บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1371 หยวนชิงหลิงจะคลอดแล้ว
ตลอดทางที่เดินเที่ยว มีสินค้ามากมายที่ดูดีน่าสนใจเป็นพิเศษ แค่ทังหยวนพูดขึ้นมาประโยคเดียวว่า “เอ๋ อันนี้สวยจริง ๆ จากนั้นแค่พริบตาเดียว ก็จะมีคนซื้อของชิ้นนั้นให้เขาอย่างรวดเร็ว
เขาแค่ควักเงินจ่ายค่าโคมไม่กี่เหรียญ แต่กลับได้ของที่มีค่ายิ่งกว่าโคมมาตั้งมากมายหลายเท่า กระทั่งเจ้าห้าก็ยังตกหลุมพรางไปด้วยอีกคน เพราะว่าเขาก็ซื้อให้แฝดสองด้วย ซึ่งยิ่งเป็นเรื่องที่ทำให้เขาได้หน้าอย่างมาก ดังนั้นเมื่อทังหยวนพูดว่าเขาอยากได้อะไร เขาก็แทบจะไม่ต้องพูดซ้ำเป็นหนที่สอง ก็จะมีคนควักเงินจ่ายให้เขาทันที
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่า ในอนาคตทังหยวนคงจะได้เป็นพ่อค้าหัวใสแน่ ท่านชายสี่ถูกชะตาเขาเข้าแล้ว อยากให้เขารับช่วงต่อสำนักเหลิ่งหลัง กับกิจการทั้งหลายของเขา
อันที่จริงหยวนชิงหลิงก็เคยถามท่านชายสี่มาแล้ว ว่าการที่ตัดสินใจเลือกทังหยวนในเวลาที่รวดเร็วขนาดนี้ แล้วลูก ๆ ของเขาในอนาคตล่ะ?
คำตอบของท่านชายสี่ช่างสมกับเป็นท่านชายสี่มาก “เปลี่ยนตัวหมาป่า!”
หยวนชิงหลิงไม่สามารถหักล้างคำพูดที่ทรงพลังเหล่านี้ได้
ระหว่างที่นึกถึงท่านชายสี่ ก็ได้ยินเสียงพวกเด็ก ๆ ตะโกนว่า “อาจารย์ปู่กับท่านอามาแล้ว!”
ทุกคนหันไปมอง ก็เห็นท่านชายสี่ในชุดขาวที่ดูหล่อเหลาสง่างาม กำลังเดินจับมือเคียงคู่มากับหยู่เหวินหลิง เดินเล่นอย่างช้า ๆ มาตามทาง ทั้งสองก็เห็นพวกเขาแล้วเช่นกัน จึงรีบเดินตรงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
หยู่เหวินหลิงมีท่าทางยินดีมาก “พวกเจ้าก็มาด้วยรึ? ว้าว ซื้อของเล่นเสียเยอะเชียว โคมไฟนี้ช่างงดงามจริง ๆ ซื้อมาจากที่ไหนรึ?”
พี่หญิงเป่าพูดด้วยน้ำเสียงน่ารักน่าชังว่า “พี่ทังหยวนซื้อให้เจ้าค่ะ”
ชั่วขณะนั้นทังหยวนก็แสดงท่าทีใจกว้างมาก ด้วยการยกโคมไฟของตัวเองให้กับหยู่เหวินหลิง “ท่านอา ข้าซื้อแทนท่านมาอันหนึ่ง นี่ข้าให้ท่าน”
หยู่เหวินหลิงประหลาดใจมาก ถึงกับใช้แขนหนึ่งอุ้มทังหยวนขึ้นมา “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าอาก็จะมาด้วย? ทังหยวนช่างเป็นเด็กดีเสียจริง อารักเจ้าแทบตายแล้ว”
ทังหยวนยิ้ม “ท่านอาต้องมาอยู่แล้ว เพราะท่านอาชอบงานที่คึกคักมีชีวิตชีวา ท่านอา วันนี้ท่านดูดีมากเลย งดงามยิ่งนัก!”
“ ทังหยวนของอาช่างปากหวานเสียจริง ไปกันเถอะ อาจะพาเจ้าไปซื้อของขวัญ!” หยู่เหวินหลิงจิตใจเบิกบานมีความสุขมาก วางเขาลงแล้วจูงมือเขาเดินตรงไปที่แผงลอยขายของเล่น
หยู่เหวินเห้านับว่าพอจะมองเห็นว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว จึงแอบไปกระซิบพูดกับหยวนชิงหลิง ว่า “กระบวนการคิดของทังหยวนเจ้าลูกคนนี้ ค่อนข้างจะเจ้าเล่ห์เพทุบายไม่หยอกเลยนะ”
หยวนชิงหลิงใจชื้นขึ้นมาก ในที่สุดก็นับได้ว่าเจ้าห้าคนทึ่ม มองออกในเรื่องนิสัยเจ้าเล่ห์แสนกลของลูกชายตัวเองได้เสียที
หลังจากทั้งคณะเดินเที่ยวงานโคมไฟแล้ว ก็ไปที่หอคอยชมเมืองเพื่อดูการจุดดอกไม้ไฟ
การจุดดอกไม้ไฟในเทศกาลโคมไฟนั้นยิ่งใหญ่มาก มีราชสำนักเป็นผู้รับผิดชอบงานทั้งหมด โดยมีกรมการพระนครเป็นคนจัดเตรียม อ๋องฉีได้จัดการเตรียมความพร้อมไว้นานแล้ว ทั้งยังสงวนพื้นที่บนหอคอยชมเมืองไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อให้พวกเขาสามารถขึ้นไปชมดอกไม้ไฟในจุดที่งดงามที่สุดได้อีกด้วย
มีคบไฟอยู่ทุกด้านของหอคอย ส่องแสงสว่างเจิดจ้ากลางอากาศ มีคนมากมายล้นหลาม เดินเบียดเสียดไหล่เกยไหล่ เป็นภาพฉากที่สนุกสนานคึกคักอย่างยิ่ง เรียกว่าต้องเบียดคนอื่นเท่านั้นถึงจะขึ้นไปได้ โชคดีที่มีพวกเจ้าห้าช่วยเปิดทางให้ ไม่อย่างนั้น หยวนชิงหลิงในสภาพคุณแม่ท้องโตอุ้ยอ้ายเช่นนี้ คงจะไม่สามารถขึ้นไปได้อย่างแน่นอน
ดอกไม้ไฟยังไม่เริ่มจุด แต่ที่ด้านล่าง เริ่มมีคนนำประทัดเล็ก ๆ กับดอกไม้ไฟขนาดเล็กมาจุดเล่นในพื้นที่โล่ง ๆ แล้ว เด็ก ๆ เดินผ่านเนินทรายใต้หอคอยชมเมืองด้วยเสียงหัวเราะ สอดส่ายสายตามองหาประทัดเปล่าที่ยังไม่ได้จุด พ่อค้าหาบเร่เดินแบกขนมร้องขายไปตลอดทาง มีเด็กหลายคนที่ต่อยตีกันแค่เพราะแย่งถังหูลู่ไม้เดียว จึงต่อยตีกันจนล้มกลิ้งไปกลิ้งมาบนเนินทราย พอทังหยวนได้เห็นเข้าก็พูดขึ้นว่า “ดูเอาเถอะ อย่างไรก็ต้องมีเงินของตัวเองถึงจะดีที่สุด”
ตัวเองซื้อเอง ไม่ต้องแย่งกับใคร
คำพูดนี้ ทำให้ซาลาเปากับข้าวเหนียวจ้องเขาเขม็ง สายตาโมโหโทโสจนเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อได้เลยทีเดียว
ในพื้นป่าที่ไกลออกไป มีคนกำลังปล่อยโคมลอย บรรดาโคมที่ถูกจุดไฟเกิดพลังงานความร้อนที่ส่วนก้นโคมจนค่อย ๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าดวงแล้วดวงเล่า เป็นภาพที่ดูงดงามอย่างยิ่ง
อะซี่กระซิบ “ถึงกับมีคนปล่อยโคมลอยแล้ว ข้าก็อยากปล่อยเหมือนกัน อยากขอพรให้โชคดี”
สวีอีขมวดคิ้ว “ทำไมถึงไปจุดไฟในป่าล่ะ? เดี๋ยวถ้ามันตกลงมา เกิดไฟไหม้ขึ้นจะทำอย่างไร?”
อ๋องฉีก็รู้สึกว่าทำแบบนี้ค่อนข้างอันตรายจริง จึงหันหลังกลับไป สั่งให้ยามที่เฝ้าประตูเมืองไปดูเสียหน่อย ให้ย้ายไปปล่อยโคมที่คูเมืองแทน อย่าปล่อยในป่า คนตั้งเยอะแยะมากมายขนาดนี้ เกิดไฟไหม้ขึ้นมาจะเป็นเรื่องใหญ่ได้
แต่แล้วก็สมกับคำกล่าวที่ว่า กลัวอะไรก็ได้อย่างนั้นจริง ๆ ยังไม่ทันที่ยามจะเดินเข้าไป ก็มีคนตะโกนขึ้นดังลั่นว่า “ไฟไหม้ ไฟไหม้แล้ว!…..”
มีคนหลายคนวิ่งแจ้นออกมาจากป่า โดยมีเปลวไฟลุกไหม้โหมกระหน่ำอยู่ข้างหลังพวกเขา
ตอนนี้อากาศหนาวมาก ต้นไม้ในป่าต่างใบร่วงไปจนหมดแล้ว แต่พวกเศษซากใบไม้ที่เหลือกองอยู่บนพื้นเหล่านั้น ยังไม่ได้ถูกกวาดทิ้งไป ทำให้ไฟลุกไหม้ขึ้นได้ง่ายมาก
แต่หน่วยตระเวนของกรมการพระนครมีการเฝ้าระวังในทุกจุด เนื่องจากต้องจุดดอกไม้ไฟ ดังนั้นจึงมีหน่วยดับเพลิงประจำการพร้อมตลอดเวลา ไฟจึงถูกควบคุมไว้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีการลุกลามไปยังบริเวณโดยรอบ
ตอนที่ไฟเริ่มไหม้ หยวนชิงหลิงก็รู้สึกว่าท้องมีอาการแปลก ๆ ขึ้นมาแล้ว การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ถี่ขึ้นมาก ทั้งยังเคลื่อนไหวใหญ่โตเกินไปมากอีกด้วย หยวนชิงหลิงยื่นมือมากุมที่หน้าท้อง รู้สึกอึดอัดทรมานขึ้นมาเล็กน้อย
หยู่เหวินเห้าคอยเฝ้าจับตา ใส่ใจอาการของนางอยู่ตลอด จึงรีบยื่นมือออกไปช่วยพยุงทันที “เป็นอะไรไป? ปวดท้องแล้วใช่หรือไม่?”
“ไม่ได้ปวดท้องหรอก แต่เป็นเพราะลูกในท้องดิ้นแรงไปหน่อย!” หยวนชิงหลิงสูดหายใจเข้าเบา ๆ แล้วเอนตัวไปพิงหยู่เหวินเห้า
“ หรือไม่ พวกเราก็กลับกันก่อนเถอะนะ ” หยู่เหวินเห้ากลัวว่านางจะคลอดแล้ว จึงพูดด้วยความกังวลใจ
“ อีกเดี๋ยวก็จะจุดดอกไม้ไฟกันแล้ว ดูเสร็จพวกเราค่อยกลับไปดีกว่านะ” หยวนชิงหลิงไม่ได้รู้สึกปวดท้องใด ๆ หลังจากที่เด็กในท้องเคลื่อนไหวสองสามครั้ง ก็ค่อย ๆ สงบลงอย่างช้าๆ นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทั้งไม่ได้รู้สึกว่ามีตรงไหนที่ไม่สบายเลยด้วย
“ทนไหวหรือไม่?”
“ไม่เป็นไรหรอก” นางหันไปมองอ๋องฉี “เตรียมจะจุดแล้วใช่หรือไม่?”
อ๋องฉีตอบว่า “ใกล้แล้ว จวนได้เวลาแล้วล่ะ กำลังเตรียมความพร้อมอยู่”
ทันทีที่เขาพูดจบ เสียงลั่นฆ้องรัวกลองก็ดังกระหึ่มขึ้น ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างส่งเสียงโห่ร้องยินดี ดอกไม้ไฟกำลังจะถูกจุดขึ้นแล้ว
ด้วยเสียงลั่นฆ้องรัวกลองที่ดังขึ้น คบไฟครึ่งหนึ่งบนหอคอยก็ดับลง แสงสว่างโดยรอบลดลงอย่างรวดเร็ว และเสียงอึกทึกก็ค่อย ๆ ลดลงตามไปด้วย ฉากที่ทุกคนตั้งตารอคอยจนแทบต้องกลั้นหายใจ ยิ่งทวีบรรยากาศของงานเทศกาลที่ชวนตื่นเต้นเร้าใจขึ้นเรื่อย ๆ
ในที่สุด พลุดอกไม้ไฟก็ถูกจุดเหินลอยขึ้นไป แล้วระเบิดตัวกระจายออกกลางอากาศ เกิดแสงเจิดจ้าพร่างพรายหลากสีสัน จากนั้น พลุดอกไม้ไฟชุดที่สองก็ถูกจุดขึ้นอีก ตามด้วยชุดที่สาม ชุดที่สี่…. เสียงหวีดดังตูมตามของพลุดอกไม้ไฟ แสงสีหลากหลายตระการตาทำให้ทุกคนตื่นเต้นเร้าใจอย่างมาก
เด็กๆ พากันมองดูจนปากอ้าตาค้าง ถึงขั้นร้องอุทานออกมาด้วยความประทับใจไม่หยุด หัวเล็ก ๆ ของพวกเขาแหงนขึ้นมองท้องฟ้า ดวงตาเป็นประกายเจิดจรัส
ในเวลานี้เอง จู่ ๆ หยวนชิงหลิงก็รู้สึกปวดท้องมาก ทั้งเจ็บแปลบที่เอวอย่างร้ายกาจ นางคว้าแขนของเจ้าห้าด้วยมือข้างหนึ่ง ” เจ้าห้า กลับจวน!”
ในดวงตาของหยู่เหวินเห้ายังมีประกายแสงจากดอกไม้ไฟสะท้อนอยู่ ได้ยินนางพูดอย่างนั้น ก็ผงะไปเฮือกหนึ่ง แล้วรีบพยุงนางทันที “จะคลอดแล้วรึ?”
“ข้าเดาว่าคงใช่!” หยวนชิงหลิงยกยิ้มอย่างฝืดฝืน ยกมือขึ้นกุมท้อง ความเจ็บปวดนั้นไม่ถึงกับชัดเจนนัก แต่ก็มีความรู้สึกในลักษณะนั้นแล้ว เด็กคนนี้เลือกเวลาเกิดได้ดีมากจริง ๆ
“เร็วเข้า!” เขาอุ้มหยวนชิงหลิงขึ้น แล้วตะโกนแข่งกับเสียงระเบิดดังกึกก้องของพลุดอกไม้ไฟ “เจ้าเจ็ด กู้ซือ เปิดทาง จะคลอดแล้ว!”
หยวนชิงหลิงถูกพาตัวออกจากหอคอยชมเมืองอย่างรวดเร็ว หยู่เหวินเห้าไม่ได้วิ่งลงมา เพราะตรงนั้นมีคนมากเกินไป ยากที่จะเบียดออกไปได้ เขาจึงอุ้มหยวนชิงหลิงแล้วใช้วิชาตัวเบาเหินลงมาจากหอคอยโดยตรง
ท่านชายสี่ล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง แทรกผ่านฝูงชนไปขับรถม้ามารับ หยวนชิงหลิงถูกพาตัวไปวางไว้บนรถม้า ข้างหลังมีคนกลุ่มใหญ่ ๆ ยกโขยงตามกลับมาด้วยเป็นขบวน
แฝดสามกับแฝดสองต่างรู้สึกตื่นเต้นจนอยู่ไม่สุข ท่านแม่กำลังจะคลอดน้องแล้ว จะเป็นน้องชายหรือน้องสาว อีกเดี๋ยวก็จะได้รู้กันเสียที
บนท้องฟ้า พลุดอกไม้ไฟยังคงเบ่งบานอวดสีสัน ผู้คนต่างเฝ้าดูความงดงามของยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรืองนี้อย่างเงียบ ๆ มีคนตะโกนบอกว่าพระชายารัชทายาทกำลังจะคลอดแล้ว ทุกคนได้ยิน ต่างก็รู้สึกอดประหลาดใจไม่ได้ วันที่เป็นวันดีขนาดนี้ ช่างเป็นเด็กที่ได้รับการอำนวยพรจากสวรรค์เสียจริง
ใช่แล้วล่ะ เด็กคนนี้ที่ได้เกิดในจวนอ๋องฉู่ ท่ามกลางยุคสมัยที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรืองเช่นนี้ จะต้องได้รับการอำนวยพรจากสวรรค์อย่างมากเป็นแน่