บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1374 ไท่ซ่างหวงเสด็จมาแล้ว
หยวนชิงหลิงเหนื่อยอย่างยิ่ง หลังจากดื่มน้ำแกงไปได้นิดหน่อยนางก็ผล็อยหลับไป หยู่เหวินเห้าเฝ้าอยู่ข้างกายแม่ลูก ย่าหยวนกับฉี่หลอที่อยู่ข้าง ๆ ช่วยกันพับเสื้อผ้าเด็กผืนเล็ก ๆ พวกเสื้อผ้าเล็ก ๆ เหล่านี้ ส่วนมากเป็นฮูหยินเหยาเย็บเองกับมือ เนื้อผ้าละเอียดอ่อนสบายตัว ส่วนใหญ่จะเป็นสีชมพูอ่อน สีเขียวอ่อน ทั้งยังมีเสื้อคลุมสีอ่อน ๆ เรียบ ๆ อีกหลายตัว ตอนนี้ที่หนูน้อยสวมอยู่เป็นเสื้อคลุมสีอ่อน ด้านนอกห่อด้วยผ้าห่อตัวแบบหนา น่ารักน่าชังเหลือเกินแล้ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลู่หยาก็เข้ามารายงานว่าไท่ซ่างหวงเสด็จมาถึงแล้ว
หยู่เหวินเห้าตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เสด็จปู่มาแล้ว? เขายังไม่ได้ให้ใครไปแจ้งข่าวดีนี้เลยแท้ ๆ เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านมีลางสังหรณ์ รับรู้ได้ว่าเจ้าหยวนจะคลอดวันนี้? นี่มันก็ดึกมากแล้ว ทำไมถึงยังเสด็จมาล่ะนี่?
เขาให้ย่าหยวนไปนอนก่อน จากนั้นจึงสั่งให้ฉี่หลอกับลู่หยาคอยดูแลหยวนชิงหลิง ให้แม่นมดูแลจวิ้นจู่น้อย แล้วรีบเดินเร็วจี๋ราวกับเหาะได้ออกไปต้อนรับเสด็จปู่
ไท่ซ่างหวงมาที่นี่พร้อมกันกับแม่นมสี่ ก่อนที่หยู่เหวินเห้าจะออกไป แม่นมสี่ก็มาหาเขาก่อนแล้ว เมื่อครู่ตอนที่อยู่ข้างนอก ทังหยางก็ได้บอกพวกเขาแล้วว่า พระชายารัชทายาทได้ให้กำเนิดจวิ้นจู่น้อย แม่นมสี่ขอร้องเขาว่าอยากเข้ามาดูเด็กน้อย ด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นจนแทบอดใจไม่อยู่
ไท่ซ่างหวงก็อยากมาดูเด็กน้อยเช่นกัน พูดตรง ๆ คือเขามาเพราะอยากจะมาดูเด็กน้อย ดังนั้น ในตอนที่หยู่เหวินเห้าออกไปน้อมทักทายเขา เขาก็สั่งทันทีว่า “ให้ข้าได้ดูแม่หนูน้อยก่อน”
เด็กน้อยยังออกมาไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอากาศที่หนาวเหน็บเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงหยู่เหวินเห้าที่รู้สึกเป็นห่วง ไท่ซ่างหวงเองก็ไม่เห็นด้วย
ดังนั้น ไท่ซ่างหวงจึงเสด็จเข้าไปในตำหนักเซี่ยวเยว่ แต่ตราบใดที่เขาไม่เข้าไปถึงในห้องนอน ก็นับว่าไม่เป็นไร
หยู่เหวินเห้าช่วยพยุงไท่ซ่างหวงไปที่ตำหนักข้างของตำหนักเซี่ยวเยว่ แล้วไปอุ้มเด็กน้อยมา เดิมทีหยวนชิงหลิงนอนหลับอยู่ แต่เพราะเด็กน้อยนอนหลับอยู่ข้างตัวนาง พอหยู่เหวินเห้าไปอุ้มนางออกมา หยวนชิงหลิงก็เลยตื่นไปด้วย
“มีอะไรรึ? ให้ดื่มนมอีกหรือ?” หยวนชิงหลิงถามเสียงเบา
“เสียงดังจนทำเจ้าตื่นหรือ? ” หยู่เหวินเห้ากดเสียงของเขาให้เบาลง รู้สึกหงุดหงิดตัวเองเล็กน้อย “เจ้านอนต่อเถอะ เสด็จปู่มาแล้ว ข้าจะอุ้มลูกไปให้ท่านดูเสียหน่อย”
หยวนชิงหลิงก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง รีบเลื่อนผ้าห่มลง “ดึกขนาดนี้แล้วแท้ ๆ ทำไมท่านยังเสด็จมาอีกล่ะ? เจ้าไปแจ้งข่าวดีแล้วรึ? ทำไมไม่รอพรุ่งนี้ก่อนค่อยไปแจ้งล่ะ?”
“ ข้าไม่ได้แจ้งหรอก บางทีอาจเพราะได้เห็นปรากฏการณ์บนท้องฟ้า จึงรู้ว่าเจ้าจะคลอดลูก เลยรีบร้อนมาที่นี่เสียมากกว่า”
หยวนชิงหลิงไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องปรากฏการณ์บนท้องฟ้า เมื่อได้ยินเขาพูด ก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย “ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าอะไรรึ?”
อันที่จริง หยู่เหวินเห้าเองก็ยังคงแปลกใจอยู่บ้างเล็กน้อยในตอนนี้ พูดว่า “ในตอนที่เจ้าคลอดลูก จู่ ๆ ก็มีลำแสงประหลาดบนท้องฟ้า มีเมฆที่ดูเหมือนถูกย้อมจนกลายเป็นสายรุ้งหลากสี สุดท้ายเมฆเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นหงส์ ค่อย ๆ คลายตัวเล็กลง กลายเป็นรัศมีของลำแสงสายหนึ่ง ทิ้งตัวลงมาที่จวนของเรา จากนั้นก็สลายตัวไป แล้วลูกก็เกิดพอดีเลย”
หยวนชิงหลิงประหลาดใจอย่างมาก “เมฆสีรุ้ง? เจ้าดูผิดไปหรือไม่? กลางคืนมืด ๆ แบบนี้จะมีเมฆสีรุ้งได้อย่างไรกัน?”
“เป็นเรื่องจริงนะ ทุกคนเห็นกันหมดเลย” เขาโน้มตัวลงไปจุมพิตนาง“ไว้ข้ากลับมาแล้วจะค่อย ๆ เล่าให้เจ้าฟังแล้วกัน ข้าจะพาลูกไปให้เสด็จปู่ได้ดูก่อน ป่านนี้ท่านคงรอจนร้อนใจแย่แล้ว”
“ได้ เจ้าไปเถอะ ดูเสร็จแล้วอย่าเพิ่งให้เขากลับไปนะ ให้พักอยู่ในจวนอ๋องฉู่ก่อนสักคืน วันนี้อากาศหนาว ต้องจับตาดูอาการเขาไว้หน่อย ถ้าเริ่มไอให้รีบมาบอกข้า ข้าจะได้จัดยาให้เขา วันนี้อากาศหนาวมาก หากวิ่งไปวิ่งมาข้ากลัวว่าเขาจะล้มป่วยได้” หยวนชิงหลิงกล่าวเตือน
“เข้าใจแล้ว!”หยู่เหวินเห้าตอบรับ แล้วอุ้มลูกออกไป
เด็กน้อยเนื้อตัวอ่อนนุ่มนิ่ม ถูกโอบอุ้มไว้ในอ้อมแขนของไท่ซ่างหวง เมื่อกดพับผ้าห่อตัวทารกลงไป ก็เผยให้เห็นใบหน้างดงามน่าทะนุถนอมของนาง แสงเทียนสะท้อนไปตามแนวสันกระดูก กับดวงตาสีดำขลับคู่นั้น ราวกับว่ามีเปลวไฟสายหนึ่งเต้นระริกอยู่ในดวงตา ไหลเวียนหมุนวน ดูเปล่งประกายมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ
ไท่ซ่างหวงจ้องมอง พลางถอนหายใจ”ถ้ามีใครมาบอกว่าเด็กคนนี้ครบเดือนแล้ว ก็มีคนเชื่อได้เลยเชียวล่ะ ทำไมถึงดูไม่เหมือนทารกแรกเกิดเลยนะ? หรือเพราะครบกำหนดคลอดแล้ว ก็ยังอยู่ในท้องแม่ไม่ยอมออกมาใช่หรือไม่?”
แม่นมสี่ก็อาศัยจังหวะนี้เข้ามาดูด้วย ยิ่งดูก็ยิ่งชอบ “ท่านพูดได้ถูกต้องแล้วเพคะ ถึงกับมีขนคิ้วงอกแล้ว ช่างดูเหมือนเด็กที่ครบเดือนแล้วจริง ๆ เพคะ หน้าตาช่างงดงามเหลือเกิน ดูไม่ค่อยเหมือนพระชายารัชทายาทเลย ดูโดยรวมมีเสน่ห์คล้ายองค์ชายรัชทายาทมาก แต่รูปลักษณ์เช่นนี้ จะว่าไปก็มีส่วนคล้ายพวกพี่ชายทั้งหลายอยู่ราว ๆ สามสี่ส่วนนะเพคะ ”
ความรักใคร่เอ็นดูที่ไท่ซ่างหวงมีต่อเด็กน้อยนั้น สามารถเห็นได้จากสายตาของเขา ซึ่งเอาแต่จับจ้องมองดูอยู่เป็นนานสองนาน ไม่อาจตัดใจเคลื่อนย้ายดวงตาออกไปจากแม่หนูน้อยได้
“เอาเถิด เสด็จปู่ ท่านอุ้มตั้งนานขนาดนี้ คงจะเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว ที่นี่ไม่มีทางไฟใต้ดินอากาศจึง หนาวมาก ข้าสั่งให้คนเตรียมห้องไว้ให้ท่านแล้ว ท่านรีบกลับไปพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวเจ้าหยวนก็จะตำหนิท่าน ว่าไม่รักษาสุขภาพตัวเองอีกหรอก” หยู่เหวินเห้าร่ายยาว
ไท่ซ่างหวงยังคงมีท่าทียากจะตัดใจส่งเด็กน้อยให้แม่นมสี่ เพื่อให้นางอุ้มกลับไป จากนั้นจึงเรียกให้หยู่เหวินเห้ามานั่งลง ท่าทางเหมือนมีเรื่องจะบอกเขา
เดิมหยู่เหวินเห้าตั้งใจว่าจะเกลี้ยกล่อมให้เขาไปนอน แต่ไท่ซ่างหวงมีเรื่องที่จะต้องพูดให้ได้ เขาจึงทำได้สั่งให้คนมาจุดเตาถ่าน เอาผ้าห่มผืนบาง ๆ มาวางห่มบนตัก แล้วยกชาร้อน ๆ มาให้ ค่อยถามว่า “ท่านอยากพูดอะไรกับข้าอย่างนั้นรึ ?”
ไท่ซ่างหวงมองเขา นัยน์ตาดูเคร่งขรึมจริงจังอย่างยิ่ง พูดขึ้นว่า “ตอนนี้บรรดาแร่ธาตุโลหะทั้งหมดในเป่ยถังล้วนครอบครองโดยราชสำนัก แต่ข้ามีเหมืองทองคำอยู่แห่งหนึ่งที่เป็นกรรมสิทธิ์ของข้า เหมืองแห่งนี้มีการบุกเบิกและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แร่ทองที่ถลุงได้ เดิมก่อนหน้านี้ข้าได้นำไปใส่ไว้ในคลังหลวง ซึ่งบรรดาทองคำเหล่านั้นล้วนบริจาคให้กับราชสำนัก แต่ตอนนี้ข้าตัดสินใจจะยกเหมืองทองคำแห่งนี้ให้นาง ไม่ว่าจะขุดถลุงแร่ต่อหรือเก็บมันไว้จนโต เจ้าที่เป็นพ่อสามารถช่วยนางตัดสินใจได้ แต่มีประโยคหนึ่งที่ข้าขอพูดไว้ให้ชัดเจนเลยว่าเหมืองทองคำแห่งนี้เป็นของนาง เจ้าไม่อาจเอาไปจากนางได้ ทำได้แค่เป็นผู้ช่วยเก็บรักษาไว้ให้นาง ต่อไปภายหน้าถ้านางจะแต่งงาน นี่จะเป็นสินเดิมของนาง แต่ถ้านางไม่แต่ง นี่ก็จะเป็นสมบัติที่เพียงพอให้นางมีกินมีใช้ไปตลอดชีวิต ”
หยู่เหวินเห้าตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “เสด็จปู่ นี่จะได้อย่างไรกัน? เหมืองทองคำแห่งนั้นเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของท่าน จู่ ๆ ท่านจะยกให้นางได้อย่างไร?”
“ วันเวลาที่ข้าเหลืออยู่นี้ ไม่ว่าจะกินจะดื่มอะไรก็ล้วนมีประชาชนกับราชสำนักมอบให้ ไม่มีโอกาสได้ใช้ทองคำอีก ความปรารถนาในสมบัติใด ๆ ก็ชืดชาไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่คิดอยากซื้ออีกต่อไป หากเหมืองทองคำแห่งนี้ข้าไม่ยกให้นาง อีกร้อยปีข้างหน้ามันก็จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของราชสำนักไปโดยปริยาย แทนที่จะรอให้เสด็จปู่หรือเสด็จพ่อของนางมอบให้เป็นรางวัลในอนาคต ไม่สู้ให้นางมีเป็นของตัวเองแต่แรกไปเลย มันจะไม่ดีกว่าหรือ? ”
หยู่เหวินเห้าพูดตะกุกตะกัก“แต่มันล้ำค่าเกินไป นางเพิ่งเกิดไม่นาน จะสามารถรับของขวัญที่ทรงคุณค่าขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ? อีกทั้ง……”
ไท่ซ่างหวงตัดบทคำพูดของเขาทันที “อย่าพูดจายืดเยื้อ นี่ไม่ใช่ยกให้เจ้าเสียหน่อย เจ้าไม่มีสิทธิ์รู้สึกเกรงอกเกรงใจแทนนาง อย่าได้คิดว่าการเป็นพ่อคนคือเรื่องที่วิเศษเกินใคร อย่างไรข้าก็ยังเป็นปู่ทวดของนาง เจ้าแค่ตั้งใจฟังก็พอ ในอนาคตจะมีการจัดเตรียมทรัพย์สินส่วนตัวของนางด้วย ส่วนชื่อและตำแหน่งยศที่จะแต่งตั้ง ข้าก็มีไว้หมดแล้ว ไทเฮาหลงเคยกล่าวไว้ว่า ชีวิตของนางมีชะตาหงส์ ในชีวิตมีไฟเป็นสิ่งควบคู่ ดังนั้นจะต้องรู้จักอดกลั้น มีความยับยั้งชั่งใจไว้ให้มาก ชื่อดี ๆ นั้นมีเป็นหมื่นเป็นพัน ข้าไม่ได้สนใจมากนัก ข้าเลือกคำว่าเจ๋อหลานสองคำนี้ ดอกกล้วยไม้ที่เติบโตริมน้ำ สามารถควบคุมไฟที่ร้อนแรงแผดเผาได้ หยู่เหวินเจ๋อหลาน บรรดาศักดิ์ที่แต่งตั้งคือเฉาเฟิ่ง รอให้ถึงวันที่สามหลังคลอด ข้าจะเป็นผู้แต่งตั้งชั้นยศด้วยตัวเอง รวมถึงลูกสาวของเจ้าหกก็จะแต่งตั้งด้วยพร้อมกัน ในภายหน้าเมื่อเจ้าขึ้นครองบัลลังก์ นางเลื่อนขึ้นเป็นองค์หญิง ชื่อนี้ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เข้าใจหรือไม่? ”
หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่า ชื่อและตำแหน่งชั้นยศนี้ใช้ได้เลยทีเดียว แต่เรื่องของเหมืองทองคำ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดว่า “ท่านยกทรัพย์สินส่วนตัวของท่านทั้งหมดให้นาง แต่จวิ้นจู่คนอื่นกลับไม่มีใครได้ ข้าเกรงว่า ท่านจะมีชื่อเสียงในเรื่องความลำเอียงรักเหลนไม่เท่ากัน”
ไท่ซ่างหวงกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า”มีอ๋องคนไหนบ้างไม่มีที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่มั่งคั่ง? ก็มีแค่จวนอ๋องฉู่ของเจ้านี่ล่ะที่แทบไม่มีอะไรเลย แค่จะพัฒนาอาวุธก็แทบจะต้องเป็นหนี้ท่วมหัว ยิ่งคู่เจ้าหกสามีภรรยา เจ้ายังคิดว่าพวกเขาจะสนใจสมบัติเงินทองอะไรพวกนั้นรึ? นางมีมหาศาลเชียวล่ะ นอกจากนี้รอให้เจ้าขึ้นเป็นฮ่องเต้ในอนาคต หากคลังหลวงมีสมบัติเต็มคลังก็ถือว่าดีไป หากว่าไม่ใช่ ลองขอให้อ๋องคนอื่นบริจาคให้เจ้าดูสักหน่อยซิ แล้วมาดูกันว่าจะมีพอหรือไม่พอเติมให้เต็มคลัง?