บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1391 เพิ่งมาถึงก็เกิดเรื่อง
หยวนชิงโจวก็ว้าวุ่นในเหมือนกัน แต่ก็ยังปลอบแม่ “น่าจะไม่ผิดครับ แม่อย่าเพิ่งร้อนใจนะครับ รอดูก่อน ตอนนี้ส่งคนจำนวนมากไปหาแล้ว ถ้าอยู่ที่นี่จริงก็ต้องเจอแน่ครับ”
แม่หยวนชิงหลินรับคำ “ก็ได้ งั้นก็ได้ มีอะไรก็โทรหาฉันทันทีนะ!”
หลังจากวางสายโทรศัพท์ หยวนชิงโจวก็ถอนหายใจลึก สบตาฟางหวูแวบหนึ่ง วิตกหนัก
พวกเขาเดินออกไป ดูคนที่รอดูสถานการณ์ด้านนอก เอิกเกริกขนาดนี้ จนปัญญาจริงๆ
หยางหรูไห่ก็ขับรถมาถึง ชุดสูทดำทั้งตัว เส้นผมยาวอยู่ด้านหลัง ใช้ปิ่นปักผมขัดไว้ จัดแต่งได้สะอาดเรียบร้อย งามสง่า
เธอทักทายกับทั้งสองแล้วก็เข้าศูนย์สั่งการชั่วคราว
“เป็นไงบ้างคะ? หาเจอไหม?” หยางหรูไห่เข้าไปแล้วก็ถามลู่หยาง
“ยังไม่มีข่าว คุณแน่ใจว่าไม่ผิดนะ?” ลู่หยางกล่าว
หยางหรูไห่ขมวดคิ้ว “น่าจะไม่ผิดนะคะ ฉันดึงมาแล้ว แต่ฉันไม่ละความคลาดเคลื่อนสองสามสีก่อนหลัง เพราะฉันแก้ไขจุดลงให้ถูกต้องไม่ได้ บิดเบี้ยวหนักมาก เชื่อว่านี่เป็นค่าที่สูงที่สุดแล้ว ต่อจากนี้จะค่อยๆ ปรับเป็นปกติ”
“สองสามปีก่อนหลัง? งั้นก็แย่สิ” ลู่หยางกล่าว จากนั้นก็รีบโทรศัพท์ ถามว่าสองสามปีก่อนมีคดีที่มีคนหนาวตายบนเขาติ่งเฟิงหรือไม่
คำตอบคือมี แต่ไม่มีคนสวมชุดโบราณหนาวตายอยู่บนเขา
“หรือก็คือไม่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสองสามปีก่อน ถึงจะผิดพลาด ก็น่าจะเป็นสองสามปีให้หลัง งั้นก็แย่เลย ตอนนี้มิติเวลาบิดเบี้ยวหนักขนาดนี้ ไม่น่าเป็นไปได้ที่เราจะไปพาพวกเขากลับมาจากสองสามปีข้างหน้า ถึงเราจะไปได้ พวกเขาก็ต้องอยู่ในอุโมงค์เวลา พลาดได้เหมือนกัน แล้วตอนนี้อัตราส่วนที่จะเกิดความผิดพลาดก็มีมากขึ้นด้วย บิดเบี้ยวมากเกินไป แยกแยะทางออกไม่ได้” หยางหรูไห่เอ่ยพลางขมวดคิ้ว
ฟางหวูกับหยวนชิงโจวฟังทั้งสองสนทนาอยู่ด้านข้าง ท้อแท้แล้ว ถ้าไปสองสามปีหน้า หยวนชิงหลิงกับโสวฝู่ก็จะไม่รอด
ฟางหวูถามหยางหรูไห่ “คุณขึ้นเขาไปดูได้ไหมคะ? ถึงจะพาลงมาไม่ได้ เราก็ยังรู้ได้ว่าเธอมาไหม ใช่ไหมคะ?”
หยางหรูไห่มองลู่หยาง “คุณเคยขึ้นไปไหมคะ?”
ลู่หยางกล่าว “คุณบอกในโทรศัพท์ว่าอยู่ที่นี่แน่ ฉันก็เลยไม่ได้ขึ้นไป ส่งคนไปเยอะขนาดนี้ต้องหาเจอแน่ แต่ตอนนี้ฟังคุณพูดอย่างนี้แล้ว คุณก็ไปดูหน่อยเถอะ ถ้าเกิดความผิดพลาด เราจะได้ไม่เสียเวลาอยู่ที่นี่”
หยางหรูไห่มองเธอแวบหนึ่ง “จะว่าไป ทำไมคุณต้องทำเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตอย่างนี้ด้วยคะ? แล้วยังทำให้มีคนมาเฝ้าดูเหตุการณ์เยอะขนาดนี้อีก”
ลู่หยางหัวเราะ “ตั้งแต่ปีก่อนจนถึงปีนี้ลงทุนกับเขาติ่งเฟิงสามร้อยล้านหยวนเข้าไปแล้ว หวังจะชักนำอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของที่นี่ แล้วทำเศรษฐกิจให้ครึกครื้น แต่ได้ผลน้อยมาก ร้านค้าของจุดชมวิวกับพวกคนงานคนขับรถที่อาศัยจุดชมวิวหาเงินจะตกงานกันหมดแล้ว เศรษฐกิจเน่า”
เมื่อฟางหวูกับหยวนชิงโจวได้ยินคำพูดนี้แล้วจะร้องไห้ก็ไม่ใช่หัวเราะก็ไม่ใช่ ที่เพิ่งพูดไปเป็นข้อๆ เมื่อครู่ กลับเป็นคำพูดกลบเกลื่อน มิน่าล่ะบล็อกเกอร์และยูทูปเบอร์พวกนั้นมาถ่ายรูปตำรวจก็ไม่ไล่ ที่แท้ก็อยากชักนำอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนี่เอง
ให้ตายสิ ตัวอยู่ในคราบ ใจคิดถึงประชาชน
ลู่หยางเลิกคิ้ว มองหยางหรูไห่กล่าว “ทางที่ดีคุณตรวจสอบให้ชัดว่ากลับมาบอกไม่ผิดพลาด ไม่อย่างนั้นละครฉากใหญ่ในคืนนี้ของฉันก็เก็บยากแล้ว”
หยางหรูไห่หัวเราะเย้ย “ใครใช้ให้คุณเป็นตำรวจไม่รักษาความสงบดีๆ แต่กลับคิดจะฟื้นเศรษฐกิจล่ะคะ? เกิดความผิดพลาดแล้วจะโทษใครได้?”
ว่าแล้วหยางหรูไห่ก็หันตัวเดินไป
หยวนชิงโจวหวาดหวั่น
แต่พอหยางหรูไห่หันตัวออกไป ไม่รอให้ขึ้นเขาลู่หยางก็ตะโกนตามหลังมา “ไม่ต้องไป หาเจอแล้ว!”
ฟางหวูกับหยวนชิงโจวแทบล้มพลักลงกับเก้าอี้ จิตใจที่ตึงเครียดผ่อนคลาย เหงื่อกาฬซึมออกหลัง
อีกทางหนึ่งพวกหยวนชิงหลิงเดินลงตามเนินเขาที่รกร้าง เดินจนหมดเรี่ยวแรง ที่เหลืออีกสามคนยังไหวอยู่ แต่นางกลับไม่ไหว
นางยังอยู่เดือน
ลมหนาวพัดกรรโชก จามติดไปหลายครั้ง จากนั้นก็รู้สึกหัวสมองมึนงง นางเดินไม่ไหวแล้วจริงๆ ห่อเสื้อคลุมนั่งอยู่กับพื้นหอบหนัก
เซียวเหยากงเห็นนางแทบจะอ่อนเปลี้ยแล้วจึงเสนอ “ไม่เช่นนั้นข้าให้วิชาตัวเบาลงไปดูว่ามีคนไหม?”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ไม่ ที่นี่ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน หากท่านหลงทางหาเราไม่พบ เช่นนั้นก็จะพลัดหลงกัน”
“ก็ไม่ถึงกับกลับมาไม่ได้หรอก พวกเจ้ารออยู่นี่ หากข้าหาคนอื่นไม่พบก็จะกลับมาหาพวกเจ้า เอาตามนี้แหละ!”
ไท่ซ่างหวงไม่วางใจเขา เขามักประมาทเลินเล่อ จึงเอ่ย “ข้าจะไปกับเจ้าด้วยแล้วกัน!”
เขากลับมากล่าวกับโสวฝู่ “ฉู่เสี่ยวอู่ พวกเจ้าอยู่นี่อย่าไปไหน ห้ามไปไหนทั้งนั้น เข้าใจไหม? เราพบคนแล้วก็จะกลับมาหาพวกเจ้า”
“ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ระวังด้วย!” โสวฝู่ก็คิดว่าถ้าเทียบกับรอความตายอยู่นี่ ก็มิสู้ให้พวกเขาออกไปหาดูก่อน
ไท่ซ่างหวงกับเซียวเหยากงใช้วิชาตัวเองผ่านป่าไป แล้วลงเขาไป
เขานี้ค่อนข้างสูง ป่าเขาสลับซับซ้อน ไม่พบผู้คนตลอดทาง ข้ามภูเขาไปหลายลูก กระโดดข้ามลำธาร เมื่อถึงเชิงเขาก็เห็นถนนกว้างขวางเส้นหนึ่ง
“น้องสิบแปด ถนนนี้เรียบจริง ทำมาจากอะไรกัน? สองข้างทางของถนนยังแขวนตะเกียงไว้มากขนาดนี้อีกแน่ะ” ไท่ซ่างหวงเงยหน้าขึ้น มองไฟกริ่งที่ตั้งอยู่สองข้างทาง อยากรู้อยากเห็นมาก
เซียวเหยากงนั่งยอง ยื่นมือเคาะผิวถนน แล้วเอ่ยอย่างตะลึง “แข็งแรงมาก แต่ตะเกียงเยอะขนาดนี้…เอ๊ะ มีไฟดวงใหญ่มาทางนี้”
เสียงแตรดังขึ้นทันที เสียงเบรกเสียดหูทำให้เยื่อหูทั้งสองแทบจะแตก ทั้งสองตะลึงงัน ใครกรีดร้อง? แสงอะไรถึงแรงกล้าเช่นนี้? เป็นปีศาจหรือ?
“ปัง” เสียงหนึ่ง มีบางอย่างชนใส่ตัวพวกเขาทั้งสอง ทั้งสองลอยออกไปตกกระแทกอยู่บนถนน
“ไอ้หยา เอวแก่ๆ ของข้า!” เซียวเหยากงส่งเสียงโทสะ “มีคนร้าย!”
“ไม่ใช่คนร้าย น่าจะเป็นรถม้าคันใหญ่!” ไท่ซ่างหวงพยายามลุกขึ้น เฮ้อ ขาขยับไม่ได้
บนรถมีคนตัวสั่นพั่บออกมา เดินขาสั่นระริก ค่อยๆ เดินมาหา มองทั้งสองที่สวมชุดโบราณถูกชนอยู่บนถนน เขากลืนน้ำลาย ดีที่ยังไม่ตาย แต่ดึกขนาดนี้ สองเฒ่ามานั่งอยู่กลางถนน จะให้รถชนหรืออย่างไร?
“พวก…พวกคุณไม่เป็นไรใช่ไหม?” คนขับรถเข้ามาถามอย่างระแวดระวัง
“มีคน เห็นคนแล้ว!” เซียวเหยากงตะโกนขึ้นอย่างปรีดา “พ่อหนุ่ม ที่นี่ที่ไหนหรือ? ที่นี่ใช่แคว้นมิติเวลาหรือไม่?”
“ดูเสื้อผ้าเขาไม่เหมือนเรา น่าจะถูกแล้ว” ไท่ซ่างหวงมองประเมินคนผู้นี้ ในใจโล่งอกนิดหน่อย น่าจะมาถูก
ครั้นแล้วก็มีแสงจ้าส่องมาอีก เพียงแต่แสงจ้านี้มาจากทิศตรงข้ามกับคนขับรถ คนขับรถเบิ่งตาโต เห็นรถคันหนึ่งพุ่งออกมาจากทางโค้ง ความเร็วรถไวมาก เสียงแตรเสียดหูดังขึ้นอีกครั้ง เขากลิ้งไปอยู่ข้างถนนทันที แล้วมองภาพที่จะเกิดขึ้นตรงหน้า
ไท่ซ่างหวงกับเซียวเหยากงตกใจไม่สนอาการบาดเจ็บ กระโดดเหาะขึ้น ความสูงที่กระโดดขึ้นมาถูกหัวรถชนเข้าพอดี แม้คนขับรถคันนี้จะเหยียบเบรกจนมิดแล้ว แต่ก็ยังชนทั้งสองลอยลิ่วออกไปอีก