บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1376 ท่านอาจารย์มาแล้ว
หยวนชิงหลิงให้ซาลาเปาไปบ้านคุณยาย เพื่อบอกพวกท่านว่าน้องสาวเกิดแล้ว พวกท่านจะได้ร่วมยินดีกับเรื่องนี้ไปด้วย
ซาลาเปาชอบทำเรื่องอะไรแบบนี้ที่สุดแล้ว หลังไปประกาศข่าวดีนี้ที่บ้านคุณยาย ทุกคนในบ้านก็ล้วนยินดีกันอย่างมาก เพราะพวกเขาต่างก็รู้ดีว่าลูกเขยชอบลูกผู้หญิง มาตอนนี้ ความฝันของเขาเป็นจริงแล้ว
คุณแม่ของหยวนชิงหลิงเตรียมของไว้เยอะมาก แต่ตอนนี้ทะเลสาบจิ้งค่อนข้างผิดปกติ จึงกลัวว่าของที่ส่งมาปลายทางอาจจะไม่ได้รับ ดังนั้นจึงตัดสินใจรอไปอีกสักระยะ ตามที่ฟางหวูบอกไว้ ว่าให้รออีกสักสองสามเดือนโดยประมาณก็น่าจะส่งได้แล้ว
ฟางหวูขอให้ซาลาเปาบอกหยวนชิงหลิงให้หน่อยว่า เธอได้ป้อนข้อมูลทั้งหมดลงในคอมพิวเตอร์ เพื่อทำการคำนวณผลลัพธ์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเวลา วัน และทิศทางต่างพร้อมใช้งานทั้งหมด ตราบใดที่ไม่มีปัจจัยภายนอกมากระทบ ทะเลสาบจิ้งก็จะสามารถแสดงศักยภาพที่แม่นยำออกมาได้อย่างแน่นอน
ฟางหวูขอให้ซาลาเปาใส่ใจจุดที่ปรากฏแสงสว่างในสมองของแม่อย่างใกล้ชิด เมื่อไหร่ที่มันกำลังจะหายไปต้องรีบบอกเธอทันที
หลังจากที่ซาลาเปากลับไป เขาไม่กล้าพูดเรื่องแสงสว่างในสมอง บอกแค่เรื่องที่ทะเลสาบจิ้ง จะสามารถใช้การได้ภายในสองสามเดือน เรื่องนี้สำหรับหยวนชิงหลิงแล้ว นับว่าเป็นข่าวดีมากจริง ๆ
นับตั้งแต่ค้นพบทะเลสาบจิ้งมาจนถึงตอนนี้ นางก็ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นานมาก ในที่สุดความฝันของเธอก็เป็นจริงเสียที ทำไมจะไม่ทำให้นางมีความสุขล่ะ?
เกี่ยวกับเรื่องของลิง นางต้องรอจนกว่าทะเลสาบจิ้งจะเปิดทาง หลังจากที่นางได้กลับไปทำความเข้าใจอย่างชัดเจนกระจ่างแจ้งแล้ว ค่อยบอกหงเย่อีกที
หลังจากที่นางข้ามเวลามาที่เป่ยถัง หยวนชิงหลิงรู้สึกว่า ตอนนี้นี่ล่ะที่นางมีความสุขที่สุดแล้ว สามารถเดินทางไปมาได้ทั้งสองฝั่ง ในที่สุดก็เป็นไปได้ตามที่หวัง การแต่งงานที่เป่ยถัง ก็เปรียบเหมือนกับความฝันที่แค่ไปแต่งงานในเมืองอื่นเท่านั้นแล้ว
นางประมาณการณ์ว่ารอหลังจากนี้อีกสามเดือน ทางกลับบ้านก็คงจะเปิดจริง ๆ เมื่อถึงตอนนั้น นางก็จะสามารถพาลูก ๆ ทั้งหกและสามี ยกโขยงกันกลับไปเยี่ยมบ้านพ่อแม่ได้แล้ว
เสี่ยวกวาจื่อเป็นเด็กที่เงียบมาก แตกต่างจากตอนที่นางอยู่ในครรภ์อย่างยิ่ง แต่เพราะความแตกต่างมากที่ว่านี้เอง ที่ทำให้เกิดความสงสัยว่าเรื่องที่เกิดไฟไหม้นั้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนางเลยหรือ
แต่ในช่วงที่หยวนชิงหลิงอยู่ไฟมักจะเฝ้าจับตามองนางตลอด พยายามค้นหาสัญญาณของพลังเหนือธรรมชาติในตัวลูกสาว หลังจากจับตามองอยู่เจ็ดแปดวัน ก็เห็นว่านางไม่ได้ดูแตกต่างไปจากทารกธรรมดา ๆ ตรงไหน จึงรู้สึกว่าแบบนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก และถึงอย่างไร พวกพี่ชายทั้งห้าคน ก็คงจะรักใคร่เอ็นดูนางจนแทบจะยกขึ้นไปไว้เหนือหัว ไม่มีทางทำให้นางได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจอะไรแน่
เมื่อเสี่ยวกวาจื่ออายุได้สิบสองวัน ฉีฮั่วก็มาถึง
หยู่เหวินเห้าไม่เคยลืมเขา ในการต่อสู้ครั้งนั้น ฉีฮั่วก็มีส่วนช่วยอยู่มาก ทั้งหมดเป็นเพราะเขาหลอกปั่นหัวแม่ทัพใหญ่ฉิน ให้พวกนั้นคิดว่าเขาตายแล้ว จึงทำให้ชาวเป่ยโม่ผ่อนคลายการเฝ้าระวังลง
แต่หยู่เหวินเห้ากลับไม่ได้มีท่าทียินดีต้อนรับเขามากนัก
ลูกสาวของเขาเองแท้ ๆ เขายังไม่ได้เอ็นดูรักใคร่ให้สมใจอยากเลย ก็ต้องส่งไปให้เป็นศิษย์ของผู้ชายหยาบเถื่อนคนนี้เสียแล้ว ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี เขาจำได้ว่าอ๋องชินเฟิงอันเคยพูดไว้ว่า ถ้าฉีฮั่วมาเพื่อรับลูกศิษย์จริง ๆ ให้บอกไปว่าไม่ตกลง
ดังนั้น เมื่อฉีฮั่วมาถึงจวนอ๋องฉู่ หยู่เหวินเห้าก็ตั้งโต๊ะดวลเหล้ากับเขา รอจนดื่มกันจนเมาได้ราว ๆ เจ็ดส่วนแล้ว ฉีฮั่วพูดถึงสัญญาที่เดิมเคยว่าไว้ หยู่เหวินเห้าก็ยกไหเหล้าขึ้นพลางกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า”ข้าไม่เคยเอ่ยปากตอบตกลงสัญญานี้เลยนะ”
ฉีฮั่วตกตะลึงจนตาค้าง “ทำไมเจ้าจะไม่ได้ตอบตกลงล่ะ? เจินอี้เฟิงเคยบอกไว้ว่า หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว ลูกสาวของเจ้าจะเป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าก็เคยบอกเจ้าไปตั้งแต่แรกแล้วนี่”
“ ท่านเคยพูดจริง แต่ตัวข้าไม่เคยรับปากตกลงเสียหน่อย ” หยู่เหวินเห้าพูดเตือนเขาอย่างมีน้ำใจ “ท่านบอกเองว่าเจินอี้เฟิงคนนี้เป็นคนรับปาก นั่นย่อมหมายความว่าเป็นเขาที่รับปากท่านเอง ท่านควรไปหาเขามากกว่ากระมัง?”
ฉีฮั่วหรี่ตามอง ใบหน้าแดงเถือกด้วยความร้อนใจ ดวงตาของเขาดูเหมือนมีเปลวไฟปะทุขึ้นมา แต่ชั่วพริบตาก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงสงบสติอารมณ์ แล้วโบกมือพลางยกยิ้ม”นั่นมันก็ไม่สำคัญหรอก เขาเคยพูดว่า ถ้าเจ้าไม่ตกลงก็ให้ข้าอุ้มลูกศิษย์ไปเลยตรง ๆ ก็ได้ เพราะอย่างไรเสีย จวนอ๋องฉู่ของพวกเจ้าก็หยุดข้าไม่ได้ ก่อนหน้านี้ก็เคยลองมาแล้วด้วย”
ครั้งนี้ ถึงตาของหยู่เหวินเห้าเป็นฝ่ายที่ต้องตกตะลึงจนตาค้างบ้างแล้ว หลังจากมองค้างอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดอย่างร้อนใจว่า “เขาพูดอย่างนั้นจริง ๆ น่ะหรือ?”
“ ถูกต้อง เขาบอกว่าขอแค่ข้าอุ้มลูกศิษย์ออกไปเลย ยังไม่ทันถึงหน้าประตู พวกเจ้าจะต้องตอบตกลงแน่ ” ฉีฮั่วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หยู่เหวินเห้าโกรธจนแทบจะตายลงไปให้ได้แล้ว นี่เสด็จปู่ใหญ่หมายความว่าอย่างไรกันแน่? ก่อนหน้านี้บอกกับเขาไม่ต้องตอบตกลง แต่ก็แอบไปสัญยิงสัญญากับฉีฮั่วลับหลังเขานี่ไม่เท่ากับว่าเขาต้องส่งเสี่ยวกวาจื่อ ให้ไปเป็นลูกศิษย์ของฉีฮั่วด้วยมือตัวเองหรอกหรือ?
นี่เขาถูกเสด็จปู่ใหญ่ขายแล้ว?
ฉีฮั่วใช้สายตาที่เรียกว่าไร้เดียงสาอย่างที่สุด จ้องไปที่ใบหน้าที่แสดงอารมณ์อันสลับซับซ้อน ระคนประหลาดใจของหยู่เหวินเห้า ในใจเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจขึ้นมา เขาอดไม่ได้ที่จะเตือนหยู่เหวินเห้าไปประโยคหนึ่งว่า”อันที่จริง เจิน ….หรือก็คืออ๋องชินเฟิงอันของพวกเจ้า โดยพื้นฐานนิสัยของเขาแล้ว นั่นคือจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ตัวเป็น ๆ เลยล่ะ พวกเจ้าเองก็คงจะรู้เรื่องนี้แล้วกระมัง? ว่าทุกสิ่งที่เขาพูด เจ้าสามารถเชื่อได้เพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น และแน่นอนว่า การไม่เชื่อหนึ่งส่วนที่ว่านั้นจะเป็นการดีที่สุดอีกด้วย”
หยู่เหวินเห้าแอบกัดฟันกรอด ๆ “เจ้าบอกว่าเจ้าต้องการรับลูกสาวข้าไปเป็นศิษย์ เช่นนั้นเจ้าจะสอนอะไรนางได้?”
ฉีฮั่วแสดงสีหน้างงงันไปเล็กน้อย “ทำไมข้าจะสอนอะไรนางไม่ได้ ข้าเป็นทุกอย่างนั่นล่ะ”
เขานั่งตัวตรง แสดงท่วงท่ากริยาที่จริงจังอย่างยิ่ง “ รัชทายาท ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ว่าอย่าได้มองว่าข้าคนนี้ดูเหมือนคนที่ไม่ค่อยเก่งกาจอะไรจะดีกว่า แท้ที่จริงแล้ว ข้าทำอาชีพสำคัญ ๆ มามากมายนับไม่ถ้วน ทั้งผู้สอบสวนคดีอาญา คนขับรถ นักมายากล นักพนัน บริกร ขายของ คนคุ้มกัน ทุกสาขาอาชีพล้วนเคยเผชิญตื้นลึกหนาบางมาหมด ทั้งยังเคยทำธุรกิจมาก่อนด้วย….แน่นอนว่าตั้งแผงขายของริมถนน ก็เรียกว่าเป็นธุรกิจด้วยใช่หรือไม่? ไม่ว่านางอยากเรียนสิ่งใด ข้าก็สามารถสอนสิ่งนั้นได้ และข้าก็เป็นคนซื่อตรง ไม่มีทางทำเหมือนอ๋องชินเฟิงอันที่ใช้วิธีเจ้าเล่ห์เพทุบาย มาหลอกลวงหรือลักพาใครไปอย่างแน่นอน ตรงจุดนี้เจ้าสามารถวางใจได้”
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันล่ะนั่น? จู่ ๆ หยู่เหวินเห้าก็รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาทันที
ถ้าจะปะทะกับฉีฮั่วขึ้นมา ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะถ้าสู้กันขึ้นมาจริง ๆ ก็เท่ากับเขาเนรคุณ ทั้ง ๆ ที่ฉีฮั่วก็เคยช่วยทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อเป่ยถังมาก่อน
อีกทั้งพอสู้กันจริง ๆ เขาก็ไม่มีโอกาสจะชนะได้ ทำได้แค่ต้องมองเขาอุ้มเสี่ยวกวาจื่อจากไป ต่อให้ไม่ได้อุ้มตัวไปเลยจริง ๆ แต่การทำให้นางตกใจก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรอยู่ดี
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ข้าต้องหารือกับภรรยาให้ดีก่อน ถึงจะสามารถให้คำตอบท่านได้”
ฉีฮั่วพยักหน้า “ควรต้องเคารพความคิดเห็นของภรรยาจริง ๆ นั่นล่ะ เจ้ารีบไปถามนางเถอะ ข้าจะรอที่นี่”
หยู่เหวินเห้าเรียกทังหยางมาคอยต้อนรับขับสู้เขา แล้วรีบไปที่ตำหนักเซี่ยวเยว่ทันที
หยวนชิงหลิงก็รู้ว่าฉีฮั่วมา ผลคือเจ้าห้ากลับมาพูดด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “เจ้าฉีฮั่วนั่นจะมารับลูกศิษย์แล้ว พวกเราต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง เพื่อปัดตกเรื่องนี้ออกไปให้ได้”
“เกรงว่าจะปัดเรื่องนี้ไม่ตกแล้วน่ะสิ เอาอย่างนี้เถอะ พวกเราไปคุยกับเขาก่อน แค่รับลูกศิษย์ในนาม ไม่จำเป็นต้องเหน็ดเหนื่อยสอนสั่งอะไรก็ได้ แบบนี้ดีหรือไม่?” หยวนชิงหลิงเสนอ
“ ลองคุยดูก่อน ยื้อเวลาไปก่อน ข้าจะให้คนส่งจดหมายถึงเสด็จปู่ใหญ่ ไปถามว่าเรื่องนี้จะแก้ไขอย่างไรดี” หยู่เหวินเห้ายังมีความเชื่อมั่นในตัวอ๋องชินเฟิงอันเหลืออยู่
“อย่างนั้นก็ได้” หยวนชิงหลิงพยักหน้าตอบรับ
ทางด้านของฉีฮั่วนั้น เขาแสดงท่าทีค่อนข้างแข็งกร้าว ก็คือจะคุยเรื่องอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่เรื่องรับลูกศิษย์นั้นคือรับแน่แล้ว ทั้งยังต้องการพบลูกศิษย์ของเขาในทันทีอีกด้วย
หลังจากหยู่เหวินเห้าให้คนไปส่งจดหมายแล้ว ก็อุ้มเสี่ยวกวาจื่อไปที่ตำหนักข้างให้เขาได้เห็นหน้าค่าตา
เมื่อฉีฮั่วได้เห็นเสี่ยวกวาจื่อ ก็ยื่นมือออกไปอุ้มมา มองดูใบหน้าเล็ก ๆ ที่งดงามละเอียดอ่อนนี้ เขาก็จิตใจเบิกบานมีความสุขมาก นี่คือลูกศิษย์ของเขา
หลังจากถามชื่อแล้ว เขาก็ขมวดคิ้ว “เสี่ยวกวาจื่อ? ชื่อนี้มันทรงพลังตรงไหนกัน? ทำไมไม่เรียกว่าช่วนเทียนโฮว (เจ้าปืนใหญ่ลอยฟ้า) หรือไม่ก็เสี่ยวเปียนเผ้า (เจ้าประทัดน้อย) ล่ะ?”
เป็นหงส์ไฟผู้เลอค่าอยู่ดี ๆ ทำไมถึงไร้ความงามสง่าทรงคุณค่าได้ขนาดนี้ล่ะนี่?
หยู่เหวินเห้ากำลังจะพูดหักล้างเขา แต่กลับเห็นเขาเอื้อมมือไปสัมผัสดวงตาของเสี่ยวกวาจื่อ จึงร้องตะโกนด้วยความตกใจสุดขีด “อย่าแตะนะ เจ้าไปแตะดวงตาของนางทำไมกัน?”
นิ้วของฉีฮั่วลูบไปที่ดวงตาทั้งสองข้างของนางเบา ๆ พริบตานั้นพลันเห็นประกายไฟสายหนึ่งลุกวาบบนปลายนิ้วของเขา หยู่เหวินเห้าตกใจสะดุ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ตั้งใจมองอีกครั้ง แต่กลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรทั้งนั้น
ฉีฮั่วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป เปลวไฟนี้ของนางจำเป็นต้องระงับให้นางไว้ก่อน ไม่อย่างนั้น หากรอจนนางโตกว่านี้หน่อย ต่อให้มีจวนอ๋องฉู่กี่ร้อยกี่พันจวนก็ไม่พอให้นางเผาเล่นแน่ ๆ”
“หมายความว่าอย่างไรกัน?” หยู่เหวินเห้ามองเขาด้วยอาการตกตะลึง