บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1383 ไม่ไป ไม่ไป
ใกล้ฟ้าสาง เด็กๆ หลับอยู่ข้างๆ หยู่เหวินเห้ากอดหยวนชิงหลิงกึ่งนอนอยู่บนเตียง ทั้งสองไม่ง่วงเลยสักนิด เกรงจะพลาดเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกัน
ตั้งแต่รู้จนยอมรับใช้เวลาเพียงครึ่งคืน เมื่อบ่ามีความรับผิดชอบ แม้แต่ความเศร้าก็ไม่อาจทำได้ตามใจ นี่เป็นราคาที่ต้องจ่ายเมื่อเติบโต
หยวนชิงหลิงซบอยู่ในอกหยู่เหวินเห้า เอ่ยเสียงเบา “เจ้าห้า ถ้าบอกว่านี่เป็นวันสุดท้ายที่ข้าเหลืออยู่ เช่นนั้นข้าก็ไม่อยากผ่านไปด้วยความเศร้า ข้าเคยคิด ถ้าข้ารู้วันตายล่วงหน้าได้แล้วข้าจะทำอะไร? ข้าต้องทิ้งรอยยิ้มสวยงามให้ทุกคน ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด ข้าจะไม่ร้องไห้ฟูมฟายให้ทุกคนเสียใจเป็นทุกข์เพราะข้า ฉะนั้นสองวันนี้เราพยายามมีความสุขกันเถอะ ข้าอยากจดจำรอยยิ้มของเจ้า และข้าก็อยากให้เจ้าจดจำรอยยิ้มของข้าด้วย ไม่ใช่น้ำตา”
หยู่เหวินเห้าเจ็บจึกขึ้นมาทันใด สะอื้นเอ่ย “ข้าเข้าใจ ข้าจะพยายามทำให้ได้”
ทั้งสองกอดกันจนรุ่งเช้า จากนั้นก็ลุกขึ้นล้างหน้าด้วยกัน ไปหาเสี่ยวกวาจื่อที่ห้องข้างๆ
กลางดึกตื่นขึ้นมาสองครั้ง ดื่มนมเปลี่ยนผ้าอ้อม ตอนนี้หลับสนิทมาก เด็กที่ยังไม่ครบเดือน ขาวเนียนราวหยกเซรามิก แล้วก็ไม่รู้ว่าฝันอะไร ขมวดคิ้ว ฮือๆ สองเสียง อย่างกับจะร้องไห้
หยวนชิงหลิงลูบอกนางเบาๆ ไม่ต้องกลัว ลูกข้า ถึงแม่จะไม่อยู่ข้างกายเจ้า แต่ก็จะรักเจ้าเสมอ ท่านพ่อกับพี่ชายก็จะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าตลอด อยู่เป็นเพื่อนเจ้าโต อยู่เป็นเพื่อนเจ้าเผชิญกับสุขทุกข์บนเส้นทางของชีวิต
น้ำตาคลออยู่แน่นในกระบอกตา ที่อาลัยอาวรณ์ที่สุดก็คือนาง ไม่เคยได้ยินนางเรียกว่าแม่สักคำ ไม่เคยเห็นนางเรียนรู้การเดินเตาะแตะ ไม่เคยเห็นนางยิ้มพลางวิ่งเข้ามาหา
ซาลาเปาเดินเท้าเปล่ามา วันนี้หนาว ตื่นมาไม่พบท่านแม่ จิตใจร้อนรน รองเท้าไม่ทันใส่ก็วิ่งมา
หยู่เหวินเห้าอุ้มเข้าขึ้นมาทันที “ทำไมไม่ใส่รองเท้าเล่า?”
ซาลาเปากอดคอเขา ศีรษะเข้าชิดใบหน้าหยู่เหวินเห้า “ข้ากลัวท่านแม่จะไปแล้ว”
หยวนชิงหลิงเงยหน้า ยิ้มบาง “เด็กโง่ ข้าจะไปก็ต้องบอกเจ้าแน่ เมื่อคืนเราก็คุยกันแล้วนี่ ว่าถึงเวลาจะพาพวกเจ้าไปทะเลสาบจิ้งด้วย”
ซาลาเปายื่นมือมาวางบนใบหน้านาง “แล้วจะพาน้องเจ็ดไปด้วยหรือไม่?”
“น้องเจ็ด?” หยวนชิงหลิงชะงัก
“น้องสาว!” ซาลาเปาชี้เสี่ยวกวาจื่อ
หยวนชิงหลิงถามด้วยความแปลกใจ “ทำไมเป็นน้องเจ็ดล่ะ? ถึงจะอยู่หลังพวกเจ้า แต่ก็เป็นแค่น้องหกนี่”
“น้องหกก็คือถังกั่วเอ๋ออย่างไรล่ะถังกั่วเอ๋อเป็นลูกบุญธรรมของพวกท่าน ก็ต้องเป็นน้องสาวของเราอยู่แล้ว” ซาลาเปาพูดอย่างเอาแต่ใจ ไม่สนใจว่าท่านแม่เป็นผู้ให้กำเนิดหรือไม่ น้องสาวเท่าไรก็ไม่เยอะ
หยวนชิงหลิงยิ้มอย่างอ่อนโยน “อื่อ เจ้าพูดถูก”
นางสบตากับหยู่เหวินเห้าทีหนึ่ง ความเศร้าและความสุขปนอย่างละครึ่ง
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ สองสามีภรรยาก็ออกเดินทางไปพระที่นั่ง
จะเกลี้ยกล่อมโสวฝู่ลำบากอยู่บ้าง เขาไม่ไปจากเป่ยถัง เกิดที่เป่ยถังโตที่เป่ยถัง และเขาก็คงอยากตายที่เป่ยถัง
เมื่อถึงพระที่นั่ง หยวนชิงหลิงก็เชิญพวกเขาทั้งสามออกมา เอ่ย “เวลานี้อาการของท่านโสวฝู่ไม่สู้ดี หม่อมฉันรักษาไม่ได้ เชื่อว่าหมอหลวงก็จนปัญญาเช่นกัน แต่หม่อมฉันทราบว่ามีสถานที่แห่งหนึ่ง มีคนหนึ่งที่รักษาโรคของเขาได้เพคะ เพียงแต่สถานที่นี้ค่อนข้างอันตราย พวกเราอาจไปไม่ถึง แต่หากไม่ลอง เช่นนั้นผลลัพธ์ก็ไม่อาจคาดเดา ไม่มีทางอื่นเพคะ”
ไท่ซ่างหวงมองพลางนางเอ่ย “สถานที่ใดอันตรายถึงเพียงนี้? เป่ยถังหรือ?”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ไม่ใช่เป่ยถังเพคะ ที่แห่งนี้ค่อนข้างพิลึก เราต้องกระโดดลงทะเลสาบจิ้งจึงจะไปถึงได้เพคะ ดังนั้นอันตรายของเราอยู่ที่ระหว่างทาง ขอเพียงถึงทางนั้นได้ ทุกอย่างก็จะปลอดภัยเพคะ”
“กระโดดลงทะเลสาบจิ้ง?” ไท่ซ่างหวงจ้องนาง “เจ้าจะให้เขาไปกระโดดลงทะเลสาบ? เช่นนั้นมิใช่เอาชีวิตเขาหรือ?”
หยวนชิงหลิงอธิบาย “ทะเลาสาบจิ้ง ชั้นผิวเป็นน้ำเพคะ แต่ขอเพียงทะลุลงน้ำไปแล้ว ด้านล่างจะมีเส้นทางสายหนึ่ง ไปสถานที่ที่เราอยากไปได้ แต่ตอนนี้มีจุดที่ค่อนข้างเสี่ยง นั่นคือเส้นทางนี้ลดเลี้ยวอยู่บ้างเพคะ เกิดจากผลกระทบของปัจจัยภายนอก ทำให้มันบิดเบี้ยวไปจากเส้นทางเดิม ส่งผลให้เชื่อมต่อกับเส้นทางอื่นผิดๆ เพคะ”
ไท่ซ่างหวงกับเซียวเหยากงมองหน้ากันไปมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความฉงน ด้านล่างทะเลสาบจิ้งมีเส้นทางได้อย่างไร? เชื่อมต่อกับเส้นทางอื่นผิดๆ นั่นอันตรายอย่างมากก็แค่ไปผิดเส้นทาง หากพบว่าผิดก็กลับมาก็จบแล้วนี่? นี่ถือเป็นอันตรายอะไร?
โสวฝู่รู้ว่าต้องไม่ธรรมดาเช่นนั้นแน่ ดังนั้นเขาจึงเอ่ย “ช่างเถอะ กระหม่อมไม่ไปแล้ว เป็นเช่นนี้แล้วกัน ชีวิตคนอยู่นานแค่ไหน สวรรค์ได้ลิขิตมาแล้ว บัดนี้กระหม่อมก็สมดังต้องการหมดแล้ว ไปทั้งอย่างนี้ ในใจยังให้ยินดี ที่สำคัญที่สุดก็คือกลับคืนสู่รากเหง้า ตายแล้วฝังที่นี่ได้ก็เป็นที่สุดท้ายของกระหม่อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนี้ แม้จะเสียใจแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรได้
ขณะที่หยวนชิงหลิงคิดเมื่อคืน ก็รู้สึกว่าน่าจะลองดูสักครั้ง แต่หากเกิดเรื่องจริง โสวฝู่กลับมาที่นี่ไม่ได้อีก เขารักแผ่นดินนี้ ตายกลับไม่สามารถฝังที่นี่ได้ ก็น่าเสียดายจริงๆ
ตอนนี้ไท่ซ่างหวงก็ยอมให้กับชะตากรรมแล้ว รู้สึกว่าไปที่พิลึกแปลกหน้า การเปลี่ยนแปลงมากเกินไป
เพียงแต่เซียวเหยากงยังไม่ลดละ เขามองทุกคน เอ่ย “ในเมื่อมีความหวัง แล้วทำไมไม่ลองดูสักหน่อยเล่า? จะยอมแพ้อย่างนี้แล้วหรือ? ทั้งชีวิตพวกเรายังไม่เคยยอมแพ้ แล้วเหตุใดมายอมแพ้เอาตอนนี้? ที่ว่าชีวิตคนน้อยนักจะถึงเจ็ดสิบ พวกเราเพิ่งจะใกล้ถึงช่วงนั้น ต่อไปยังมีชีวิตที่ดีอีกหลายสิบปี พวกเราต้องอยู่ถึงร้อยปี ครึ่งชีวิตแรกพวกเราเหนื่อยกันจะแย่ ครึ่งชีวิตหลังอีกสามสิบปีพวกเราน่าจะเสพสุขกันให้มาก ยอมแพ้อย่างนี้แล้วข้าต้องเจ็บใจแน่ เอาตามข้าว่านี่ล่ะ ไปเถอะ หากมีอันตราย เช่นนั้นเราก็จะไปด้วยกัน จะอยู่ก็อยู่ด้วยกัน ตายก็ตายด้วยกัน เช่นนั้นอย่างไรก็ไม่โดดเดี่ยวตัวคนเดียว”
โสวฝู่คัดค้านตัดบท “ไม่ได้ ข้าไปก็อันตรายแล้ว จะให้พวกเจ้าตามไปได้อย่างไร? ไม่ได้ ไม่ไป”
ทว่าไท่ซ่างหวงกลับคิดว่าเซียวเหยากงพูดถูก ใคร่ครวญครู่หนึ่ง มองทางหยวนชิงหลิง “พาพวกเราไปได้ไหม? วรยุทธ์ข้ากับเซียวเหยากงไม่เลว มีพวกเราอยู่ ระหว่างทางคงไม่ลำบากอันตรายขนาดนั้น”
“นี่ไม่เกี่ยวกับวรยุทธ์เพคะ วิกฤตที่พวกเราเผชิญ ก็คือหลงทางเพคะ” หยวนชิงหลิงเอ่ย มองไท่ซ่างหวง นางกลับลืมไปว่าจิตใจพวกเขาทั้งสามมัดติดกัน หากบอกว่าโสวฝู่ต้องเสี่ยงภัย เช่นนั้นพวกเขาทั้งสองต้องไม่ยอมนิ่งดูดายแน่
เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดว่าจะพาพวกเขาไป นางไม่อยากให้พวกเขาทั้งสองตามไปด้วย อันตรายนี้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องเอาตัวไปเสี่ยง
เมื่อโสวฝู่ได้ยินคำพูดของไท่ซ่างหวง ก็ปฏิเสธหนักแน่นมากขึ้น “ไม่จำเป็น ไม่ไป อย่างนี้ช่างมันเถอะ รักษาได้ก็รักษา รักษาไม่ได้ก็อย่าเหนื่อยเลย ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น ใครก็อย่ามาเกลี้ยกล่อม เรื่องนี้จบเพียงเท่านี้”
ท่าทางโสวฝู่ไม่เห็นด้วยแน่นอน เพราะหากไม่ไป คนที่ตายอย่างมากก็เป็นคนเพียงคนเดียว แต่หากไป พวกเขาก็จะไปด้วย เช่นนั้นทั้งสามก็จะเสี่ยงพร้อมกัน อีกทั้งถึงตอนนั้นยังมีคนอื่นติดตาม ต้องใช้ชีวิตคนเท่าไรแลกกับโอกาสน้อยนิดของเขา? ไม่คุ้มเลยจริงๆ