บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1370 เที่ยวเทศกาลโคมไฟ
อะซี่คลอดลูกสาว หวงกุ้ยเฟยก็คลอดเจ้าหญิงน้อย กระทั่งหรงเยว่ก็มีลูกสาวคนหนึ่ง ซึ่งทำให้ หยู่เหวินเห้ามีความหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ท้องนี้ของเจ้าหยวนจะเป็นลูกสาว แม้ว่าทุกคนจะบอกว่าเป็นลูกสาวแน่ แต่ในเมื่อยังไม่ได้เห็นหน้าลูกสาวไปหนึ่งวัน ย่อมไม่อาจตั้งความหวังไว้ให้มากจนเกินไปได้
ดังนั้น ในหลายวันมานี้เขาจึงสร้างจิตวิทยาให้กับตัวเอง คือการเฝ้ากล่อมตัวเองซ้ำ ๆ ว่า ไม่ว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาว ก็ต้องรักและใส่ใจเท่ากัน ต้องปฏิบัติอย่างยุติธรรม
แต่ยึดตามการกล่อมตัวเองไว้ในตอนกลางวัน พอตกกลางคืนนอนหลับฝันไป ตอนกลางวันเขาคิดว่าอาจจะได้ลูกชาย พอกลางคืนนอนฝัน ก็ฝันว่าคลอดออกมาเป็นลูกชายจริง ๆ
เขาฝันว่า ท่านย่าอุ้มเด็กน้อยออกมา กล่าวแสดงความยินดีกับเขา บอกว่าท่านชายคนที่หกของจวนอ๋องฉู่ถือกำเนิดแล้ว เขารับมาด้วยรอยยิ้ม แต่กลับรู้สึกมีความผิดหวังลึก ๆ ผุดขึ้นมาในหัวใจ ความหวังของเขาก็พังทลาย พังทลายสิ้นแล้ว ชีวิตนี้ของเขาไม่มีลูกสาวแล้ว
เขาสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ จึงรู้ว่าเป็นแค่ความฝัน รีบสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ลูบที่ตำแหน่งหัวใจช้า ๆ ตั้งสมาธิ ยังพอมีความหวัง ยังพอมีความหวังอยู่!
หยู่เหวินเห้าเริ่มตามติดอยู่ข้าง ๆ หยวนชิงหลิงมากขึ้น เพราะกลัวว่าจู่ ๆ นางจะพูดว่าตัวเองจะคลอดแล้ว เพราะเมื่อคลอดท้องที่สอง นางคลอดได้ง่ายมาก บวกกับการคลอดที่ราบรื่นมากครั้งนี้ของหรงเยว่ ทำให้เขาคิดไปเองโดยไม่รู้ตัวว่า ท้องที่สามของเจ้าหยวนท้องนี้ ก็น่าจะคลอดได้ง่ายมากเหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้ กิจวัตรที่เมื่อก่อนออกแต่เช้ากลับจนดึก มาตอนนี้จึงเปลี่ยนเป็นรอจนเที่ยงค่อยออก และกลับทันทีเมื่อใกล้ค่ำ เพื่อไม่ให้เวลาที่ห่างตัวเจ้าหยวนทิ้งระยะเกินสามชั่วยาม
ใกล้จะหมดปีแล้ว วันครบกำหนดคลอดของหยวนชิงหลิงก็มาถึงแล้ว ทั้งยังผ่านไปแล้ว แต่ท้องของนางกลับยังไม่มีการเคลื่อนไหว
ไม่ต้องพูดถึงหยู่เหวินเห้า แต่จวนอ๋องฉู่ทั้งจวนต่างก็บ่นพึมพำกันว่า ทำไมถึงยังไม่คลอดอีก?
ไท่ซ่างหวงส่งคนมาถามวันละครั้ง มาตอนนี้ สามผู้นำใหญ่ไม่สนใจเรื่องอื่นใดแล้ว แต่เรื่องมงคลอย่างการคลอดลูกนั้น จะอย่างไรก็ยังต้องสนใจไว้บ้าง
ไม่มีอะไรน่ายินดีไปกว่าการได้เห็นชีวิตใหม่ถือกำเนิด
ฉินเฟยถูกตัดสินประหารชีวิตหลังจากวันครบเดือนของลูกสาวของหวงกุ้ยเฟย ทุกอย่างถูกจัดการอย่างเงียบเชียบ นางถูกกรอกเหล้าพิษลงไปแก้วหนึ่ง ร้องไห้ฟูมฟายกรีดร้องขอชีวิต แล้วค่อย ๆ ขาดใจลงไปช้า ๆ
ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ ต่อให้รู้ก็ไม่มีใครพูด เพราะอย่างไรมันก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี
หลังผ่านพ้นปีใหม่ ก็ถึงเทศกาลโคมไฟ ในที่สุดท้องของเจ้าหยวนก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว
เช้าวันนี้ นางรู้สึกว่าร่างกายหนักขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ปวดหลังเจ็บเอวค่อนข้างหนัก จึงบอกกับเจ้าห้าว่า “ ข้าคิดว่าคงจะในวันสองวันนี้แล้วล่ะ ถ้าสองวันนี้เจ้าไม่มีธุระสำคัญ ก็อยู่บ้านเป็นเพื่อนข้าเถอะ!”
เมื่อเจ้าห้าได้ยิน เขาก็รู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาทันที “เจ้าคิดว่าภายในสองวันนี้ หรือเพราะรู้สึกอะไรบางอย่างแล้ว ? หรือเป็นเพราะปวดท้องแล้ว?”
“ไม่ใช่ อย่ากังวลไปนักเลย แค่รู้สึกว่าปวดเอวค่อนข้างมาก ข้ามีลางสังหรณ์ในใจว่า น่าจะประมาณในช่วงวันสองวันนี้แล้วล่ะ”
เจ้าห้าจับมือนาง ค่อย ๆ พยุงนางลุกขึ้นมา “ได้ ได้ คืนนี้จุดโคมไฟ เราไม่ไปร่วมงานรื่นเริงกันก็ได้ ”
“ได้!” หยวนชิงหลิงตอบรับ
แต่วันนี้ในเมืองหลวงคึกคักเป็นพิเศษ ในเทศกาลโคมไฟ จะมีเกมทายไพ่ งานจุดโคมไฟ และจุดดอกไม้ไฟ ทั่วทั้งเมืองหลวงคึกคักยิ่งกว่าวันส่งท้ายปีเก่า ทั้งแฝดสามและแฝดสองล้วนร่ำร้องอยากออกไปเที่ยวเล่น หยวนชิงหลิงคิด ๆ ดู ก็รู้สึกว่าในแต่ละวันตัวเองต้องวิ่งไปวิ่งมา ยุ่งจนไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับลูก ๆ บวกกับเจ้าสิบก็กลับวังไปแล้วด้วย จึงใช้ประโยชน์จากเทศกาลโคมไฟนี้ ใช้เวลาอยู่กับพวกเขาสักครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น หากจะพูดไปแล้ว นับตั้งแต่มาถึงที่นี่นางยังไม่เคยได้ไปร่วมสนุกกับเทศกาลโคมไฟในเมืองหลวงดี ๆ เลยสักครั้ง ทุกวันนี้ทั้งในและนอกประเทศล้วนดูสงบร่มเย็น มีบรรยากาศสบาย ๆ ที่หาได้ยากยิ่ง เหมาะที่จะออกไปเดินเล่นได้อย่างผ่อนคลาย
หรงเย่วยังออกไฟไม่ได้ อ๋องหวยบอกว่าหรงเยว่จะต้องนั่งอยู่ไฟเป็นเวลาสามเดือน ออกไปกระโดดโลดเต้นไม่ได้ ดังนั้น หยวนชิงหลิงจึงส่งเทียบเชิญไปให้บรรดาพี่สะใภ้น้องสะใภ้ทั้งหลาย เชิญพวกนางไปเที่ยวเทศกาลโคมไฟด้วยกัน
งานแต่งของฮูหยินเหยาตอนนี้กำลังเตรียมการไปได้ถึงขั้นเข้าที่เข้าทางแล้ว แค่รอให้พ้นเดือนหนึ่งไปก่อน ก็จะสามารถจัดงานแต่งได้ทันที
จิ้งเหอไม่ได้มา นางยุ่งมาก เด็ก ๆ พัวพันอยู่รอบตัวจนไปไหนไม่ได้ นางจึงส่งคนมาบอกกล่าว ขอให้ทุกคนไปเที่ยวกันให้สนุก
หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จแล้ว ทั้งคณะก็ออกเดินทางอย่างสนุกสนานครึกครื้น
แม้ว่าหยวนชิงหลิงจะเชิญเพียงบรรดาพี่สะใภ้น้องสะใภ้ก็จริง แต่ผู้ชายของแต่ละบ้านต่างก็ติดสอยห้อยตามมาด้วย หยู่เหวินเห้าจึงไม่ต้องเหงาอยู่คนเดียว
สวีอีกับอะซี่ก็พาถังกั่วเอ๋อออกไปด้วย เด็กเล็ก ๆ ที่จริงแล้วไม่เหมาะจะออกไปในที่ที่มีคนเยอะๆ แต่เพราะสวีอีไม่อยากให้นางพลาดงานรื่นเริง รวมไปถึงกิจกรรมในครอบครัวใด ๆ ทั้งสิ้น ขอแค่เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานราชการ เขาจะต้องพาลูกสาวไปด้วยเสมอ
เรื่องจึงเป็นเช่นนี้ ฮูหยินเหยากับฮุ่ยเทียนพาจวิ้นจู่ทั้งสองออกมา อ๋องซุนสามีภรรยาพาเมิ่งถงออกมา อ๋องฉีสามีภรรยาพาพี่หญิงเป่าออกมา สวีอีกับอะซี่พาถังกั่วเอ๋อออกมา กู้ซือสามีภรรยาพาลูกชายหนึ่งลูกสาวหนึ่งออกมา หยู่เหวินเห้าสามีภรรยาพา… ลูกชายโขยงหนึ่งออกมา ซึ่งนี่ทำให้อารมณ์ของหยู่เหวินเห้าตกอยู่ในสภาวะซับซ้อน ชนิดที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยทีเดียว
โดยเฉพาะตอนที่ได้เห็นพี่หญิงเป่าซบหน้าออดอ้อนอยู่ในอ้อมแขนเจ้าเจ็ด ทำเสียงอ่อนเสียงหวานขอให้บิดาซื้ออันนั้นซื้ออันนี้ ในท้องของเขาก็หลั่งน้ำเปรี้ยวที่เกิดจากความอิจฉาออกมาจนเต็มท้อง
เมิ่งเยว่กับเมิ่งถงโตพอสมควรแล้ว จึงเก็บอาการได้ดีนิ่งเงียบจนเห็นได้ชัด ค่อย ๆ มองดูความครึกครื้นมีชีวิตชีวาของพี่สาวน้องสาวทั้งหลาย เมิ่งซิงค่อนข้างร่าเริงชอบเล่นสนุก จึงชอบแกล้งหยอกพี่หญิงเป่าเล่นเสมอ ๆ บางครั้งก็มาดูถังกั่วเอ๋อ รวมถึงเล่นกับพี่หญิงซิ่วด้วย ท่าทางสนุกสนานมีความสุขจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่
แฝดสามกับแฝดสองไม่ค่อยมีโอกาสได้มางานที่รื่นเริงมีชีวิตชีวาแบบนี้นัก พวกเขาดูทุกอย่างด้วยความตื่นตาตื่นใจ ในบรรดาแฝดสาม ยกเว้นทังหยวนที่มีเงินเก็บส่วนตัวเหลือไว้บ้าง อีกสองคนที่เหลือล้วนไม่มีเงินแล้ว ตอนมีต่างคนต่างก็ใช้จนหมด จ่ายกันอย่างสุรุ่ยสุร่ายเต็มที่ พอมาตอนนี้ ได้เห็นของเล่นที่น่าสนใจ ก็ไม่มีปัญญาซื้อเสียแล้ว ทำได้แค่ไปตื้อขอจากทังหยวนเท่านั้น
ทังหยวนเป็นคนที่ชัดเจนเด็ดขาดมาก เขาสามารถซื้อให้พี่ชายน้องชายของเขาได้ แต่ว่า เงินนั้นเป็นเงินที่ยืมไป ต้องจ่ายคืน ทั้งยังต้องให้ดอกเบี้ยด้วย ถ้าไม่ตกลงตามนั้น แม้แต่แดงเดียวเขาก็จะไม่ควักให้เด็ดขาด
ในจุดนี้ ต่อให้ซาลาเปาจะใช้หมัดแก้ปัญหาก็ไม่ได้ผล ทังหยวนพูดว่าเกิดเป็นคนต้องมีหลักการในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงเรื่องเงินเรื่องทอง ต่อให้เป็นพี่น้องก็ควรทำบัญชีให้ชัดเจน
ซาลาเปาพูดด้วยท่าทางเดือดปุด ๆ ว่า “คำพูดที่ใต้เท้าเหลิ่งพูด เรื่องอื่นใดไม่เห็นว่าเจ้าจะฟังเข้าหูสักอย่าง ทีประโยคนี้ล่ะช่างจำได้ชัดเจนนักนะ!”
ทังหยวนพูดด้วยใบหน้าจริงจังว่า”คำพูดนี้ใต้เท้าเหลิ่งไม่ได้เป็นคนพูด เป็นอาจารย์ปู่พูดต่างหาก อาจารย์ปู่บอกว่า ในยามที่ข้าเต็มใจจะให้เจ้า นั่นสามารถไม่ต้องไปคิดเล็กคิดน้อยได้ แต่ในยามที่ข้าไม่เต็มใจให้ เช่นนั้นเจ้าจะต้องใช้คืนข้ามา”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมเจ้าถึงไม่เต็มใจให้พวกเราล่ะ?” ข้าวเหนียวดึงแขนเสื้อเขาพลางเอ่ยถาม
ทังหยวนหันมามองเขา “พวกเราสามคนได้เงินค่าขนมตั้งเยอะขนาดนี้ ทำไมเจ้าไม่เก็บไว้บ้างล่ะ? เจ้าใช้มันไปจนหมด อีกทั้งตอนที่ใช้หมดก็ไม่ได้ซื้ออะไรให้ข้า แล้วตอนนี้อาศัยอะไรที่ข้าถึงต้องซื้อให้เจ้าด้วย? ตอนนี้เจ้าไม่มีเงินแล้ว แต่เจ้าก็ยังอยากจะซื้ออีก เช่นนั้นเจ้าก็ต้องมาถามยืมจากข้า แล้วพอมีเงินก็ต้องมาใช้คืนให้ข้า นี่ไม่เรียกว่ายุติธรรมดีหรอกหรือ?”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ พวกผู้ใหญ่หลายคนล้วนตกใจไปตาม ๆ กัน ต่างหันไปมองหยวนชิงหลิงกับหยู่เหวินเห้ากันเป็นแถว “ทำไมถึงสอนลูกได้ดีขนาดนี้?”
ความรู้สึกไร้ตัวตนเมื่อครู่ของหยู่เหวินเห้า มีอันสูญสลายหายไปในทันที ถึงกับเชิดหน้าขึ้นน้อย ๆ อย่างภาคภูมิใจ “ความยุติธรรมน่ะ ต้องสอนให้พวกเขารู้จักความยุติธรรมตั้งแต่ยังเล็ก”
ทุกคนล้วนมองเขาด้วยความชื่นชม มีเพียงหยวนชิงหลิงเท่านั้นที่แอบหัวเราะ เจ้าเคยสอนด้วยรึ? ทำไมข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยล่ะ
ซาลาเปากับข้าวเหนียวทำได้แค่ต้องยอมรับเหตุผล ขอยืมเงินเขาไปซื้อโคม แล้วเดินถือเล่นไปตลอดทาง
หลังจากให้เงินพวกเขายืมแล้ว ทังหยวนก็ใช้เงินตัวเองซื้อโคมไฟให้แฝดสองกับพี่สาวทั้งสาม รวมถึงน้องสาว ลูกพี่ลูกน้องทั้งชายหญิง เรียกได้ว่าเขาซื้อให้เด็กทุก ๆ คน และยังบอกด้วยว่าเขาซื้อให้ ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินคืน
ซาลาเปากัดฟันกรอด ไอ้เจ้าตัวดีนี่ ช่างเสแสร้งแกล้งทำเป็นเด็กดีเก่งเสียจริงนะ
ทุกคนต่างพูดกันใหญ่ว่าทังหยวนเป็นเด็กที่ใจกว้างมาก ช่างมีน้ำใจอย่างยิ่ง หยวนชิงหลิงแอบส่ายหน้าเบา ๆ ยกยิ้มเจื่อน ๆ เพราะนางคล้ายจะรู้ได้ว่าจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น