บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1390 การค้นหาของทีมตำรวจ
หลังจากหยู่เหวินเห้าส่งเจ้าหยวนลงไปแล้วก็เหาะกลับฝั่งทะเลสาบ สงบลมรอ ดวงตาไม่กล้ากะพริบ หัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ แนวคิดสิบแปดวินาที เขาก็มี และนับในใจด้วย แต่พออ๋องชินเฟิงอันส่งเสียงกำชับหรือข้าวเหนียวพูด หัวใจของเขาก็แทบจะหลุดออกมา
อารมณ์ใกล้จะสติแตก แต่กลับไม่กล้าส่งเสียง เกรงจะรบกวนอ๋องชินเฟิงอันและเด็กๆ พวกเขากำลังรวมสมาธิจ้องอยู่ จะเกิดความผิดพลาดไม่ได้
ผ่านไปไม่น้อยกว่าแปดสิบเอ็ดวินาที จากนั้นก็ได้ยินอ๋องชินเฟิงอันเอ่ย “ออกไปแล้ว? ออกไปแล้วหรือยัง?”
ซาลาเปาเอ่ย “ออกไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าถูกไหม?”
ทุกคนส่ายหน้า ข้าวเหนียวเอ่ย “ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ เห็นไม่ชัด เงาแสงเร็วเกินไป แถมไม่เห็นจุดเขียวกับจุดแดงด้วย”
ใจหยู่เหวินเห้าหล่นตุบ “ไม่เห็น? ที่พวกเจ้าเห็นกับที่พวกเขาเห็นเหมือนกันหรือไม่? หากพวกเจ้าไม่เห็น เช่นนั้นหรือพวกเขาจะไม่เห็นด้วย?”
อ๋องชินเฟิงอันปลอบ “อย่าเพิ่งกังวล ข้าได้ยินฉู่เสี่ยวอู่บอกว่าเห็น น่าจะไม่ผิด”
หยู่เหวินเห้าแทบจะร้องไห้ “ท่านโสวฝู่ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เขาจะเห็นได้อย่างไร?”
ทุกคนผงะ จริงสิ โสวฝู่ตาบอด ตามหลักแล้วเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมองเห็น
หยู่เหวินเห้าร้อนรน “ถึงหรือไม่ถึงกันแน่? หรือว่าไปผิด? หากผิดจะทำอย่างไรดี? ทางนั้นก็มีทะเลสาบจิ้งหรือ? ”
เดิมทีเด็กๆ ยังค่อนข้างสงบ ถูกเขาพูดอย่างนี้แล้วก็เริ่มร้อนรน พากันมองอ๋องชินเฟิงอันกับพระชายา
พระชายาคิดแล้วจึงเอ่ย “กลับไปก่อนเถอะ รอดู หากถึงอย่างราบรื่น ทางนั้นน่าจะแจ้งข่าวกลับมา”
หยู่เหวินเห้าขาอ่อนกองอยู่กับพื้นทันที เรี่ยวแรงทั้งตัวราวกับถูกสูบออกไปหมด นั่งอยู่ที่โขดหินริมทะเลสาบ มองผิวน้ำแทบจะเสียสติ มีความคิดหุนหันที่จะกระโดดเข้าไป
อ๋องชินเฟิงอันเห็นดังนั้นแล้วก็ยื่นมือไปลากเขา “อย่าเลอะเลือน เจ้ากระโดดลงไปไม่มีผลดีอะไรสักนิด ทั้งยังทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงจนไม่อาจจัดการได้อีก”
หยู่เหวินเห้าปิดหน้า เอ่ยด้วยความทุกข์ “นางถึงหรือไม่ถึงกันแน่?”
ไม่มีใครสามารถตอบคำถามนี้ของเขาได้ แม้แต่หยวนชิงหลิงก็ไม่อาจตอบ
ค่ำคืนมืดสนิท จากพระจันทร์ เวลาไม่ผิด เวลาเดินเช่นเดียวกับเป่ยถัง เวลานี้น่าจะเป็นยามเค่อ
แต่ภูเขาที่ดำมืดนี้เป็นที่ไหนกันแน่?
เซียวเหยากงมองแนวเขาสูงต่ำที่มืดสนิท เอ่ยถาม “นี่…ก็คือแคว้นมิติเวลา? นี่จะรกร้างเกินไปกระมัง? เหตุใดจึงล้าหลังเช่นนี้?”
ไท่ซ่างหวงมองหยวนชิงหลิงแล้วเอ่ยถาม “เมื่อครู่ข้าได้ยินพี่เหว่ยบอกว่าเจ้าเคยมา เช่นนั้นใช่ที่แห่งนี้หรือไม่? ถูกต้องไหม?”
หยวนชิงหลิงก็ตอบคำถามนี้ไม่ได้ ที่นี่เป็นภูเขา ไม่มีอะไรเป็นลักษณะเฉพาะให้อ้างอิง กระทั่งเป็นประเทศไหนก็ไม่รู้ นางจำได้ว่าตอนออกไป มีแรงดึงดูดพวกเขา ใช่หมอหยางหรูไห่ช่วยหรือเปล่า?
หากไม่ใช่นาง คงไม่ใช่ว่าถูกลมหมุนผลักลงมากระมัง?
“เรา…ลองเดินลงเขาดูก่อนเถอะเพคะ” หยวนชิงหลิงได้แต่พูดเช่นนี้
คำพูดนี้ทำให้สามใหญ่หวาดกลัวขึ้นมา เซียวเหยากงเอ่ยถาม “คงไม่ได้ออกผิดทางกระมัง? เช่นนั้นหรือที่นี่จะเป็นห้าสิบปีก่อนหลังของเป่ยถัง? เป็นปีไหนกันแน่?”
“คงไม่!” หยวนชิงหลิงมองท้องฟ้า ท้องฟ้านี้ไม่เหมือนกับท้องฟ้าของเป่ยถัง ท้องฟ้าของเป่ยถังเห็นดาวได้ชัดเจน โดยเฉพาะในคืนที่พระจันทร์ไม่ถือว่าสว่าง บนท้องฟ้ามีดวงดาวอยู่เต็มไปหมด
แต่ตอนนี้กลับมีไม่กี่ดวง
ทั้งยังมีมลพิษที่คุ้นเคยปะปนอยู่
ประคองโสวฝู่ พวกเขาคลำทางลงเขา
ภูเขานี้รกร้างจริงๆ เดินผ่านเนินที่มีพุ่มหญ้า ดูเหมือนไม่มีคนสัญจร ทั้งยังยิ่งเดินยิ่งร้าง หญ้าสูงครึ่งตัว จนด้วยหนทางจึงจำต้องเดินขึ้นข้างบน หวังจะพบทางเดิน
พวกเขามองเห็นยังเดินได้ดีหน่อย เพราะถึงจะเป็นกลางคืน แต่ยังมีแสงเงาจันทร์ส่องอยู่ ยังพอมองออกได้
แต่โสวฝู่ลำบากหน่อย ล้มลุกคลุกคลานไปสองสามหน ดีว่าทุกคนประคองเขาถึงไม่ถึงกับล้มคะมำ
อากาศหนาวมาก โดยเฉพาะบนภูเขานี้ น้ำค้างลงหนัก ไอเย็นโอบล้อม ทำให้เดินได้ลำบากเป็นพิเศษ
ณ กรมตำรวจเมืองก่วง กองความมั่นคงสาธารณะมณฑลสั่งการด่วน ย้ายกำลังตำรวจกว่าร้อยนายของเมืองก่วงออกค้นหานักกลุ่มแสดงที่หลงทางจากการถ่ายทำที่เขาติ่งเฟิง
กลุ่มนักแสดงมีสี่คน สามคนชรา และผู้หญิงคนหนึ่ง หนึ่งในนั้นยังมีคนชราคนหนึ่งตาบอด
เนื่องจากอากาศฤดูใบไม้ผลิหนาว โดยเฉพาะบนเขาติ่งเฟิง อุณหภูมิต่ำสุดยังถึงขั้นติดลบได้ คนชรารับไม่ไหว
ลู่หยาง อธิบดีกรมตำรวจในเมืองออกโรงเอง ตั้งศูนย์สั่งการอยู่เชิงเขาติ่งเฟิง เจ้าหน้าที่กรมตำรวจทุกนายพกเครื่องมือสื่อสารและเครื่องมือเดินทางกลางคืนพร้อม นำน้ำและอาหารติดตัว เริ่มทำการค้นหา
เขาติ่งเฟิงเป็นจุดชมวิว กลางคืนหลังหกโมงแล้วก็จะไม่เปิด เดิมคณะถ่ายทำลงเขาตั้งแต่หกโมงแล้ว แต่กลุ่มนักแสดงประกอบฉากสี่คนนี้กลับพลัดหลง ค้นหาอยู่นานก็ไม่พบ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการสูญเสียถึงชีวิต ดังนั้นจึงให้เจ้าหน้าที่ออกค้นหา เจ้าหน้าที่ของจุดชมวิวโพสต์ในเวยป๋อ ทำให้ชาวเน็ตที่อยู่ละแวกนี้มาช่วยค้นหา เฝ้าดูสถานการณ์ มีบล็อกเกอร์และยูทูปเบอร์ของติ๊กต็อกจำนวนมากต่างหามกล้องวีดีโอมา
ในศูนย์สั่งการที่เชิงเขา ฟางหวูกับหยวนชิงโจวต่างรอฟังข่าวอยู่ข้างลู่หยาง พี่ชายของหยวนชิงหลิงอยากขึ้นเขาไปหา แต่ลู่หยางไม่อนุญาต เพราะเขาติ่งเฟิงกว้างขวางมาก อีกทั้งไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งสี่อยู่ทิศทางไหน หากเป็นแถบที่ยังไม่เคยพัฒนาจะหายาก
ฟางหวูแอบถามลู่หยาง“ทำไมต้องหาอย่างเอิกเกริกอย่างนี้ด้วยคะ? เชื่อว่าถ้าไม่ใช้ทีมตำรวจ คุณก็หาพบได้”
ลู่หยางเป็นแม่ของพระชายาเฟิงอัน ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจเมือง เดิมก็มีความสามารถเหนือคนอยู่แล้ว ฟางหวูถึงได้ถามแบบนี้
ลู่หยางมองแวบหนึ่ง กล่าว “อย่างแรก ที่นี่เป็นจุดชมวิว ฉันขึ้นเขาหาพวกเขา ถึงฉันจะออกมาได้ แต่พวกเขาทั้งสี่ก็ต้องออกจากจุดตรวจ ถึงตอนนั้นก็ต้องสอบถามอยู่ดี ตอนนี้เป็นยุคโซเชียล คนสี่คนใส่ชุดโบราณออกมาจากจุดชมวิว แล้วยังจินตนาการได้ว่าสามคนในนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยอยากรู้อยากเห็นที่นี่ ถึงตอนนั้นถ้าพฤติกรรมพวกเราถูกคนอื่นถ่ายแล้วโพสต์ในอินเทอร์เน็ต จะทำให้เกิดข้อสงสัยมากขึ้น อย่างที่สอง พลังบางอย่างไม่ใช้ได้ก็อย่าใช้ ใช้มากไปต้องเผยออกมาสักวัน จะทำให้เกิดความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น วันนี้มีกองถ่ายถ่ายทำที่นี่พอดี แล้วทำไมไม่ใช้เป็นข้ออ้างล่ะ?”
ฟางหวูคิดแล้วก็ใช่ แต่ก็ยังไม่ค่อยวางใจ “แน่ใจว่าพวกเขาอยู่ที่นี่เหรอคะ? จะผิดพลาดหรือเปล่า?”
ลู่หยางกล่าว “ตอนนี้มิติเวลายังได้รับผลกระทบ แม้แต่ฉันก็พูดชัดไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่หยางหรูไห่ก็พยายามถึงที่สุดแล้ว แล้วได้ยินพวกเขาบอกว่าเห็นจุดแสงที่บอกใบ้ให้ งั้นก็น่าจะไม่ผิด”
ฟางหวูสบตากับหยวนชิงโจวทีหนึ่ง กังวลมาก น่าจะไม่ผิด แต่ก็ไม่มั่นใจ
เมื่อนั้นโทรศัพท์ของหยวนชิงโจวก็ดังขึ้น แม่โทรศัพท์มา เขาเดินออกไปรับสายอีกทางหนึ่ง แม่หยวนชิงหลินถามด้วยความร้อนใจ “เป็นไงบ้าง? หาเจอไหม? เปาเปามาแล้ว เขาถามว่าแม่ถึงหรือยัง”
หยวนชิงโจวตอบ “หาอยู่ครับ ตอนนี้ยังไม่แน่ รอก่อนนะครับ บอกเปาเปาว่าอย่าเพิ่งกลับไป”
“ยังไม่เจอเหรอ? จะผิดหรือเปล่า?” แม่หยวนชิงหลินถามด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ