บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 137 ข้ามาขอโทษ
ตอนนี้ในใจของหยู่เหวินเห้านั้นเศร้าโศกและเจ็บปวด
เขาจึงได้แต่ตอบกลับไปอย่างเฉยชา: “ถ้าหากมีคนเช่นนั้นปรากฏตัวออกมา แต่สิ่งที่นางนำมาให้เขามีเพียงแต่ความทุกข์ทรมาน ไม่มีความรักใคร่ ไม่มีความสุขเล่า”
“มีความทุกข์ทรมาน ก็ต้องมีความรักใคร่สิ”
หยู่เหวินเห้ากระดกสุราขึ้นดื่ม เขาพบว่าสำหรับกู้ซือในตอนนี้พวกเขาไม่มีเรื่องเสวนาที่เข้ากันได้อีกแล้ว มิตรภาพของพวกเขามาถึงที่สิ้นสุดแล้ว
แต่เพื่อต้องการที่จะให้การแนะนำเป็นครั้งสุดท้ายเขาจึงชี้หน้ากู้ซือ: “ทางที่ดีอย่าได้ทำเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องเสียใจ”
กู้ซือดึงมือเขาเอาไว้ “ท่านนั่งลง มาดื่มกับข้าเสียหน่อย ท่านนี่ช่างไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ สิ่งที่ท่านมีต่อฉู่หมิงชุ่ยคือรักแท้หรือไง?ไม่ใช่ ท่านไม่ได้มีเจ็บปวดที่ไม่ได้ความรักจากนาง วันใดที่ไม่ได้พบหน้ากันก็ไม่รู้สึกว่าท้องฟ้านี้จะกลายเป็นสีเทา ท่านเพียงคิดว่านางเหมาะสม ควรค่าที่จะเป็นพระชายาของท่าน อย่างไรเสียท่านก็ถูกนางทำร้าย แน่อยู่แล้วที่จะไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ กับนาง”
หยู่เหวินเห้าผลักเขาออก “เจ้าตั้งสติหน่อย”
พูดจบเขาก็เดินไปอย่างไม่พึงพอใจ
“ข้ามีคนที่ชอบแล้ว!” ทันใดนั้นกู้ซือก็ตะโกนออกมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
หยู่เหวินเห้ารีบหันหลังกลับทันที นี่ถือเป็นเรื่องสดใหม่เชียว “ผู้ใดกัน?”
กู้ซือยกนิ้วขึ้นมา “หยวนชิง……”
รองเท้าหุ้มข้างหนึ่งลอยเข้ามาแล้วพุ่งลงใส่หน้าของกู้ซือโดยตรง หยู่เหวินเห้าโกรธราวกับสิงโตที่กระโจนเข้าใส่เขาแล้วซัดหมัดลงไป
กู้ซือที่จู่ๆ ก็โดนต่อยใส่ จะยอมนิ่งนอนใจได้อย่างไร? จึงใช้ฤทธิ์จากความเมากระโจนเข้าไปชกต่อยกับเขา
พวกเขาทั้งสองล้วนแต่มีทักษะการต่อสู้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเป็นเหมือนการตีต่อยที่ล้มลุกคลุกคลานแทน เจ้าตีข้าทีหนึ่ง ข้าต่อยเจ้าทีหนึ่ง เจ้าจับข้าที ข้าก็จับเจ้าที สุดท้ายก็ตีกันจนต้องมานั่งหอบอยู่กับพื้น แล้วสบตากันด้วยความเคียดแค้น
“เจ้าไปเอาความกล้าบ้าบิ่นเช่นนี้มาจากไหน?ถึงได้กล้าคิดเพ้อเจ้อเช่นนี้กับพระชายาของข้า?” หยู่เหวินเห้ากำทรายขึ้นมากำหนึ่งแล้วโยนใส่เขาทันที
กู้ซือตอบกลับอย่างดุเดือด “ท่านเป็นบ้าอะไรกัน?ข้าไปคิดเพ้อเจ้อกับพระชายาของท่านตั้งแต่เมื่อใดเล่า?คนที่ข้าชอบคือหยวนชิงผิง น้องสะใภ้ของเจ้าต่างหากล่ะ”
ไอ้โย เข้าใจผิดงั้นสิ?หยู่เหวินเห้าถึงกับตะลึงงัน หยวนชิงผิงเป็นคนหน้าตาแบบไหน?จำไม่ได้แล้ว แต่นางเคยมาที่จวนอ๋องครั้งหนึ่ง เป็นคนที่พูดจาเฉียบขาดรุนแรง
เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรขึ้นมา: “หยวนชิงผิงคนนี้เป็นที่พูดจาค่อนข้างโหดร้าย เจ้าไปชอบนางได้อย่างไร?เมื่อก่อนนี้เจ้าก็ไม่ได้รู้จักนางเสียหน่อย เกิดเรื่องตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
กู้ซือจ้องมองเขา “เหตุใดข้าจะต้องบอกท่านด้วย?”
“ก็ได้ ข้ารู้ว่าเมื่อสักครู่นี้ข้าใจร้อนเกินไป มา ข้าจะเช็ดหน้าให้เจ้า” เขาลุกขึ้นมาแล้วช่วยประคองกู้ซือ “เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกกับข้าสักคำเล่า?นางเป็นน้องสะใภ้ของข้า ข้าสามารถเป็นพ่อสื่อให้กับเจ้าได้”
กู้ซือสะบัดมือออก “ช่างเถอะ ท่านดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถิด เห็นสภาพไร้วิญญาณของท่านแล้ว ไม่ต้องมาช่วยข้าจะดีกว่า ยิ่งช่วยจะยิ่งมีปัญหา”
ถึงอย่างนั้นหยู่เหวินเห้าก็ยังรู้สึกค้างคาใจ “พวกเจ้าสองคนไปปิ้งรักกันตอนไหนเล่า?”
“ท่านเชื่อในรักแรกพบหรือไม่?เพียงแค่สบตาเดียวเท่านั้น ท่านก็รู้ได้เลยว่านางคือคนที่จะเดินไปกับท่านจนแก่เฒ่า” กู้ซืออธิบายอย่างแผ่วเบา
หยู่เหวินเห้ามองเขา รักแรกพบอะไรกัน? อยู่ๆ ก็พูดเรื่องเหลวไหลออกมาได้ กู้ซือต้องวิปลาสไปแล้วแน่ๆ
“แน่นอนว่าข้าต้องเชื่ออยู่แล้ว มันก็คือพรหมลิขิต เจ้าจงมุ่งมั่นต่อไป ส่วนข้านั้นต้องขอตัวกลับก่อน” เขาตบไหล่กู้ซือแล้วก็หันหลังกลับ
พอได้ต่อสู้กับกู้ซือไปยกหนึ่ง หยู่เหวินเห้าก็ควบม้ากลับด้วยร่างกายที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่ถึงอย่างนั้นอารมณ์ของเขากลับตกต่ำลงเรื่อยๆ
หลังจากที่ได้อาละวาด ความเหงากลับเพิ่มพูนมากขึ้น
ในยามที่ลมพัดผ่าน ทั้งใบหน้าและศีรษะก็รู้สึกเจ็บไปหมด ก่อนที่เขาจะยิ้มออกมาอย่างเย็นชา นานมากแล้วที่ไม่ได้ทะเลาะชกต่อยแบบนี้
ซึ่งมันทำให้เกิดความละอายใจไม่น้อย
แล้วการที่กู้ซือไปหลงรักคนของตระกูลหยวน คงจะต้องทำให้เขาสิ้นหวังและทุกข์ทรมานแน่นอน บิดาของเขาจะยินยอมให้เขาสมรสกับบุตรสาวของตระกูลหยวนได้อย่างไร? คาดว่าเขาคงจะได้แค่ฝันแล้วเท่านั้น
ส่วนเขานั้นเพราะเวรกรรมแต่ชาติปางก่อนนำพามาซึ่งความโชคร้าย เขาถึงได้อภิเษกกับ……
เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ คำพูดประโยคนี้แค่คิดก็แทบจะทนไม่ไหว
ไม่กี่วันก่อน พอเสร็จธุระเขาก็จะต้องรีบเร่งม้ากลับไปให้ถึงจวนโดยเร็ว แต่ตอนนี้กลับแล้วจะมีประโยชน์อันใด?
แต่ด้วยความเมา เขาจึงไม่อยากต่อเวลาที่จะอยู่ข้างนอกต่อไป ดังนั้นเลยเร่งม้ากลับจวนทันที
เมื่อประตูหน้าจวน จึงได้ให้คนเฝ้าประตูจูงม้าไป แล้วได้เห็นฉี่หลอที่วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาด้วยสีหน้ากังวล “ท่านอ๋อง นี่ยามใดแล้วเจ้าคะ เหตุใดถึงได้กลับเวลาป่านนี้เล่าเจ้าคะ?”
“ข้ามีธุระ เจ้ามีเหตุอันใดหรือ?” เขาเดินตรงเข้าไป
ฉี่หลอเดินตามไปพลางกล่าว: “พระชายาเข้ามาที่ตำหนักเซี่ยวเยว่ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ทั้งยังนั่งรออยู่ที่หน้าบันไดรอท่านกลับมา จนครบสองชั่วยามแล้วเจ้าค่ะ รอจนถึงตอนนี้พระชายาก็ยังไม่กลับ”
หยู่เหวินเห้าที่ได้ยินดังนั้น จึงรีบวิ่งเข้าไปด้านในทันที “นางมีเรื่องเร่งด่วนอะไรงั้นหรือ?”
“ข้าถามแล้ว ไม่มีเจ้าค่ะ ทั้งยังเอาแต่บอกจะรอท่านกลับมา” ฉี่หลอรีบตามเข้าไปเล่าความ
หยู่เหวินเห้ารีบวิ่งเข้าไปจนถึงตำหนักเซี่ยวเยว่ และได้เห็นหยวนชิงหลิงที่กำลังนั่งอยู่ตรงขั้นบันได นางหลับไปแล้วโดยเอนหัวลงบนเสากลม
ในค่ำคืนอันเหน็บหนาว นางนั่งกอดเข้าทั้งสองข้างเอาไว้ ร่างกายขดเข้าหากัน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าอากาศค่อนข้างหนาว และคงเพราะได้ยินเสียงฝีเท้า ดวงตาของนางค่อยๆ ลืมขึ้นมา พร้อมกับขยี้ดวงตาที่กำลังพร่ามัว แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืนโดยใช้มือยันกับเสากลมเอาไว้ด้วยท่ายืนที่ไม่ค่อยมั่นคง “ท่านกลับมาแล้วหรือ?”
“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?มีธุระงั้นหรือ?” เมื่อนึกถึงท่าทางที่เฉยชาของนาง เขาจงอัดอั้นความกังวลและความห่วงใยที่มีต่อนางลงแล้วถาม
“ข้าอยากจะพูดคุยกับท่าน” ท่าทางของนางดูน่าเห็นใจเป็นอย่างมาก
สุดท้ายเขาก็ทนไม่ได้: “เข้าไปคุยด้านในเถอะ”
เขามองนาง แล้วเดินผ่านนางเข้าไปด้านใน
หยวนชิงหลิงก็เดินตามไปอย่างทำตัวไม่ถูก พลางจามออกมาสองครั้ง
พอเข้าไปด้านใน เขายังไม่ทันได้หันหลังกลับ หยวนชิงหลิงก็โผเข้ากอดเขาจากด้านหลังเสียก่อนแล้ว
เขาถึงกับตกใจ ร่างกายแข็งทื่อไปปชั่วขณะ
นางพูดด้วยน้ำเสียงที่จมูกถูกกดไว้อย่างหนัก: “ข้าหนาว ขอกอดสักหน่อยได้หรือไม่?”
เขาหันหลังมาเผชิญหน้ากับนาง นางเงยหน้าขึ้น แววตาดูสุกใสและทั้งน่าสงสาร
เขาถอนหายใจออกมา ก่อนจะดึงนางเข้าไปไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าอันเย็นเยือกราวกับหิมะของนางแนบลงบน
แผ่นอกของเขา
“หน้าของท่านโดนอะไรมา?” นางถามด้วยความอึดอัดใจใต้อ้อมแขนของเขา
“ต่อสู้กับกู้ซือ” เสียงของเขายังคงเรียบเฉย เพราะยังไม่เข้าใจว่าที่แท้แล้วนางกำลังคิดอย่างไรกันแน่ กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้กลับมาที่นี่แล้วยังรอตั้งหนึ่งชั่วยามอีก ทั้งที่หลายวันก่อนหน้านี้ยังเย็นชากับเขา แล้วยังพูดจาด้วยถ้อยคำที่โหดร้ายเช่นนั้นอยู่เลย
นางตอบรับรู้เพียงคำเดียว โดยไม่ต่อความอะไรมากมาย ก่อนที่จะปล่อยเขา: “ข้าช่วยทำแผลให้ท่านดีกว่า เลือดซึมออกมาหมดแล้ว”
เขาพยักหน้า แล้วนั่งลงมองดูนางหยิบกล่องยาออกมา แล้วนำบางอย่างที่เขาไม่รู้จักเทลงบนก้อนสำลี แล้วค่อยช่วยเขาล้างทรายที่อยู่แผลของเขาราวกับภรรยาตัวน้อยที่ลงมืออย่างระมัดระวัง
“เจ็บหรือไม่?” นางกล่าวถาม
เขามองนาง “ไม่เจ็บ”
“ท่านดื่มสุราหรือ?”
“ดื่มนิดหน่อย” เขาตอบกลับ
นางตอบเพียง “อ้อ” คำเดียว ก่อนจะช่วยทาแผลให้เขาต่อ จากนั้นก็เอาของวางเรียงไว้ข้างๆ แล้วใช้นิ้วหาบาดแผลใต้เส้นผมของเขา ก่อนจะทายาให้
หยู่เหวินเห้าไม่ไถ่ถามอะไร ได้แต่ยอมรับการเอาใจใส่ที่กะทันหันนี้เท่านั้น
กลิ่นหอมเบาๆ บนตัวของนางลอยเข้ามากระทบกับสมองของเขา ทำให้เขาต้องใช้ความพยายามในการอดทนอย่างมากถึงห้ามไม่ให้เผลอกอดนางได้
เมื่อทำแผลจนเรียบร้อย นางก็วางกล่องยาไว้ตรงหน้าเขา แล้วสบตาเขา ด้วยความประหม่าและระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก “สวีอีไปไหนแล้ว?”
“ไล่ออกไปแล้ว” หยู่เหวินเห้าตอบกลับพลางมองไปบนริมฝีปากของนาง
“ท่านเรียกให้เขากลับมาเถอะ ถึงแม้จะซื่อบื้อไปหน่อย แต่เขาเป็นคนที่มีความจงรักภักดี” หยวนชิงหลิงพูด
“ได้!” เขาพูดพลางมองลงไปบนไหปลาร้าของนาง
หยวนชิงหลิงไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดต่อจึงบิดตัวไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดออกมาตามตรง: “ข้ามาเพื่อขอโทษ”
“ขอโทษเรื่องอะไรกัน?” เขาถามพลางจ้องไปยังเนินอกของนาง
หยวนชิงหลิงบิดนิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาอย่างอึดอัด: “หญิงสาวสองคนนั้น ท่านไม่ได้มี……”
“ดังนั้น?”