อยู่เสมอ!” หยวนชิงหลิงพูด
คุณย่าหยวนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เด็กโง่ จะมาพูดขอบ อก ขอบใจอะไรกัน ตอนนี้โสวฝู่เป็นคนไข้ของย่าแล้ว ย่าก็ต้องมีหน้าที่สั่งยาปรุงยารักษาให้เขาเป็นธรรมดาสิ”
“ชีพจรเป็นยังไงบ้างคะ?”
คุณย่าหยวนตอบว่า “คงต้องรอดูผลของยาตัวใหม่ก่อน ย่าเพิ่มปริมาณเข้าไปอีกหน่อย ยังไงเขาก็มีพื้นฐานวรยุทธ์ บวกกับสุขภาพของเขาก็ไม่นับว่าเลวร้ายอะไรนัก เราต้องลองใช้การรักษาตามหลักสูตรดู”
หยวนชิงหลิงพยักหน้า ตอนนี้ก็ไม่มีวิธีอื่นเหมือนกัน ก็มีแต่ต้องทำอย่างนี้ไปก่อนแล้ว