บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1375 ร่างกำหนดการ
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นอีกว่า“ลูก ๆ อีกห้าคนของเจ้า ที่ดินถิ่นสถานที่ได้รับมอบตามฐานันดรก็ล้วนเป็นที่กันดารห่างไกล ในอนาคตเมืองเหล่านี้จะเป็นกันชนที่ใช้ปกป้องเป่ยถังเรา ต่อต้านการบุกรุกของทางเป่ยโม่ คนที่จะทำเรื่องสำคัญ จะไม่มีกำลังเงินช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังได้อย่างไรล่ะ? เหมืองทองคำแห่งนี้แม้จะบอกว่าใช้เพื่อเป็นสินเดิมหากเฉาเฟิ่งจะแต่งงาน แต่พี่น้องล้วนมีใจสมานสามัคคี เมื่อไหร่ที่พี่ชายต้องการใช้เงิน น้องสาวย่อมไม่มีทางยืนดูเฉย ๆ โดยไม่ยื่นมือช่วยเหลือ อย่างไรก็ดีกว่าต้องมาอาศัยพึ่งพาเงินทองของเจ้า ”
หยู่เหวินเห้าฟังเขาพูดเช่นนี้ ก็คิดว่ามันก็ถูกต้องตามนั้นจริง ๆ แม้ว่าจวนอ๋องฉู่จะไม่ได้นับว่ายากจน แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่าร่ำรวยอยู่มาก รอจนเด็ก ๆ เติบโตขึ้น ไปรับผิดชอบที่ดินถิ่นสถานตามที่ได้รับในศักดินาของแต่ละคน ก็ต้องยอมรับว่ามันล้วนเป็นถิ่นทุรกันดาร และลำบากมากจริง ๆ แน่นอนว่าทุกคนต้องพบเจอความทุกข์ยากแน่แล้ว ถ้าได้รู้ว่าที่บ้านมีเหมืองแร่อยู่ วันนั้นก็ย่อมไม่ถึงกับยากลำบากจนเกินไป
เรื่องทั้งหมด จึงถูกกำหนดเป็นที่แน่ชัดด้วยประการนี้
หลังจากดูแลให้ไท่ซ่างหวงเข้านอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว หยู่เหวินเห้าก็กลับไปที่เรือนหลัก หยวนชิงหลิงยังไม่นอน กำลังรอให้เขากลับมา แล้วถามขึ้นว่า “เสด็จปู่ยังไออยู่หรือไม่?”
หยู่เหวินเห้ากระชับเสื้อคลุมนอนลงข้างนาง ดึงมือนางมากุมไว้ “ไม่ไอหรอก ตอนพูดมีกำลังวังชามหาศาลเชียวล่ะ ทั้งยังตั้งชื่อกับชั้นยศให้ลูกเรียบร้อยแล้วด้วย”
“ เร็วขนาดนี้เชียว?” หยวนชิงหลิงตกตะลึงไปเล็กน้อย แม่หนูน้อยเพิ่งคลอดออกมาได้เพียงสองชั่วยาม ก็มีชื่อรวมถึงชั้นยศแล้ว? คงไม่ได้ตั้งมาแบบสุ่ม ๆ หรอกนะ?
“ ท่านน่าจะเตรียมพร้อมไว้ตั้งนานแล้วล่ะ เดาว่าต่อให้เจ้าคลอดลูกชาย ท่านก็คงจะมีชื่อที่เตรียมไว้แล้วเช่นกัน” หยู่เหวินเห้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“ชื่ออะไรล่ะ?” หยวนชิงหลิงถาม
หยู่เหวินเห้าพูดว่า”หยู่เหวินเจ๋อหลาน บอกว่าเป็นการกดดวงชะตาแห่งไฟ แต่งตั้งชั้นยศเป็นเฉาเฟิ่งจวิ้นจู่ เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เจ๋อหลาน?” หยวนชิงหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกค่อนข้างพอใจทีเดียว “ท่านย่าคงจะชอบมากแน่ ๆ เพราะเจ๋อหลานเป็นชื่อของยาจีนชนิดหนึ่ง ส่วนชื่อของชั้นยศ เรื่องนี้เราตัดสินใจกันเองไม่ได้ ถ้าเสด็จปู่คิดว่ามันดี เช่นนั้นก็คงจะดีแล้วล่ะ”
หยู่เหวินเห้ารู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย ชื่อจริงเขาไม่ได้เป็นคนตั้ง ส่วนชื่อเล่นว่าหลายฝูก็ถูกปฏิเสธไปแล้ว “ถ้าอย่างนั้น พวกเราไม่ควรตั้งชื่อเล่นให้ลูกสักชื่อหรอกรึ?”
“ เจ้าเป็นพ่อ เจ้าตั้งเถอะ แต่จะชื่อหลายฝูชื่อหมาชื่อแมวอะไรแบบนั้นไม่ได้นะ!” หยวนชิงหลิงเอนตัวเข้าไปพิงเขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
นี่ช่างเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ไม่อาจเลือกแบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้ เพราะถึงอย่างไร ชื่อซาลาเปา ทังหยวน ข้าวเหนียว ต่างก็เป็นชื่อที่ตั้งได้สุ่มสี่สุ่มห้าเกินไปจริง ๆ กลายเป็นว่าเสียเปรียบให้สวีอีมาคว้าโอกาสไปได้ โดยที่ตัวเองต้องขาดทุนป่นปี้เลยทีเดียว
มีทั้งชื่อถังกั่วเอ๋อกับจูเป่าอยู่แล้ว ชื่อพี่หญิงเป่ากับพี่หญิงซิ่วก็ตั้งได้ไม่เลว ไม่รู้เหมือนกันว่าชื่อเล่นของลูกสาวเจ้าหกจะตั้งว่าอย่างไร? หยู่เหวินเห้ากอดหยวนชิงหลิงแนบอก ไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย พยายามบีบเค้นสมอง คิดพิจารณาทุกอย่างที่ได้เรียนรู้มาตลอดชีวิตนี้อย่างสุดกำลัง แต่ยิ่งรีบร้อนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งคิดชื่อดี ๆ ไม่ออกมากเท่านั้น
รอจนเช้าวันรุ่งขึ้น เขาก็เรียกพี่น้องทั้งหมดมาโดยพร้อมเพรียง เชิญกระทั่งฮูหยินเหยารวมถึงบรรดาพระชายาทั้งหมดมาด้วยทั้งยังตั้งใจส่งคนไปเชิญท่านชายสี่กับหยู่เหวินหลิงมาเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้ทุกคนมาช่วยกันคิดชื่อ
บรรดาลูก ๆ ของจวนอ๋องฉู่ ดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจเรื่องชื่อจริงกันมากนัก แต่ชื่อเล่นกลับเป็นอะไรที่จริงจังมาก เพราะว่า โดยพื้นฐานแล้วตอนที่พวกเขายังเด็ก มักจะเรียกกันด้วยชื่อเล่นเสียมากกว่า
ทุกคนแย่งกันพูดแสดงความคิดเห็นจนฟังไม่ได้ศัพท์ อ๋องฉีบอกว่าเด็กเกิดในเทศกาลโคมไฟ (หยวนเซียว) เช่นนั้นก็เรียกว่าหยวนเซียวดีกว่า
หยวนหย่งอี้บอกว่าดวงตาของจวิ้นจู่น้อยสุกใสเหมือนดวงดาว ไม่สู้เรียกว่าซิงซิง (ดวงดาว)น่าจะดีกว่า
อ๋องซุนพูดอย่างช้า ๆ และสบาย ๆ ว่า” เรียกว่ากุ้ยหยวน (ลำไยอบแห้ง) ก็ดีออกนะ เม็ดของลำไยก็มีสีดำเป็นมันเงางามดีด้วย”
พระชายาซุนพูดปรามาสเขาทันทีว่า “นอกจากกินแล้ว เจ้ายังคิดถึงอย่างอื่นได้บ้างหรือไม่?”
อ๋องซุนไม่เห็นด้วย “การกินมีอะไรไม่ดีล่ะ? คนเราชีวิตอยู่ ไม่ใช่เพราะอยู่เพื่อกินหรอกรึ?”
พระชายาซุนกลอกตามองบนใส่เขา “ไม่สู้เรียกว่าหมิงจูดีกว่าล่ะ? เป็นไข่มุกล้ำค่าที่ประคองอยู่ในฝ่ามือของรัชทายาท”
“เฉิ่มเชยเหลือเกินแล้ว ๆ!” อ๋องฉีส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน
ที่จริงมันก็ค่อนข้างเฉิ่มเชยไปหน่อยจริง ๆ พระชายาซุนเองก็รู้สึกเช่นนั้น
หลังจากถกกันไปได้รอบหนึ่ง ทั้งบรรดาแตงหวานผลไม้หลากหลาย ของว่างมากมายก็ถูกนำมาวางลงบนโต๊ะ เรื่องกินสำหรับอ๋องซุนนั้นไม่เคยปฏิเสธอยู่แล้ว
แค่ชื่อเล่นของเด็กชื่อเดียว คุยกันเป็นชั่วยามก็ยังไม่ได้ข้อสรุป หยู่เหวินเห้าเหนื่อยใจอย่างยิ่ง หันไปมองท่านชายสี่ “ท่านชายสี่ เจ้าก็ตั้งมาสักชื่อเถอะ”
ท่านชายสี่กำลังถือเมล็ดแตงโมอยู่ในมือ เขาแทะเมล็ดแตงโมมาได้เกือบชั่วยามแล้ว เมื่อได้ยินหยู่เหวินเห้าถามเขาอย่างนั้น ก็พูดแบบไม่ใส่ใจเท่าไหร่ว่า “เรียกว่าเสี่ยวกวาจื่อแล้วกัน” (แปลว่าเจ้าเมล็ดแตงน้อย)
“ ชื่อนี้ตั้งได้ขอไปทีเหลือเกินแล้ว ฟังดูขอไปทีสิ้นดี!” ทุกคนพูดแทบจะพร้อมกัน
แต่หยู่เหวินเห้าได้ยินแล้ว กลับคิดว่ามันเหมาะมาก กวาจื่อ เสี่ยวกวา เสี่ยวกวาจื่อ ลูกสาวตัวน้อย ๆ ใบหน้าน้อย ๆ ที่เรียวรีดั่งเมล็ดแตง คิ้วที่เหมือนแตง เมล็ดแตงน้อยของเขา เหมาะเจาะอะไรอย่างนี้!
หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นยืนพรวด “เป็นเสี่ยวกวาจื่อนี่ล่ะ!”
ด้วยเหตุนี้เอง เจ้าหงส์น้อยที่เพิ่งเกิดได้ยังไม่ถึงวัน จึงมีทั้งชื่อชั้นยศ ชื่อจริง และชื่อเล่นพร้อมหมดเป็นที่เรียบร้อย
เจ้าหงส์น้อยที่เกิดในเทศกาลโคมไฟ หยู่เหวินเจ๋อหลาน ชื่อยศคือเฉาเฟิ่งจวิ้นจู่ ชื่อเล่นเสี่ยวกวาจื่อ
หลังจากตัดสินใจได้เรียบร้อย หยู่เหวินเห้าก็เข้าวังไปทูลแจ้งข่าวดีทันที
ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงเกษมสำราญมาก เมื่อทรงได้ยินว่า พระชายารัชทายาทให้กำเนิดหลานสาวเพิ่มให้พระองค์อีกคนแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้เห็นลูกชายในสภาพที่เหมือนคนโง่เง่า ซึ่งยิ้มร่าจนหุบไม่ลง ในใจก็รู้สึกผ่อนคลายสบายใจขึ้นมาก เจ้าลูกชายโง่เง่าคนนี้ช่างโชคดีจริง ๆ นึกอยากได้ลูกชายก็มีลูกชาย นึกอยากได้ลูกสาวก็มีลูกสาว
การที่รัชทายาทมีทั้งลูกชายลูกสาว แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งในราชสำนัก ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงมีรับสั่งให้มู่หรูกงกงจัดเตรียมรายการของขวัญ ทั้งยังเสด็จไปที่ตำหนักฉางเหมินด้วยองค์เอง ตรัสว่าต้องการไปหารือกับหวงกุ้ยเฟยเรื่องการพระราชทานของขวัญให้กับหลานสาว
เมื่อหวงกุ้ยเฟยได้ยินข่าวดี นางก็ปลาบปลื้มใจอย่างมาก ไม่สนใจความสัมพันธ์ระหองระแหงห่างเหินกับฮ่องเต้หมิงหยวน มานั่งลงแล้วพูดคุยกันอย่างสมานฉันท์
เมื่อพิจารณาถึงความไม่เป็นธรรมที่เคยทำกับเจ้าห้าเมื่อครั้งอดีต ฮ่องเต้หมิงหยวนจึงรู้สึกว่าของขวัญครั้งนี้ไม่ควรให้แบบสุกเอาเผากินเด็ดขาด เขาต้องได้รับศักดิ์ศรีที่เขาสมควรได้รับ ดังนั้น ของขวัญชิ้นนี้จะต้องยิ่งใหญ่มาก
หวงกุ้ยเฟยหวนนึกถึงไข่มุกหนันที่เคยมอบให้พระชายารัชทายาทก่อนหน้านี้ เอ่ยว่า “หม่อมฉันจำได้ว่าเมื่อสองสามปีก่อน มีบรรณาการเป็นไข่มุกหนันเข้ามาในวัง พี่หญิงเป่าก็เคยได้รับ รวมถึงบรรดาจวิ้นจู่อีกหลายคน ก็ได้เป็นของขวัญกันไปไม่น้อยเช่นกัน ตอนนี้ทั้งพระชายารัชทายาทกับพระชายาหวยต่างก็ให้กำเนิดจวิ้นจู่ เราไม่อาจเลือกที่รักมักที่ชัง ไข่มุกหนันที่เหลืออยู่ ก็สมควรมอบให้เป็นของขวัญด้วยกันทั้งหมด นอกจากนี้ รอให้หม่อมฉันมีเรี่ยวแรงกว่านี้สักหน่อย ค่อยไปหารือกับกิจการฝ่ายในอีกครั้ง”
ไข่มุกหนันเป็นของหายาก เมื่อฮ่องเต้หมิงหยวนได้ฟังคำแนะนำของนาง ก็รู้สึกว่านั่นเป็นความคิดที่ดี
หลังจากหารือเสร็จ ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ไปอุ้มองค์หญิงน้อยเล่นครู่หนึ่ง คิดอยากจะอยู่สนทนากับหวงกุ้ยเฟยต่อ แต่ถูกหวงกุ้ยเฟยบอกปัดอ้อม ๆ พระองค์จึงทำได้เพียงกลับไป
สุดท้าย พระองค์กับหวงกุ้ยเฟยก็แยกจากห่างเหินกันแล้วจริงๆ
แม้แต่งานใหญ่ที่เปี่ยมล้นด้วยความสุขเช่นนี้ ก็ยังไม่อาจแบ่งปันความสุขให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างแท้จริง
ไท่ซ่างหวงส่งคนเข้าไปในวังเพื่อบอกกล่าวให้รู้ทั่วกัน ว่าชื่อชั้นยศมีการกำหนดร่างไว้แล้ว ให้แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ก่อน ส่วนแฝดชายหญิงของจวนอ๋องหวย ให้รอจนกว่ากรมพิธีการจะกำหนดร่างชื่อชั้นยศเสร็จสิ้น ค่อยแต่งตั้งบรรดาศักดิ์
ในพิธีอาบน้ำวันที่สาม หนังสือพระราชกำหนดแต่งตั้งชั้นยศก็มาถึง หนูน้อยเสี่ยวกวาจื่อก็มีตำแหน่งยศของตัวเอง เป็นเฉาเฟิ่งจวิ้นจู่ เสด็จทวดของนางไม่รอให้นางครบเดือนก่อนด้วยซ้ำก็แต่งตั้งชั้นยศอย่างครบถ้วน แสดงให้เห็นถึงความโปรดปรานของเขาเสียแล้ว
เนื่องจากเสี่ยวกวาจื่อได้รับของขวัญ จวิ้นจู่คนอื่นๆ จึงต้องได้รับตำแหน่งเท่าเทียมกัน จึงจะนับได้ว่าไม่ลำเอียง ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงปีติยินดี บรรดาอ๋องชินและจวิ้นจู่ทั้งหมดต่างก็ได้รับการแบ่งปันธัญญาหาร รวมถึงที่ดินอย่างพร้อมหน้า
เนื่องจากเสี่ยวกวาจื่อเพิ่งจะมีศักดินา บรรดาท่านป้า ท่านน้า ท่านอาทุกคนต่างก็รักใคร่ชอบใจเสี่ยวกวาจื่อ เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจ มีแต่คนรักใคร่เอ็นดูอย่างท่วมท้น
นอกจากพวกผู้ใหญ่แล้ว พี่ชายทั้งห้าคนก็มอบของขวัญให้เสี่ยวกวาจื่อด้วย เด็ก ๆ ต่างเอาของมีค่าที่สุดของตัวเองทั้งหมด มาวางกองซ้อนกันไว้ข้างเตียงของเสี่ยวกวาจื่อ ทุก ๆ วัน หัวเล็ก ๆ ทั้งห้าหัวจะมารวมกันเป็นกระจุก เฝ้ามองดูน้องสาวอย่างเงียบ ๆ แทบไม่อยากตัดใจกระพริบตากันเลยทีเดียว
เมื่อก่อนพวกเขาชอบพี่หญิงเป่า ถังกั่วเอ๋อ พี่หญิงซิ่วมาก ๆ แต่ตอนนี้ พวกเขามีน้องสาวของตัวเองแล้ว จึงรู้กระจ่างขึ้นมาได้ในทันทีว่าระดับของคำว่าชอบนั้น มันไม่เหมือนกันเลยจริง ๆ