บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1378 ตัดการเชื่อมต่อ
ไม่จำเป็นต้องรอการวินิจฉัยจากหยวนชิงหลิง ย่าหยวนก็สามารถจับจนรู้ถึงชีพจรนั้นได้แล้ว นางหันกลับไปมองหยวนชิงหลิง พลางถอนหายใจเบา ๆ
หัวใจของหยวนชิงหลิงหนักอึ้งจมดิ่ง หยิบเครื่องช่วยฟังเดินขึ้นไปข้างหน้า อันที่จริง ถึงแม้ว่าวิธีการของยุคปัจจุบันจะสามารถวินิจฉัยปัญหาต่าง ๆ ออกมาได้จริงก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีหนทางทำการรักษาได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อปรึกษากับคุณย่าแล้วว่า คงเป็นเพราะการใช้พลังภายในของตัวเองทะลวงหลอดเลือด จนส่งผลให้ความดันในกะโหลกศีรษะสูงขึ้น จนกดทับเส้นประสาทตา ทำให้ตอนนี้ตาบอดไปอีกครั้ง ประกอบกับอาการป่วยแต่เดิมที่เป็น สามารถสรุปได้โดยพื้นฐานว่า จุดที่มีลิ่มเลือดกดทับเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าอาจจะทำลายเส้นประสาท และทำให้เกิดเนื้อร้ายของเซลล์ต้นกำเนิดในสมอง
คนที่ได้ใช้ชีวิตผ่านมาอย่างโชกโชนจนถึงวัยเกษียณ เพิ่งเริ่มจะวางแผนใช้ชีวิตคู่ กลับต้องมาเจอกับอุปสรรคชิ้นใหญ่แบบนี้ ช่างเป็นการโจมตีครั้งใหญ่ในชีวิตจริงๆ
โสวฝู่กลับเข้าใจได้แจ่มแจ้ง เขายิ้มพลางพูดกับทุกคนว่า”ในทุกวันนี้ที่ข้าเกษียณออกมา มีเสี่ยวสี่อยู่เคียงข้าง ไม่ต้องตื่นแต่เช้าทุกวัน ไม่ต้องทนนอนดึกทุกคืน ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น และตก ได้เห็นดอกไม้ผลิบานและร่วงโรย ได้กินอาหารเลิศรสมากมายมานานโข ข้าไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายอีกแล้ว”
คำพูดของเขาเหล่านี้ ทำให้หยวนชิงหลิงแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาให้ได้
ใบหน้าของไท่ซ่างหวงซีดเผือด เขาคิดอยากจะพูดปลอบโสวฝู่สักประโยค แต่ก็พบว่าตัวเองไร้กำลังสามารถ ไม่อาจช่วยอะไรเขาได้ ต่อให้พูดคำดี ๆ มากแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์
แม่นมสี่นั่งอยู่ข้างเขา จับมือเขาไว้ตลอดเวลาไม่ยอมปล่อย น้ำตาคลอเบ้า นางฝืนกลั้นไว้ไม่ยอมปล่อยให้มันไหลหยดลงมา ทำเอาใครที่ได้เห็นต่างก็รู้สึกสงสารเห็นใจ
หยวนชิงหลิงกับคุณย่าต่างก็สั่งยาหลากหลายชนิด ลองใช้ทั้งยาจีนและยาตะวันตกร่วมกัน เพื่อจะดูว่าจะชะลอการพัฒนาของโรคได้หรือไม่
แต่นอกจากการผ่าตัดแล้ว ก็ไม่มีวิธีอะไรอื่นแล้วจริง ๆ
ผ่านไปไม่นาน เมื่ออาการของโรครุนแรงขึ้น ก็เป็นเรื่องในอีกสองสามวันต่อมาแล้ว
หยวนชิงหลิงกลับมาถึงจวนก็ร้องไห้ไปยกหนึ่ง หยู่เหวินเห้าทำได้เพียงอยู่เผชิญความทุกข์ใจข้าง ๆ นาง แต่ก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้เช่นกัน
ความเศร้าและวิตกกังวลในช่วงอยู่ไฟ ย่อมทำร้ายชี่ดั้งเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนกลางคืนจึงรู้สึกว่าสมองหนัก ๆ อยากนอนอยู่ตลอดเวลา
หยู่เหวินเห้ารู้ว่านางเหนื่อยมาก จึงไม่ยอมให้ใครมารบกวนนาง ปล่อยให้นางได้นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่
เมื่อถึงเวลากินข้าวเย็น หยู่เหวินเห้าเข้ามาเรียกนาง เรียกไปหลายครั้งนางก็ไม่ตื่น ยื่นมือไปผลักก็ไม่มีการตอบสนอง ทำเอาหยู่เหวินเห้าแตกตื่นจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น ชั่วขณะที่ยื่นมือไปสัมผัสจุดชีพจรที่ส่วนคอ จู่ ๆ นางกลับลืมตาขึ้นอย่างกระทันกัน เงยหน้ามองด้วยสีหน้าสะลึมสะลือแล้วถามว่า “มีอะไรรึ?”
เมื่อหยู่เหวินเห้าเห็นว่านางตื่นแล้ว หัวใจก็ค่อยผ่อนคลายลง “ มาเรียกเจ้าไปกินข้าวน่ะ ทำไมถึงได้หลับลึกนัก? เจ้าได้ยินที่ข้าเรียกหรือไม่?”
“เจ้าผลักข้า” หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าหัวยังหนัก ๆ อยู่ ทั้งยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ จึงพูดว่า “ ข้าว่าข้านอนต่อดีกว่า ไม่ค่อยอยากกินน่ะ”
“หรือว่าจะไม่สบาย?” หยู่เหวินเห้าเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของนาง “หน้าผากของเจ้าเย็นนิดหน่อย หรือจะไม่สบายเสียแล้ว?”
“บางทีอาจไปโดนอากาศหนาว เพราะจริง ๆ แล้วก็ยังไม่ครบกำหนดอยู่ไฟเลย” หยวนชิงหลิงยกมือขึ้น คิดว่าจะผลักมือเขาที่แตะหน้าผากนางอยู่ออกไป แต่พอยกมือขึ้น มันกลับตกลงมาบนใบหน้าของตัวเอง
นางผงะไปครู่หนึ่ง คิดอยากจะลุกขึ้นนั่ง การลุกขึ้นนั่งนั้นนางสามารถทำได้ แต่การเคลื่อนไหวกลับช้ามาก ทั้งยังต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะทำได้
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“ สองวันนี้อากาศหนาวมาก แล้วเจ้าก็ร้องไห้หนักมากด้วย เจ้านอนลงก่อน ข้าจะไปเรียกท่านย่าให้มาตรวจชีพจรกับจ่ายยาให้เจ้า” หยู่เหวินเห้าพูดด้วยความเป็นห่วง
“ก็ได้…” นางตอบรับ ค่อย ๆ เอนตัวไปพิงขอบเตียงแล้วนอนลง การเคลื่อนไหวง่าย ๆ เหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่ค่อนข้างกินแรงนางอยู่พอสมควร ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการป่วยของนางหรือไม่ เมื่อเห็นเขาหันหลังเดินออกไป นางก็ร้องบอกเสียงหนึ่งว่า “เรียกซาลาเปามาด้วย”
“ทำไมรึ?” หยู่เหวินเห้าหันกลับมามองนาง
“ข้ามีเรื่องบางอย่างจะมอบหมายเขาหน่อย” หยวนชิงหลิงรู้สึกวิตกขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็พยายามไม่แสดงความตื่นตระหนกออกมา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาตกใจ
“ ได้! ” หยู่เหวินเห้าเดาว่า นางคงจะขอให้ซาลาเปาไปที่บ้านท่านยาย เพื่อถามว่าอาการของโสวฝู่ควรจะทำการรักษาอย่างไร
เขาออกไปเรียกซาลาเปาก่อน แล้วค่อยไปเชิญท่านย่าที่อยู่ในสวน
ซาลาเปากับทังหยวนมาด้วยกัน พร้อมกับผลไม้ฉาบน้ำตาลในกระเป๋า เข้ามาได้ก็นอนลงข้างเตียงของหยวนชิงหลิง ถามว่า “ท่านแม่ ข้ามีของกิน ท่านอยากกินหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงฝืนยิ้ม “ไม่กินหรอก เปาเปา เจ้าลองดูในสมองของแม่หน่อย ว่าจุดเรืองแสงนั่น เจ้ามองเห็นมันหรือไม่?”
ซาลาเปาปัด ๆ มือ จับใบหน้าของนางหันไปแล้วมองดูครู่หนึ่ง สีหน้าค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละน้อย น้ำเสียงสั่นเครือ “ท่านแม่ เหลือแค่จุดเดียวแล้ว ใกล้จะดับหมดแล้ว!”
ทังหยวนก็หันไปมองด้วยทันที ผลไม้ฉาบน้ำตาลในมือร่วงตกลงไปที่พื้น “จะทำอย่างไรดี? มันใกล้จะดับแล้ว!”
“ทำไมถึงได้เร็วขนาดนี้ล่ะ?” ซาลาเปาพูดพึมพำ จับใบหน้าของหยวนชิงหลิง นิ้วมือสั่นระริก
หัวใจของหยวนชิงหลิงพลันหนักอึ้งจมดิ่ง ไม่น่าแปลกใจเลยที่การเคลื่อนไหวจะช้ามากขนาดนี้ บางทีอาจเกิดสถานการณ์ที่ตัดการเชื่อมต่อจากกันแล้วก็เป็นไปได้
“ ท่านแม่ ทำอย่างไรดี? ทะเลสาบจิ้งก็ยังไปไม่ได้เลย ” ทังหยวนกลัวขึ้นมาแล้ว ปีนขึ้นไปบนเตียง แล้วนอนลงข้างหยวนชิงหลิง ปากเบะทำท่าเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็ไม่กล้าร้องออกมา
หยวนชิงหลิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามเค้นรอยยิ้มออกมาเพื่อปลอบใจลูกชาย “อย่าตื่นตระหนก มันจะต้องมีวิธีแก้ไขแน่”
นางพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองอย่างหนัก ระงับความตื่นตระหนกในใจ หันไปมองซาลาเปาแล้วพูดว่า “เจ้ารีบไปกินข้าวเถอะ กินเสร็จก็ไปเข้านอน แล้วลองถามฟางหวูดูหน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”
ซาลาเปาตอบอย่างตั้งสติไม่ค่อยถูกว่า “ ขอรับ ขอรับ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ข้าไม่กินข้าวแล้ว ข้าไม่หิว!”
เขาพูดไปพลาง ก็รีบร้อนเดินออกไป พอวิ่งไปถึงหน้าประตู ก็วิ่งกลับมากอดคอของหยวนชิงหลิง หอมแก้มนางเบา ๆ ดวงตาแดงก่ำ พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า”ท่านแม่วางใจเถอะ จะต้องไม่เป็นไรแน่ ๆ ท่านรอข้านะ”
“ เปาเปาเด็กดี!”หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขามีท่าทางตื่นตระหนกมาก ซึ่งก่อนหน้านี้นางแทบไม่เคยเห็นมาก่อน นับตั้งแต่ไปเรียนกับโสวฝู่ เขาก็ทำตัวสงบเสงี่ยมมั่นคงอยู่เสมอ มาตอนนี้กลับทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมาให้ได้แล้ว ในใจของนางก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทันที พูดปลอบใจว่า “ได้ แม่จะรอเจ้า ไม่ต้องห่วง แม่จะไม่เป็นไรแน่”
ซาลาเปายืนตัวตรง มองทังหยวนแล้วพูดว่า “เจ้าอยู่ดูแลท่านแม่ที่นี่นะ ห้ามออกไปไหน เข้าใจหรือไม่?”
ทังหยวนตอบรับด้วยอาการใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวว่า “เข้าใจแล้ว ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!”
ซาลาเปาหันหลังกลับได้ก็วิ่งตื๋อ รีบกลับไปที่ห้องตัวเองเพื่อนอนหลับ
ทังหยวนกอดแขนของหยวนชิงหลิงแน่น กอดนางไว้ตลอดเวลา ใบหน้าเล็ก ๆ ซีดเผือด ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า พอน้ำตากำลังจะไหลลงมา เขาก็ใช้แขนเสื้อเช็ดมันออก แล้วจ้องมองสมองของหยวนชิงหลิงต่อ ตัวสั่นน้อย ๆ
หยวนชิงหลิงช่วยเช็ดน้ำตาให้เขา แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า“หยวนหยวน เวลานี้อย่าเพิ่งบอกท่านพ่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะ รอถามฟางหวูจนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว พวกเราค่อยพูดถึงเรื่องนี้กัน ท่านพ่อไม่ได้เข้มแข็งเท่าหยวนหยวนหรอกนะ”
ทังหยวนขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของนางอย่างเชื่อฟัง พูดเสียงสะอื้นว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
หลังจากนั้นไม่นาน หยู่เหวินเห้าก็พาคุณย่าเข้ามาด้วยตัวเอง เมื่อเห็นว่าทังหยวนก็ขึ้นไปอยู่บนเตียงด้วย เขาก็อดหัวเราะพลางดุไปด้วยไม่ได้ว่า “นี่ถูกพี่ชายรังแกอีกแล้วรึ?”
ทังหยวนอยากจะส่ายหน้า แต่น้ำตาก็ทำท่าจะร่วงลงมาอีก จึงทำได้แค่พึมพำตอบกลับไปว่า “พี่ชายตีข้า”
“เจ้าใช้เงินล่อเขาอีกแล้วล่ะสิ?” หยู่เหวินเห้ายื่นมือออกไปอุ้มเขาลงมา “มาเถอะ ให้ท่านย่าทวดตรวจอาการท่านแม่ก่อน”
คุณย่าหยวนนั่งลงที่ขอบเตียง เอื้อมมือไปแตะหน้าผากของหยวนชิงหลิง แล้วถามด้วยความห่วงใยใส่ใจว่า “ไม่สบายตรงไหน? โดนอากาศหนาวหรือ? วันนี้ออกจากบ้านย่าก็บอกให้พกถุงมือให้ความอุ่นไปด้วย เจ้าก็ไม่ฟังย่าเอาเสียเลย”