บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1388 ปัจจัยสำคัญ
เดิมคิดว่าสองชั่วยามกว่าจะสามารถคลายความทุกข์ระทมในใจได้บ้าง แต่เมื่อจูงมือแล้วกลับพบกว่าเวลาสองชั่วยามช่างทรมานนัก
หยู่เหวินเห้าไม่กินอาหารที่สำนักเต๋าเตรียมสักคำ หยวนชิงหลิงก็ไม่ ที่จริงคนในที่นั่นต่างไม่มีความอยากอาหาร นอกจากอ๋องชินเฟิงอันและพระชายา
พวกเขากินเร็วมาก ราวกับลมพายุหอบ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากไป
สามใหญ่กินไปสองสามคำแล้ววางมือ พาเด็กๆ ออกไปพร้อมกับสวีอี เหลือเพียงหยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงนั่งสบตากันที่โต๊ะอาหาร
ที่ควรพูดก็ได้พูดไปแล้ว ถึงพูดอีกก็แค่กำชับซ้ำไปซ้ำมาเท่านั้น
หยวนชิงหลิงตอนกลางวันเห็นเขากินไม่มาก เมื่อคืนก็ไม่ค่อยได้กิน จึงฝืนทำตัวสดชื่นกล่าว “กินข้าวเป็นเพื่อนข้าสักมื้อเถอะ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น”
หยู่เหวินเห้าอือเสียงหนึ่ง หยิบตะเกียบขึ้นมา เพียงแต่สองมือสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ ดวงตาแดง พยายามหักห้ามไม่ให้หลั่งลงมา
ทั้งสองกินไปสองสามคำด้วยใจว้าวุ่น วางถ้วยลง สบตากัน หยู่เหวินเห้ายื่นมือไปจากโต๊ะอาหาร กุมมือนาง
เขาเอ่ยเสียงเบา “ไปไหว้เทพยดาในสำนักเต๋าเป็นเพื่อนข้าหน่อยเถอะ!”
นางพยักหน้า ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเขา ด้วยการนำของนักพรตน้อย สักการะเทพยดาทั้งหมดที่บูชาอยู่ที่นี่ เขาศรัทธาอย่างแรงกล้า จุดธูป คุกเข่า กราบ ระเบียบทั้งหมดที่นักพรตน้อยต้องการเขาก็ทำตามหมด
เขาจนด้วยหนทางแล้ว ได้แต่ฝากความหวังไว้กับเทพเจ้าที่เนืองแน่นอยู่บนสวรรค์ เทพเจ้ามากมายที่บูชาอยู่ในสำนักเต๋านี้ หากมีอยู่จริง เช่นนั้นก็กรุณาปกป้องพวกเขาให้ไปถึงทางนั้นและกลับมาอย่างปลอดภัยด้วยเถิด
เดิมมีแต่เขากับหยวนชิงหลิงที่ไหว้ด้วยกัน แต่เด็กๆ ที่อยู่ด้านนอกจิตใจหวาดหวั่นเล็กน้อยก็เข้ามากราบไหว้กับพวกเขาด้วย บิดาคุกเข่า พวกเขาก็คุกเข่า บิดากราบ พวกเขาก็กราบ บิดาบอกว่าหวังให้มารดากลับมาอย่างปลอดภัย พวกเขาก็เอ่ยถาม
ไท่ซ่างหวงมองจากด้านนอก เม้มริมฝีปากแน่น อึดอัดทรมาน อันตรายครั้งนี้ที่เขาห่วงที่สุดไม่ใช่ตัวเองหรือพวกเขาทั้งสาม แต่เป็นหยวนชิงหลิง
แม้พวกเขาจะตายก็เท่านั้น ชีวิตนี้ใช้มาพอแล้ว แต่หยวนชิงหลิงยังต้องกลับมา หากเด็กๆ พวกนี้ขาดแม่ ก็น่าสงสารยิ่งนัก
อ๋องชินเฟิงอันและพระชายาไม่รู้ไปที่ไหนเสียแล้ว หลังจากทานอาหารเสร็จ พวกเขาก็ออกไปเดินเล่น แต่ไหนมาพวกเขาก็ชอบท่องเที่ยวในป่า หลายปีเช่นนี้แล้วก็ยังเหมือนเดิม
แต่ก่อนจะถึงเวลาพวกเขาก็กลับมา
ยังเหลืออีกสิบห้านาที พวกเขาไปทะเลสาบจิ้งพร้อมกัน
อ๋องชินเฟิงอันเพิ่งเอ่ยเรื่องที่สำคัญเอาเวลานี้ เพราะหากบอกก่อน หยวนชิงหลิงกับพวกเขาก็จะลืม
เขาเอ่ย “หลังจากกระโดดลงทะเลสาบจิ้งแล้ว หากวังน้ำวนยังหมุนต่อ ทำให้พวกเจ้าแยกแยะเส้นทางไม่ได้ พวกเจ้าก็ฟังเสียงแยกเส้นทาง ข้ากับโล่หมันจะชี้ทางพวกเจ้าไป พวกเจ้าคงต้องเดินทางประมาณแปดสิบเอ็ดวินาที บางทีอาจเคลื่อนไปหนึ่งถึงสองนาที พวกเจ้านับในใจ ก่อนจะถึงแปดสิบเอ็ดวินาที ไม่ว่าเห็นแสงอะไร หรือเส้นทางไหนก็ห้ามเข้าไปทั้งนั้น บางช่องแสงเคลื่อนไปสองวินาทีหรือกระทั่งหนึ่งวินาที ดังนั้นสุดท้ายพวกเจ้าต้องเลือกว่าช่องแสงนั้นจะเป็นเป้าหมายหรือไม่ เพราะเมื่อครู่ข้าได้บอกแล้ว ว่าแปดสิบเอ็ดวินาทีก็คลาดเคลื่อนได้เช่นกัน ความคลาดเคลื่อนก่อนหน้าคือหนึ่งถึงสองวินาที จำได้ชัดเจนหรือยัง?”
สามใหญ่ฟังชัดเจนแล้ว แต่กลับเหงื่อตก แปดสิบเอ็ดวินาทีอะไร? หมายความว่าอะไร?
หยวนชิงหลิงรับคำ “จำได้แล้วเพคะ!”
“เจ้านับวินาทีได้แม่นหรือไม่” พระชายาเอ่ยถาม
หยวนชิงหลิงพยักหน้า “ได้เพคะ!”
“ดี จากนี้จะเป็นจุดที่สำคัญที่สุด นั่นคือเรื่องการบิดเบี้ยวของเวลา หลังจากพวกเจ้าเข้าไปแล้ว บางทีอาจพบการบิดเบี้ยวของเส้นทางที่ผิดในช่องทางแสง ความบิดเบี้ยวนี้จะทำให้พวกเจ้าย่ำอยู่กับที่ จากนั้นอุโมงค์อาจมีลมหมุน ความบิดเบี้ยวกับลมหมุนจะส่งผลกับการเดินหน้าของพวกเจ้า รั้งฝีเท้าของพวกเจ้า หากเจ้าช้าลง ก็จะไม่ใช่แปดสิบเอ็ดวินาทีแล้ว เจ้าต้องนับในใจว่าหยุดไปนานเท่าไร ช้าไปเท่าไร จากนั้นก็จับให้ได้แปดสิบเอ็ดวินาที เข้าใจไหม? ”
หยวนชิงหลิงเริ่มกระวนกระวาย เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย หากนับเวลาไม่แม่น นางจะจับเวลาได้แม่นยำได้อย่างไร โดยเฉพาะช่วงที่หยุด หรือการที่ลมหมุนรั้งฝีเท้า จะเหลืออีกกี่วินาที ไม่แน่ว่านางจะจับจุดได้ ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ แปดสิบเอ็ดวินาทีนี้ยังมีความคลาดเคลื่อน และหนึ่งถึงสองวินาทีก่อนหน้าละให้หลังนี้ก็มีแสงเหมือนกัน หรือก็คือทางออก ความเป็นไปได้ที่จะคลาดเคลื่อนมีมากเหลือเกิน หรือพูดได้ว่าโอกาสที่จะหาทางออกได้อย่างแม่นยำมีเพียงพันละสามถึงสี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
หยู่เหวินเห้าเห็นนางเปลี่ยนสีหน้าจึงเริ่มกระวนกระวายด้วย ถามหยวนชิงหลิง “เจ้ามั่นใจหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงเห็นนัยน์ตาที่ร้อนรนของเขา เอ่ย “ข้าได้แต่พยายามเต็มที่”
ข้าวเหนียวกอดขามารดา “ท่านแม่ ข้าจะช่วยท่านนับด้วย ข้าจะชี้ทางให้ท่าน”
“เจ้า?” ที่จริงหยวนชิงหลิงก็ฉงนใจอยู่บ้าง “เจ้าส่งเสียงมาได้หรือ?”
อ๋องชินเฟิงอันเอ่ย “คนที่เห็นวังน้ำวนก็จะส่งเสียงไปได้ แต่ที่เราเห็นก็เหมือนกับที่เจ้าเห็น ถูกความบิดเบี้ยวส่งผลเหมือนกัน แต่เราเห็นภาพรวมกับช่องทางแสงทั้งหมดได้ ดังนั้นพอนำทางที่ถูกให้เจ้าได้ เพียงแต่เวลานี้เราจะจับจุดได้ไม่แม่น เพราะการที่เจ้าเข้าไป หมายถึงถูกมิติเวลาคั่นกลางระหว่างเรา จะมีความคลาดเคลื่อน เจ้าต้องจับเวลาด้วยตัวเอง”
ไท่ซ่างหวงฟังพวกเขาพูด รู้สึกว่าสมองตัวเองใหญ่ไม่พอ แต่กลับเอ่ยขึ้น “วังน้ำวนนั้น ข้าก็มองเห็น”
“เจ้าเห็นแต่วังน้ำวน เช่นนั้นข้างในมีอะไร เจ้าเห็นหรือไม่?” อ๋องชินเฟิงอันเอ่ยถาม
ไท่ซ่างหวงจ้องพักหนึ่ง “มีใบไม้ หายไปในพริบตา”
อ๋องชินเฟิงอันตบบ่าเขา “ข้าเห็นใบไม้เข้าไปในนั้นแล้ว หายใจไปช่องแสงที่สาม”
ก็ได้ ถือว่าเขาไม่ได้พูดก็แล้วกัน เขาเห็นเพียงใบไม้หายไป ไม่เห็นช่องทางแสง
เซียวเหยากงถามหยวนชิงหลิง “เช่นนั้นแปดสิบเอ็ดวินาที หมายถึงแปดสิบเอ็ดวันหรือ? พวกเราต้องเดินทางแปดสิบเอ็ดวันใช่ไหม? แต่ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้บอกว่ามีเวลาแค่ไม่กี่วันหรือ? อีกอย่างหากบอกว่าแปดสิบเอ็ดวัน เราก็ต้องจำได้อยู่แล้ว ผ่านไปวันหนึ่ง เราก็จดไว้ก็ได้แล้วนี่? ยากอะไรกัน?”
หยู่เหวินเห้าเคยไปยุคปัจจุบัน พอเข้าใจหน่วยเวลาของพวกเขา อธิบายแบบหน้าซีด “ไม่ใช่แปดสิบเอ็ดวัน เป็นแปดสิบเอ็ดวินาที เท่ากับนับในใจแปดสิบเอ็ดครั้ง ดังนั้นจึงยากที่จะนับได้แม่นยำ เพราะช่องแสงเหล่านั้นก็คือทางออก ทุกท่านออกห่างกันสองสามเสียง หากนับไม่แม่น เช่นนั้นก็จะออกผิดทาง”
โสวฝู่ถาม “ออกผิดทาง หมายถึงอะไร?”
พระชายาเฟิงอันเอ่ย “หากออกมาก่อน เช่นนั้นพวกเจ้าก็จะไปอดีต หากออกมาช้า พวกเจ้าก็จะไปอีกห้าสิบปีของเป่ยถัง สำหรับปีไหนนั้นก็ต้องหักในวินาที อย่างเช่นศูนย์จุดหนึ่งวินาที ศูนย์จุดสองวินาที หรืออาจจะเป็นหน่วยย่อยกว่านั้น”
โสวฝู่ร่ำเรียนมาหลายปี กลับวิเคราะห์คำพูดของนางอย่างไม่ประมาณตน สุดท้ายก็ส่ายหน้า “ไม่เข้าใจ!”
อ๋องชินเฟิงอันเอ่ย “ได้เวลาแล้ว เตรียมตัว!”
หยู่เหวินเห้าจิตใจระส่ำขึ้นทันที รีบยื่นมือกอดหยวนชิงหลิง