บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1372 ปรากฏการณ์ประหลาด
เมื่อกลับมาถึงจวนก็เป็นช่วงยามซวีแล้ว (ประมาณ19.00 น. – 21.00 น.) นางผดุงครรภ์เข้าประจำตำแหน่งอยู่ในจวนนานแล้ว คุณย่าหยวนก็อยู่ในจวนแล้วเช่นกัน เนื่องจากสถานการณ์เหนือคาดต่าง ๆที่เกิดขึ้นระหว่างการคลอดของหรงเยว่ ทำให้หยู่เหวินเห้าเตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้าให้พร้อมที่สุด ต้องมีน้ำร้อนเต็มหม้อทุกวัน ทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการคลอดต้องมีครบ ถึงขั้นที่มีการเตรียมผักหญ้าอาหาร รวมถึงเนื้อสัตว์ให้พร้อมอยู่เสมอ
หลังจากหยวนชิงหลิงถูกส่งกลับมา คุณย่าหยวนกับนางผดุงครรภ์ก็เข้าไปข้างในทันที ยึดตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ผ่านมา หยู่เหวินเห้าก็ถูกกันออกไปอยู่ข้างนอกตามเคย หยวนชิงผิง หยวนหย่งอี้ อะซี่ ฮูหยินเหยา พระชายาซุน และหยู่เหวินหลิงต่างก็เข้าไปข้างใน อยู่เป็นเพื่อนหยวนชิงหลิงขณะคลอดลูก
คืนนี้เป็นคืนที่มีความสุขมากขนาดนี้ หากจะพูดไป ถ้าเด็กน้อยได้เกิดก่อนช่วงเปลี่ยนจากยามจื่อไปยามเจียว จะนับว่าเป็นเรื่องมงคลที่หาได้ยากยิ่ง
หยู่เหวินเห้าเอามือไพล่หลังเดินไปรอบ ๆ อย่างกระวนกระวาย แฝดสามกับแฝดสองต่างพากันกังวลใจเหมือนเขาไปด้วย ผู้ชายทั้งหกแห่งจวนอ๋องฉู่ ต่างตั้งตารอคอยเด็กน้อยที่จะเกิดมา หวังว่าจะมีสักคนที่มีเพศแตกต่างไปจากพวกเขาบ้าง ในใจทุกคนต่างอธิษฐานเป็นเสียงเดียวกันโดยมิได้นัดหมายว่า ขอให้เป็นเด็กผู้หญิง! ขอให้เป็นเด็กผู้หญิง!
แต่หลังจากเดินเพ่นพ่านไปมาอยู่ครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็เริ่มภาวนาอีกครั้งว่า ขอแค่ปลอดภัยก็พอ! ขอแค่ปลอดภัยก็พอ!
อาการปวดท้องของหยวนชิงหลิงไม่ได้ชัดเจนนัก การหดตัวของมดลูกก็เริ่มขึ้นแล้ว ทั้งยังหดตัวในลักษณะกระชั้นถี่ คุณย่าหยวนบอกว่า มีหวังที่จะเกิดก่อนยามจื่อจริง ๆ
ตอนที่อะซี่คลอด นางเจ็บจนแทบเป็นแทบตายเสียให้ได้ พอได้เห็นหยวนชิงหลิงดูผ่อนคลายได้ขนาดนี้ ก็อดนึกอิจฉาขึ้นมาไม่ได้ แต่ก็ดีที่นางไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมากนัก เพราะเมื่อตอนที่พี่หยวนคลอดท้องแรก เรียกได้ว่าหนักหนาจนแทบเอาชีวิตไม่รอดเลยทีเดียว
บรรยากาศภายในผ่อนคลายมาก บรรยากาศภายนอกกลับค่อย ๆ หนักอึ้งขึ้นทุกขณะ พวกอ๋องฉีกับกู้ซือต่างช่วยกันปลอบใจเขา บอกว่าผู้หญิงคลอดลูก ถือเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งในชีวิต แต่มันจะต้องผ่านไปได้อย่างปลอดภัยแน่
หยู่เหวินเห้ารู้สึกเบื่อหน่ายพวกนกกระจอกตัวผู้กลุ่มนี้เหลือเกินแล้ว เอาแต่พูดมากเจี๊ยวจ๊าวไม่จบไม่สิ้น เขาโบกมือหยุดทุกคน “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดมาก ถ้าจะพูดถึงประสบการณ์เรื่องเมียคลอดลูกของทุกคนที่นี่ ไม่มีใครมีมากไปกว่าข้าทั้งนั้นนั่นล่ะ”
ทุกคพากันมองไปที่ลูกชายเป็นโขยงที่อยู่ข้างหลังเขา ไร้หนทางโต้เถียงได้ เพราะว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
“เอ๋ ที่ไหนไฟไหม้เลยต้องเอาน้ำไปดับรึ? ทำไมท้องฟ้าถึงเป็นสีแดงไปเกือบครึ่งเลยล่ะ?” สวีอีเงยหน้าขึ้น จ้องมองไปที่ท้องฟ้าทางด้านตะวันออก
ทุกคนต่างใจจดใจจ่อรอฟังความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายใน ไม่ได้สังเกตสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น พอตอนนี้ได้ยินคำพูดของสวีอี จึงพากันเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ต่างอดรู้สึกประหลาดใจอย่างมากไม่ได้ เดิมทีท้องฟ้าที่มืดมิดทั้งผืน มาตอนนี้เหมือนกับมีบางอย่างย้อมจนกลายเป็นสีแดงขึ้นมา มองเห็นเหมือนเป็นชั้นเมฆที่ควบแน่น จนมีลักษณะคล้ายผ้าที่ถักทออยู่บนท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน ปรากฏแสงที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน อาบย้อมเป็นริ้ว ๆ มีทั้งสีทอง สีเหลือง สีส้ม สีแดงอ่อน สีทองอ่อน สีชมพูอ่อน ชั้นเมฆเหล่านั้นดูเหมือนสายรุ้งมาก ดูน่าทึ่งชวนอัศจรรย์ใจจนไม่อาจเอื้อนเอ่ย งดงามจนไม่อาจสรรหาคำใดมาบรรยาย และชวนให้คนตกตะลึงอย่างสุดจะพรรณนา
ทุกคนต่างตกตะลึงจนตาค้าง ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเช่นนี้ ไม่มีใครเคยพบเห็นมาก่อน
“เป็นแสงสะท้อนจากดวงจันทร์หรือไม่นะ?” กู้ซือพึมพำกับตัวเอง
ทุกคนเริ่มไล่สายตาหาดวงจันทร์ จนพบว่าดวงจันทร์ที่กำลังลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า มีประกายแสงแวววาวและเจิดจ้าราวกับจานเงิน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับรัศมีของแสงที่เหมือนสายรุ้งนั้นแล้ว กระทั่งแสงของดวงจันทร์ ก็ยังถูกบดบังจนหมองหม่นไปเลยทีเดียว
ไม่เพียงแต่ที่จวนอ๋องฉู่เท่านั้น แต่ผู้คนในเมืองหลวง รวมไปถึงเป่ยถังทั้งแคว้น จนถึงทั้งแผ่นดินใหญ่ ล้วนได้เห็นปรากฏการณ์บนท้องฟ้าอันแปลกประหลาดนี้เช่นกัน บรรดาคนที่ชมดวงจันทร์อยู่ ต่างก็ทิ้งการชมจันทร์ แล้วเฝ้ามองเพียงแสงประหลาดนี้กันหมด ทีละเล็กทีละน้อย เมฆที่เรืองแสงเหล่านั้นค่อย ๆ แปรสภาพไปเป็นเหมือนหางที่ยาวมาก ๆ สายหนึ่ง ในขณะที่ส่วนหัวของเมฆนั้นค่อยๆ ควบแน่นและบิดเบี้ยวไปอย่างช้า ๆ จนมีรูปลักษณ์เหมือนกับนกหลวนเฟิ่ง ซึ่งสวมใส่เสื้อผ้าหลากสีสันลากไปกับพื้น
ในวัง ฮ่องเต้หมิงหยวนประทับยืนอยู่ในสวนอุทยานของพระตำหนักฉ่ายหมิง จูงมือของฮู่เฟยขณะทอดพระเนตรมองปรากฏการณ์ท้องฟ้าที่น่าตกตะลึงนี้ ในใจเกิดความตื่นเต้นยินดีมาก “ช่างเป็นสีสันที่เป็นมงคลนัก ในเทศกาลโคมไฟปีนี้ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยสีสันสดใส ช่างเป็นลางดีที่เปี่ยมมงคลจริง ๆ”
ฮู่เฟยจ้องมองจนไม่อาจตัดใจละสายตาได้ ปรากฏการณ์เช่นนี้ ชั่วชีวิตหนึ่งได้มีโอกาสเห็น ก็นับว่าเป็นเกียรติอันสูงส่งล้ำค่าอย่างไม่อาจหาสิ่งใดมาเทียบได้แล้ว
ณ. ส่วนลานของเรือนข้างในวังหลวง สามผู้นำยักษ์ใหญ่ยืนอยู่ในลานนั้น เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมกัน มีฉางกงกงกับแม่นมสี่ยืนอยู่ข้าง ๆ โสวฝู่ก็เงยหน้าขึ้นมอง แม่นมสี่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ บรรยายให้เขาฟังว่า “ตรงกลางเป็นสีทอง แล้วจากนั้นก็ค่อย ๆ หลุดลอกออกไปทีละชั้น ๆ มีสีเหลืองสด สีแดง สีส้ม เส้นขอบข้างดูเหมือนคาดเข็มขัดทองฝังหยก พูดง่าย ๆ เหมือนเอาดวงจันทร์มาเปรียบเทียบสี ถ้าไม่มีใครพูด ข้าคงคิดว่ามีสายรุ้งที่ใหญ่และกว้างมาก ๆ แขวนลอยอยู่บนท้องฟ้าเลยเชียวล่ะ”
ดวงตาของโสวฝู่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ค่อย ๆ จับมือของแม่นมสี่ “เจ้าไม่ต้องเล่าแล้ว ข้ามองเห็นอยู่”
หลายคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ต่างหันมามองเขาอย่างพร้อมเพรียงจนเป็นตาเดียวกัน เผยแววตาประหลาดใจ ฝ่ามือของไท่ซ่างหวงโบกสะบัดไปมาตรงหน้าเขา “เห็นแล้วจริง ๆ น่ะรึ?”
“สี่นิ้ว!” โสวฝู่มองเขาด้วยสายตาที่แฝงประกายตื่นเต้น “นิ้วโป้งถูกซ่อนอยู่”
ฝ่ามือของไท่ซ่างหวงกับเซียวเหยากงตบหนัก ๆ ลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดเกือบจะในเวลาเดียวกันว่า “ทำได้ดีมาก!”
แม่นมสี่ร้องไห้ด้วยความดีใจ แล้วขยับเข้าไปยืนใกล้ ๆ เขา
ไท่ซ่างหวงจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ทันใดนั้นจิตใจก็พลันรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นมา แววตาเปี่ยมความปีติยินดีอย่างปิดไม่มิด “เจ้าหงส์น้อยของข้ากำลังจะเกิดแล้ว”
เซียวเหยากงตกใจจนผงะ “จริงรึ?”
ไท่ซ่างหวงรีบกลับไปตำหนัก หยิบจดหมายจากกล่องไม้จันทน์ออกมา แล้ววิ่งงก ๆ เงิ่น ๆ ออกมาอีกครั้ง คลี่จดหมายออกอ่านรอบหนึ่ง แล้วยื่นไปให้เซียวเหยากง เซียวเหยากงรับมาดู สีหน้าค่อย ๆ ปรากฏความประหลาดใจ อ่านออกเสียงว่า “…ช่วงเวลาที่เกิด จะปรากฏนิมิตอันแปลกพิสดารซึ่งยากจะได้พบเห็นในรอบพันปี นิมิตนี้จะปรากฏเป็นรูปร่างนกหลวน เหินบินเข้าสู่จวนอ๋อง!”
หลังจากอ่านจบ เขาก็ตกใจอย่างมาก “เป็นจดหมายของไทเฮาหลงอย่างนั้นรึ?”
“ ใช่ ก่อนที่พระชายารัชทายาทจะตั้งครรภ์ พี่สะใภ้ก็ได้สั่งให้คนส่งจดหมายฉบับนี้มาถึงมือของข้าแล้ว” ไท่ซ่างหวงกล่าวด้วยความยินดี
“ นิมิตอันแปลกพิสดารซึ่งยากจะได้พบเห็นในรอบพันปี จะว่าไปก็คือนิมิตที่เกิดในคืนนี้ไม่ใช่รึ?” โสวฝู่พูดโพล่งขึ้น
ไท่ซ่างหวงหันกลับมาอย่างกะทันหัน “ทหาร ไปเตรียมรถม้า ข้าจะไปจวนอ๋องฉู่!”
ณ. ที่แห่งหนึ่งซึ่งไกลออกไป ชายคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนสองมือไพล่หลัง แหงนหน้าขึ้นจ้องมองท้องฟ้า แววตาค่อย ๆ สาดฉายประกายที่เต็มไปด้วยความสุข พึมพำกับตัวเองว่า “ศิษย์ของข้ากำลังจะเกิดแล้ว!”
ในป่าเหมย พระชายาอ๋องชินเฟิงอันนั่งอยู่บนเก้าอี้เอนกายด้านนอก ดอกเหมยกำลังร่วงหล่น ราวสายฝนที่โปรยปราย ราวกับสรวงสวรรค์บนแดนดิน นางมองดูท้องฟ้าครู่หนึ่ง ดวงตาเป็นประกาย หันหน้าไปมองอ๋องชินเฟิงอันหยู่เหวินเซียวที่ยืนอยู่ข้างหลังนาง เอื้อมมือไปข้างหลังแล้วจับมือของเขาไว้ “เป็นคืนนี้แล้วสินะ”
หยู่เหวินเซียวยกยิ้มเล็กน้อย “อื้ม ถูกต้อง!”
“จะกลับไปสักครั้งหรือไม่? ไปพบเด็กคนนั้น?” พระชายาชินเฟิงอันถาม
“ไม่ต้องรีบร้อนไป รอให้ครบเดือนก่อน เชื่อว่าไทเฮาหลงแห่งต้าโจวทั้งสามีภรรยาก็ต้องมาด้วยแน่นอน” หยู่เหวินเซียวเดินอ้อมไปยืนอยู่ข้างตัวนาง แล้วมองตามมือของนางไปด้วยสายตาอ่อนโยน “เด็กคนนี้จะต้องโชคดีมาก เป็นศูนย์รวมจิตใจ มีแต่ผู้คนรักใคร่นับหมื่นนับพัน”
“นางจะเป็นเช่นนั้น!” พระชายาชินเฟิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ผู้คนในเมืองหลวง ต่างนึกประหลาดมหัศจรรย์ใจกับปรากฏการณ์บนท้องฟ้านี้เช่นกัน ทั่วทุกถนนหนทาง ทุกตรอกซอกซอย ล้วนเต็มไปด้วยผู้คน ปรากฏการณ์นั้นค่อย ๆ สว่างจนมองเห็นเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ สาดสะท้อนจนเห็นทั่วผืนฟ้า ณ. ช่วงเวลานั้น เจิดจรัสจนเหมือนกับเป็นเวลากลางวันเลยทีเดียว
เมฆค่อย ๆ ยุบตัวลงเป็นก้อนอย่างช้า ๆ ส่วนของหางยาวสีทองก็สะบัดคลี่เปิดออก ดุจหงส์ที่กรีดกรายอวดสีสันอันฉูดฉาด ทันใดนั้น ก็ปรากฏแสงประหลาดสว่างจ้า เป็นแสงที่สว่างจนทุกคนลืมตาไม่ขึ้น เมื่อแสงประหลาดที่ว่านั้นหายไป ก็พบว่ามีลำแสงที่ประกอบด้วยสีสันอันหลากหลาย เหินลอยตรงไปยังทิศทางหนึ่ง ฝูงชนต่างพากันแซ่ซ้องร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้นระคนประหลาดใจว่า “เป็นทิศของจวนอ๋องฉู่! เป็นทิศของจวนอ๋องฉู่!”