บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1369 ใกล้แล้ว
หลังจากที่ฉินเฟยถูกสั่งคุมขังในตำหนักเย็น นางก็ร้องไห้ฟูมฟาย เอาแต่ร้องเรียกให้ฮูหยินเหยาพาจวิ้นจู่ทั้งสองเข้าวังมาพบนาง
เดิมทีฮูหยินเหยาไม่เต็มใจจะไป แต่เพราะกลัวว่านางจะเอะอะโวยวายหนักจนสร้างปัญหาร้ายแรง จนอาจไปลากเอาจวิ้นจู่ทั้งสองมาลำบากไปด้วย จึงทูลขอพระราชโองการเพื่อเข้าวัง
ฮ่องเต้หมิงหยวนสั่งให้มู่หรูกงกงไปกับนางด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงว่าอาจมีปัญหาอะไรขึ้นมาอีก
มู่หรูกงกงตามนางไปถึงด้านนอกของตำหนักเย็น จากนั้นค่อยยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู ปล่อยให้ฮูหยินเหยาเข้าไปเองคนเดียว
เดิมทีฮูหยินเหยาคิดว่าหลังจากที่ฉินเฟยทำเรื่องอย่างนั้นลงไป นางจะไม่สนใจชีวิตว่าจะอยู่หรือตายอีกต่อไปแล้ว แต่แท้ที่จริงแล้ว นางกลับหวาดกลัวความตายอย่างมาก ทันทีที่ได้เห็นหน้าฮูหยินเหยา คำพูดประโยคแรกของนางคือคำสั่งว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีการอะไร เจ้าต้องไปขอร้องฝ่าบาทให้ละเว้นโทษของข้า ให้ข้าพ้นจากโทษประหารให้ได้ ข้ารู้ว่าเจ้ามีหนทาง”
ฮูหยินเหยาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มอย่างขมขื่น “ฉินเฟยประเมินข้าสูงเกินไปแล้วล่ะ ข้าไม่มีความสามารถขนาดนั้น ยิ่งไม่มีวิธีช่วยคนที่วางยาพิษฆ่าองค์ชายอีกด้วย”
ใบหน้าของฉินเฟยบิดเบี้ยว พูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้ากล้าไม่ฟังคำพูดของข้าแล้วอย่างนั้นรึ?”
นางทำเหมือนว่า ตัวนางยังคงเป็นฉินเฟยผู้มีฐานะสูงส่งคนเดิม ส่วนฮูหยินเหยาก็ยังคงเป็นลูกสะใภ้ที่ก้มหน้าก้มตารับคำสั่งจากนางเหมือนในอดีต แต่ฮูหยินเหยาในอดีตเพียงแค่เห็นแก่ความสัมพันธ์ จึงกตัญญูต่อนาง แต่เอาเข้าจริงความทรงจำที่อดีตแม่สามีคนนี้ทิ้งไว้ให้นาง กลับไม่ใช่ความทรงจำที่ดีอะไรนัก
แต่อย่างไรก็เห็นแก่ที่นางเป็นย่าของจวิ้นจู่ทั้งสอง ฮูหยินเหยาจึงพูดอย่างอดทนว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับการเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟัง แต่มันเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก การวางยาพิษองค์ชายมีโทษคือประหารชีวิต ไม่มีใครสามารถร้องขอความเมตตาได้ ”
ฉินเฟยยังคงดื้อรั้น พูดข้าง ๆ คู ๆ ว่า “ที่ตายไปเป็นลูกของฮู่เฟยเท่านั้น ลูกสาวของหวงกุ้ยเฟยก็ยังอยู่รอดปลอดภัยไม่ใช่รึ? ฮู่เฟยสมควรตาย เจ้าควรจะเกลียดฮู่เฟยถึงจะถูก”
ฮูหยินเหยาพูดอย่างเย็นชาว่า”ทำไมข้าถึงต้องเกลียดฮู่เฟยด้วยล่ะ? แล้วทำไมท่านถึงต้องเกลียดฮู่เฟยด้วย? ฮู่เฟยเคยทำร้ายท่านหรือ? ฮู่เฟยเคยทำร้ายใครบ้าง? หลังจากที่หยู่เหวินจุนตายไป เดิมทีข้ายังนึกว่าท่านจะคิดได้แล้ว จะไม่เอาแต่จมจ่อมอยู่กับความขุ่นเคืองใจในอดีต แต่ทำไมท่านกลับยิ่งทำตัวรุนแรงร้ายกาจเช่นนี้? ท่านรู้หรือไม่ว่าการทำความผิดมหันต์ครั้งนี้ มันอาจจะส่งผลถึงจวิ้นจู่ทั้งสองได้ ท่านเคยคิดถึงผลที่จะเกิดกับพวกนางบ้างหรือไม่?”
นัยน์ตาของฉินเฟยแดงก่ำ ราวกับมีเลือดสด ๆ ไหลออกมา พูดด้วยอารมณ์โกรธเคืองเกรี้ยวกราดว่า “ข้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น! ข้าจะตายไม่ได้ ไม่ใช่ว่าความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระชายารัชทายาทมันดีมากหรอกรึ? ไปขอร้องนางเข้าสิ ให้นางไปขอร้องรัชทายาท ไปทูลขอฝ่าบาท อย่างไรเจ้าก็มักจะหาหนทางจนได้อยู่แล้ว ข้าจะตายไม่ได้!”
ฮูหยินเหยามองดูนางกัดฟันกางเล็บขู่ ก็เกิดความรู้สึกรังเกียจสมเพชขึ้นมา คิดในใจว่าถ้านางไม่ได้ให้กำเนิดลูกชายคนโต บวกกับเรื่องในวังหลังไม่ได้ซับซ้อน ด้วยนิสัยเย่อหยิ่งและเอาแต่วางอำนาจแบบนี้ของนาง น่ากลัวว่าคงจะตายไปตั้งนานแล้ว
ฮูหยินเหยารู้สึกว่าการมาครั้งนี้เสียเที่ยวเปล่าซะแล้ว นางหลุบสายตาลง พลางพูดเบา ๆ ว่า “นั่นเป็นความผิดที่ท่านก่อขึ้นเอง ท่านก็ต้องยอมรับผลของมันเอง ขออภัย ข้าช่วยท่านไม่ได้ ต้องขอลาแล้ว!”
“เจ้ากล้ารึ? เจ้ากล้าไปอย่างนั้นรึ?”
ฉินเฟยยื่นมือออกไปหมายจะคว้าหลังคอของนาง แต่มู่หรูกงกงที่อยู่หน้าที่ประตูพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วหยุดฉินเฟยไว้ได้แบบทันท่วงที
ฉินเฟยแผดเสียงร้องด่าดังลั่นว่า ” นังผู้หญิงใจอสรพิษ ทำไมเจ้าถึงได้โหดเหี้ยมขนาดนี้? เมื่อก่อนข้าเคยดีกับเจ้าตั้งเท่าไหร่ ทำไมเจ้าถึงได้เนรคุณข้าแบบนี้ เจ้ามันช่างใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตนัก ทำไมเจ้าถึงได้เมินเฉยไม่สนใจความเป็นความตายของข้าแบบนี้?”
ฮูหยินเหยารีบสาวเท้าก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ได้ยินคำพูดเหล่านี้ นางไม่แม้แต่คิดจะพูดหักล้าง นางอยากจะพูดอะไรก็ปล่อยให้นางพูดไปเถอะ ตัวนางไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
เรื่องในอดีตที่ผ่านเลยไป นางปล่อยวางมันลงได้ตั้งนานแล้ว!
ที่ด้านหลัง ยังมีเสียงของฉินเฟยที่ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งดังขึ้นไม่หยุด “เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้นะ! กลับมาเดี๋ยวนี้! กลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้…..”
ประตูหลักของตำหนักเย็นถูกปิดลง เหมือนทุกอย่างในนั้นถูกแยกออกจากโลกภายนอก นางพูดกับมู่หรูกงกงเบา ๆ ว่า”คนเราในชีวิตหนึ่ง ถ้าทำเรื่องอะไรผิดไป มีหลายครั้งที่ยังสามารถหันหลังกลับได้ แต่โอกาสที่สวรรค์มอบให้ล้วนมีจำกัด ต้องดูที่ว่าคนคนนั้นจะสำนึกได้หรือไม่ ถ้ารู้จักสำนึกได้ ก็ยังพอมีโอกาสใช้ชีวิต ยังมีโอกาสก้าวเดินต่อไปในวันข้างหน้าได้ แต่ถ้าไม่รู้จักสำนึก ก็คงไม่มีโอกาสรับความเมตตาจากใครได้อีกแล้ว”
“ฮูหยินพูดได้ถูกต้องแล้ว!” มู่หรูกงกงตอบรับ
ฮูหยินเหยาห่อกระชับเสื้อคลุมไว้แน่น สาวเท้าก้าวเดินออกจากซากปรักหักพังของตำหนักเย็นไปทีละก้าว ๆ นางเดินผ่านตำหนักฉางเหมิน เกิดความลังเลขึ้นมาครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เข้าไปน้อมทักทายหวงกุ้ยเฟย
แต่คิดไม่ถึงว่า ฮู่เฟยก็อยู่ที่นี่ด้วย
ดูเหมือนว่าฮู่เฟยก็รู้ว่านางมาพบฉินเฟย จึงพูดกับฮูหยินเหยาว่า “ฮูหยิน เรื่องของฉินเฟย เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลให้มากนักหรอก ฝ่าบาทจะทรงจัดการเอง”
ฮูหยินเหยาพูดว่า “อย่างไรก็เคยผูกพันเป็นแม่สามีกับลูกสะใภ้กันมาก่อน ถือเสียว่ามาพบหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกันเพคะ”
หวงกุ้ยเฟยมองฮูหยินเหยา เลี่ยงไม่คุยเรื่องของฉินเฟย แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าได้ยินมาว่าหรงเยว่คลอดแล้ว ทั้งยังคลอดง่ายมาก ช่างเป็นเรื่องดีจริง ๆ”
ฮูหยินเหยายิ้มพลางพูดว่า “ใช่แล้วเพคะ ตอนที่ข้าไปถึง นางก็คลอดเสร็จแล้ว พวกเราทุกคนล้วนตกใจไปตาม ๆ กันเลยล่ะเพคะ”
“ อย่างนี้ดีแล้ว ไม่ต้องทนทรมาน!” หวงกุ้ยเฟยกล่าว
ฮู่เฟยอุ้มองค์หญิงน้อยมาให้ฮูหยินเหยาดู พลางมองด้วยสายตาที่เอ็นดูรักใคร่ “วันนี้องค์หญิงน้อยอมนิ้วมือตลอดเลย นางซุกซนมาก”
“น่ารักจริง!” ฮูหยินเหยาอดคิดถึงเมิ่งเยว่กับเมิ่งซิง เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กไม่ได้ หัวใจพลันอ่อนระทวยลงไปเกินครึ่ง คำพูดที่น่ารังเกียจและเลวร้ายของฉินเฟยเมื่อครู่ ล้วนถูกขจัดปัดเป่าจนลืมสิ้นไปหมดแล้ว
ตอนที่นางออกจากตำหนักฉางเหมิน นางหันกลับไปมองแวบหนึ่ง ก็เห็นฮู่เฟยกำลังคุยอยู่กับหวงกุ้ยเฟย ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรกัน แต่หวงกุ้ยเฟยก็หัวเราะพลางหันไปดูองค์หญิงน้อยพร้อม ๆ กับนาง ช่างเป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสมานสามัคคีจนไม่อาจบรรยายได้
หลังจากฮูหยินเหยาออกจากวังแล้ว นางก็ไปคุยเรื่องนี้กับหยวนชิงหลิง หยวนชิงหลิงพูดว่า “หลังจากที่ฮู่เฟยเข้าวัง หวงกุ้ยเฟยก็เมตตาดูแลนางอย่างดีมาโดยตลอด คอยตักเตือนทุกการกระทำที่วู่วาม คอยชี้แนะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ด้วยนิสัยประมาทเลินเล่อในอดีตของฮู่เฟย คงไปสร้างความขุ่นเคืองใจให้บรรดาสนมทั้งวังหลังหมดแล้วล่ะ แม้ว่านางจะได้รับความโปรดปราน แต่ถ้ามีคนจำนวนมากที่จ้องทำร้ายนางอยู่ อย่างไรก็ต้องมีคนที่ประสบความสำเร็จจนได้ อีกทั้งในวังหลัง แผนการของเหล่านางสนมเหล่านั้น ยังด้อยกว่าแผนการของหวงกุ้ยเฟยอยู่มาก ไม่ใช่ว่าหวงกุ้ยเฟยไม่เก่งเรื่องการวางแผน นางแค่ไม่อยากทำแบบนั้น แต่นางใช้มันเพื่อปกป้องฮู่เฟย ในใจของฮู่เฟยเองก็ย่อมรู้แจ้งดีอยู่แล้ว”
ฮูหยินเหยาพูดอย่างครุ่นคิดว่า”จริงๆ แล้วฮู่เฟยก็ค่อนข้างฉลาดอยู่นะ”
หยวนชิงหลิงหวนนึกไปถึงตอนที่ฮู่เฟยเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง นางแสดงท่าทีแบบแม่ผู้มีเมตตาต่อนางและเจ้าห้า ฮุ่เฟยในตอนนั้น ยังมีนิสัยทำอะไรล้วนคิดว่าจะเป็นไปได้ตามที่คิด กระบวนการคิดและจิตใจไร้เดียงสาอยู่มาก แต่หลายปีมานี้ นางมีความเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว แต่ถ้าจะใช้คำว่าฉลาดมาอธิบายตัวตนของนาง คิดว่าก็ยังไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่
หลังจากคิดไปคิดมา ก็พูดว่า “นางไม่ใช่ว่าฉลาดหรอก นางแค่ปรับตัวได้ดี ถ้าคนอื่นดีกับนาง นางก็จะดีกับคนคนนั้น ตอนนี้นางคงจะยังอยู่ในตำหนักฉางเหมินแน่ เพราะนางรู้ว่าถ้าอยู่ที่นั่นนางจะปลอดภัยที่สุด สามารถวางใจได้มากที่สุด”
ฮูหยินเหยาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “แม้ว่าสถานะของเจ้ากับข้า มาคุยกันเรื่องวังหลังจะเป็นการไม่เหมาะไม่ควร แต่อันที่จริง เสด็จพ่อก็ควรต้องกังวลเกี่ยวกับความรู้สึกของนางสนมคนอื่น ๆ ในวังหลัง การมอบความโปรดปรานต่อฮู่เฟยมากเกินไป ย่อมจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาเสมอ ในอดีต หวงกุ้ยเฟยยังพอสามารถยับยั้งเอาไว้ได้ แต่มาตอนนี้ ก็ไม่แน่แล้วว่าจิ้งกุ้ยเฟยจะสามารถยับยั้งเอาไว้ได้”
แท้จริงแล้วหยวนชิงหลิงดู ๆ ไปก็เห็นได้เข้าใจชัดเจนอยู่ นางพูดว่า “เขาเกิดความรู้สึกที่แท้จริงต่อฮู่เฟย แต่บรรดานางสนมในวังหลังหลายคน ต่างก็เป็นคนเก่าคนแก่ที่อยู่กับเขามากว่ายี่สิบปี การจะตัดทิ้งไปเลยจริง ๆ คงเป็นไปไม่ได้ สิ่งนี้ทำให้เขามีอารมณ์และพฤติกรรมที่ขัดแย้งกันอย่างมาก สิ่งต่าง ๆ ล้วนเกิดจากจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันนี้ และเขาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน ฮูหยินเหยา เจ้าเองก็เข้าใจดี ในเวลาที่ทั่วทั้งร่างกายของเจ้าติดอยู่ในพันธนาการ การจะเสาะแสวงหาหรือไล่ตามความรัก ย่อมมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ ”
ความรักของฮ่องเต้ที่ล่วงเข้าสู่วัยกลางคน จะง่ายดายได้อย่างไรล่ะ?
ฮูหยินเหยาพยักหน้าเงียบ ๆ นางเข้าใจ!
หยวนชิงหลิงพูดว่า”เรื่องในวัง พวกเราไม่ต้องไปสนใจหรอก แค่ใช้ชีวิตของเราให้ดีก็พอ!”
“ใช่แล้ว เจ้าพูดถูก” ฮูหยินเหยาหัวเราะ “ตอนนี้ทุกคนต่างก็กำลังเฝ้ารอลูกในท้องของเจ้าเกิดมากันทั้งนั้นเลย!”
หยวนชิงหลิงยิ้มอย่างมีความสุข “ใกล้แล้วล่ะ!”