บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1386 ที่นั่นใช่ไหม
แม้นมีรอยยิ้มในจวนอ๋องฉู่ แต่รอยยิ้มกลับฝืนมาก ทุกคนรู้จักหยวนชิงหลิงดี เหตุใดพาโสวฝู่ไปรักษาต้องนางไปเองด้วย? การอธิบายของนางไร้เหตุผลมาก อาจารย์ของนางไม่พบผู้อื่น เช่นนั้นนางพาไปแล้วจะกลับมาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรอที่นั่นตลอด เรื่องที่ทำให้นางทิ้งลูกอายุไม่ครบเดือนไปได้แบบกะทันหันต้องไม่ธรรมดาแน่
แต่นางยิ้มตลอดเวลา ทุกคนจึงได้แต่ยิ้มเป็นเพื่อน บรรดาสะใภ้สนทนาอยู่ด้านใน สุดท้ายจู่ๆ พระชายาซุนที่เป็นคนหยาบก็ร้องไห้ขึ้นมา เมื่อน้ำตาตกก็เบือนหน้าไปเช็ด สะอื้นเอ่ย “เจ้าต้องกลับมาเร็วๆ นะ ข้าไม่ชินกับการที่เจ้าไม่อยู่นานๆ”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา อารมณ์ตึงเครียดของทุกคนก็ถูกทำให้แตกออก ทันใดนั้นอารมณ์เศร้าหมองที่ต้องจากกันก็มีอยู่ทั่ว
หยวนชิงหลิงปวดใจมาก ปากนางขยับนิดหน่อย แทบรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไม่อยู่ น้ำตาอยากไหลพราก นางพยายามอดกลั้น แล้วเอ่ยราวกับสัญญา “ข้าต้องกลับมาให้ไวที่สุดแน่ กลับมาแน่!”
“ข้าจะรอเจ้า!” ฮูหยินเหยามองนาง เอ่ยเสียงค่อย
“พวกเราก็จะรอเจ้า!” เหล่าสะใภ้พากันเอ่ย
หยวนชิงหลิงมองพวกนาง น้ำตาคลอ
หลังจากนั้นนางก็กล่าวคำทิ้งท้าย กล่าวกับพระชายาซุนว่า “ต่อไปก็อย่าบ่นพี่รองเลย เรียบง่ายก็ดี มีปากเสียงก็ดี อย่างไรเขาก็อยู่กับท่าน ท่านถึงได้อุ่นใจ”
กล่าวกับฮูหยินเหยา “งานสมรสท่านข้าอาจไม่ทันร่วม แต่เชื่อฮุ่ยเทียนเถอะ เขาต้องปกป้องท่าน ทะนุถนอมท่านแน่”
กล่าวกับหยวนหย่งอี้ “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากออกไปตลอด รอน้องเจ็ดมีเวลาแล้วก็ไปเถอะ อย่ารอเลย เรื่องที่อยากทำก็พยายามวางแผนไปทำ อย่าได้เสียช่วงหนุ่มสาวไปเปล่าๆ!”
กล่าวกับอะซี่ “เจ้ารังแกสวีอีให้หนักไปเลย เขาผู้นี้ หากไม่รังแก เขาก็จะไม่มีความมั่นใจ แต่รังแกเขาแล้วก็ต้องรู้จักปลอบเขาด้วยนะ”
กล่าวกับจิ้งเหอจวิ้นจู่ “อย่าเอาทุกสิ่งทุกอย่างไว้อยู่ที่ตัวลูก เรียนรู้หน่อย ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ ทำชีวิตตัวเองให้มีรสชาติ ไปพูดคุยกับพวกนางบ่อยๆ พูดคุย อย่าเก็บตัว อย่าให้อารมณ์ด้านลบของตัวเองชักนำตัวเอง”
กล่าวกับหยวนชิงผิง “เจ้ากับกู้ซือก็อยู่กันดีๆ ดูแลท่านย่า อย่าให้ตัวเองเหนื่อยจนเกินไป เรื่องในจวนพวกนั้นให้คนอื่นแบ่งเบาได้ก็ให้คนอื่นแบ่งเบาบ้าง”
กล่าวกับเสี้ยวหงเฉิน “อย่ายุบสำนักเหมยแดงง่ายๆ สำนักเหมยแดงเป็นบ้านของพวกนาง ยุบแล้ว ก็ไม่มีบ้านแล้ว”
กล่าวกับหรงเยว่ “ข้ารู้ว่าเจ้ามีเงินทองมาก แต่เงินทองเป็นภูเขาเลากาก็ไม่พอให้เจ้าถลุงแบบนี้ หากอดไม่ได้จริงๆ ก็ทำเรื่องที่มีความหมายมากหน่อย”
หรงเยว่ตาแดง “หากเจ้ากลับมา ข้าจะให้ห้าล้านตำลึง นี่ถือว่ามีความหมายหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะจนตาแดง “ได้ ไว้ข้าจะกลับมารับนะ”
พระชายาซุนบ่อน้ำตาตื้น รับกับการกำชับก่อนจากไปเช่นนี้ไม่ได้ มักรู้สึกเหมือนเป็นการสั่งเสีย เช็ดน้ำตา “อย่าพูดอีกเลย ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เจ้ารีบกลับมาก็พอ”
หยวนชิงหลิงพยักหน้าอย่างจริงจัง!
อำลาญาติมิตรในเป่ยถังที่คบหาหลายปีของนาง ยังมีอีกมาก แต่นางไม่อาจอำลาได้ทีละคน ทว่านางจะพยายามกลับมาให้ได้
ก่อนออกเดินทางได้คุยกับท่านย่ามากมาย ปลอบอารมณ์นาง แล้วไปดูเสี่ยวกวาจื่อ นางอุ้มลูกสาว จิ้มท้อง แล้วลูบแก้มเบาๆ เด็กทารกที่ดื่มนมแล้วจะบริสุทธิ์น่ารักมาก ราวกับทูตสวรรค์ มองมารดาแบบตาไม่กะพริบ เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นโลกภายนอก
เด็กน้อยที่สวยหวานบริสุทธิ์เช่นนี้ ไม่เหมือนเกิดมาจากไฟจริงๆ
ไม่ ไม่อยาก ไม่อยากจากไปเลย!
หยู่เหวินเห้าเข้ามาเงียบๆ เก็บกดความเศร้าในดวงตา เอ่ยเสียงแหบ “รถม้าพร้อมแล้ว!”
หยวนชิงหลิงพยักหน้า เหม่อลอยมองลูกสาวอีกพักหนึ่ง วางลงด้วยความอาลัยอาวรณ์ น้ำตาหลั่งลงอย่างห้ามไม่อยู่
ทังหยางเตรียมรถม้ากว้างขวางคันหนึ่ง ให้ครอบครัวพวกเขาทั้งเจ็ดคนนั่งด้วยกันได้ สวีอีบังคับม้าด้วยตนเอง
ขณะที่รถม้าเริ่มเคลื่อน หยวนชิงหลิงก็เปิดผ้าม่านออกมาพรึบ มองปากประตูจวนอ๋องฉู่ มองบันไดหินที่คุ้นเคย ประตูใหญ่ หมุดทองเหลืองบนประตู สิงโตหินทั้งสองที่อยู่หน้าประตู แล้วยังมีมอสที่อยู่บนแผ่นหินอื่นข้างบันไดหิน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าน้ำตายากจะอดกลั้น ไหลรินลงมา ที่อาลัยอาวรณ์ไหนเลยจะแค่คน? ทุกต้นไม้ใบหญ้า อิฐกระเบื้องทุกชิ้นของจวนอ๋องฉู่ นางก็อาลัยอาวรณ์เหมือนกัน นางเห็นที่นี่เป็นบ้านมานานแล้ว
ถนนเส้นยาวที่มีผู้คน ธงร้านค้าที่พัดปลิว จวี๋ฝูถัง หอเต๋อฝู เสียงค้าขายของร้านรวงบนถนนถนนฉางอัน บางใบหน้าบ้างยิ้มแย้ม บางใบหน้าไร้อารมณ์แต่ละหน้า ในซอยยาวมีเสียงสุนัขแว่วมา นางนึกถึงลูกๆทันที นางไม่ได้อำลากับลูกๆ บางทีนางอาจไม่ได้เจอลูกๆอีก ทันใดนั้นนางก็ไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้ ปิดหน้าร้องไห้ขึ้นมา
หยู่เหวินเห้ากอดนางไว้ในอ้อมแขนแน่น ไม่ยอมปล่อย เด็กๆ พากันมุงเข้ามา ทำให้บรรยากาศโศกเศร้าเข้มข้นไม่จางหาย
สวีอีที่คุมม้าอยู่ข้างนอก ตั้งแต่รู้เรื่องนี้กระทั่งขับรถม้าออกมา เขาก็ด้านชาไปทั้งตัว สมองเขามีเรื่องมากมายให้หวนคิด ภาพแต่ละภาพ เขามั่นใจอยู่เรื่องหนึ่ง หากไม่มีพระชายารัชทายาทแล้วไซร้ ไหนเลยจะมีเขาในวันนี้
เขาใช้แขนเสื้อเช็ดดวงตา คุมเชือก ร้องเสียงย๊ะทีหนึ่ง ปกปิดความเศร้าในดวงตา
ขณะที่ออกเมือง ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าพอดี รถม้าหยุดอยู่ด้านนอก รอประมาณสิบห้านาที รถม้าจากพระที่นั่งก็มาถึง ผู้ที่คุมรถม้าคือแม่ทัพหลอแห่งองครักษ์ลับผี เปิดผ้าม่านมองกันทีหนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยผ้าม่านแล้วเริ่มเหยียบเส้นแสงอาทิตย์อัสดงออกเดินทาง
เนื่องจากออกเดินทางตอนหัวค่ำ นี่ก็หมายถึงต้องเร่งเดินทางตอนกลางคืน ดังนั้นหลังจากฟ้ามืดแล้ว เมื่อเดินทางถึงตำบลหนึ่งก็เข้าไปทานอาหารก่อน เสร็จแล้วจึงเดินทางต่อ
บัดนี้มั่นใจแล้วว่าพวกเขาจะไป ดังนั้นหยวนชิงหลิงจึงบอกพวกเขาว่าสถานที่ที่จะไปเป็นที่ใดกันแน่ พวกเขาจะได้ทำใจไว้
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ฉวยโอกาสตอนที่แม่ทัพหลอกับสวีอีออกไปจัดการม้าและเสบียง เจ้าห้าก็พาเด็กๆ ไปเดินเล่นย่อยอาหาร หยวนชิงหลิงจึงเอ่ยกับพวกเขา “ที่ที่เราจะไป ที่ตอนแรกบอกว่าไม่ใช่เป่ยถัง แต่ก็ไม่ใช่แคว้นใดในผืนดินนี้ แต่เป็นอีกมิติหนึ่ง เบื้องล่างทะเลสาบจิ้ง มีอุโมงค์มิติเวลา ให้พวกเราไปที่ที่พวกเราจะไปได้ อันตรายที่พวกเรามี ก็อยู่ในอุโมงค์เวลานี้ บางทีเราอาจหายไปในอุโมงค์เวลา หรืออาจไปอยู่ในช่วงเวลาก่อนหรือหลังของเป่ยถัง หรืออาจพบสถานการณ์บางอย่างที่ไม่คาดคิด แต่เรายังมีความหวังที่จะถึงได้อย่างปลอดภัย เพราะจะมีคนช่วยเหลือเราอยู่”
ทั้งสามได้ยินดังนั้นแล้วก็อ้าปากตาค้าง!
ขณะที่ไท่ซ่างหวงกำลังจะบอกว่าเหลวไหล เซียวเหยากงกลับเงยหน้าพลัน “ที่แห่งนั้นมีรถรบที่เหาะอยู่บนท้องฟ้าใช่หรือไม่?”
“หือ?” เปลี่ยนเป็นหยวนชิงหลิงตะลึง มองเขา
ทว่าเซียวเหยากงกลับรู้สึกสนุกขึ้นมา ตบแขนไท่ซ่างหวง “ท่านแม่บอก…ไม่ใช่ ที่ท่านอาจารย์บอก สถานที่พูดเมื่อครั้นเมาสุรา มีรถรบที่เหาะอยู่บนท้องฟ้า รถรบนั้นที่เราสู้กับเป่ยโม่ จำได้หรือไม่?”
ไท่ซ่างหวงเอ่ย “รถรบคันนั้นขุดมาจากยอดเขาหมาป่าหิมะนี่”