บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1392 ตามสองคนนั้นกลับมา
ทั้งสองถูกชนกระเด็นออกไปแล้วตกสู่พื้น ดีที่ครั้งนี้เตรียมการไว้แล้ว ตอนที่กระโดดเหาะได้ใช้กำลังภายในคุ้มกันร่างกาย ไม่ถึงกับบาดเจ็บหนักกว่าเดิม
แต่เมื่อครู่คนหนึ่งเจ็บที่เอว อีกคนก็เจ็บที่ขา เวลานี้เมื่อตกลงมาอีกครั้งก็ถึงกับลุกไม่ขึ้น
ในรถมีคนขับคนหนึ่งออกมาแบบเลิ่กๆ ลั่กๆ เมื่อเห็นภาพตรงหน้าแล้วก็ราวกับอึ้งกิมกี่ เชี่ย! คงไม่ซวยขนาดนี้มั้ง? วันนี้เพิ่งได้ใบขับขี่ก็ชนถูกคนแก่สองคนแล้ว?
คนขับรถทั้งสองสบตากันผ่านอากาศ ทำหน้าจะร้องไห้ คนขับรถคนแรกตัวสั่นพั่บหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ยื่นให้คนขับรถคนหลัง ปากสั่นระริกเอ่ย “พวก นายว่าไง? จะเอาไปส่งโรงพยาบาลหรือทิ้งไว้ไม่สนใจดี? ตรงนี้ไม่มีคนอื่นเห็น”
คนขับรถคนหลังเป็นวัยรุ่นอายุยี่สิบต้นๆ ใช้มือที่สั่นเทารับบุหรี่ แทบจะร้องไห้ “รถ…รถผมไม่มีประกัน!”
คนขับรถคนแรกพูดด้วยความอัดอั้นเหมือนกัน “ประกันฉันก็เพิ่งหมดอายุ สามวัน เงินเดือนยังไม่ออกเลย กะจะดึงยาวเดือนหนึ่งแล้วค่อยซื้อ!”
จุดบุหรี่ สูบไปอึกหนึ่ง ความเหี้ยมปรากฏขึ้นในแววตา แต่แทบจะขณะเดียวกันกลับล้วงโทรศัพท์มือถือออกมากด 120 (*เบอร์โทรศัพท์เรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน)
หยวนชิงหลิงกับโสวฝู่รออยู่บนเขาหนึ่งชั่วโมงเศษ ขณะกำลังร้อนใจ ในที่สุดก็เห็นแสงไฟฉายจากที่ไกลๆ ครั้นแสงไฟอันคุ้นเคยนี้ส่องมา ก็แทบทำให้เลือดหยวนชิงหลิงพุ่งขึ้นสมอง ครืน ตื่นเต้นสุดขีด กระโดดขึ้นมาตะโกน “มีใครไหม? มีใครไหม? รบกวนพาพวกเราลงเขาที พวกเราหลงทางค่ะ”
เส้นแสงส่องมา คนจำนวนมากตะโกน “หาเจอแล้ว หาเจอแล้ว!”
ด้วยคำพูดนี้ ทำให้หยวนชิงหลิงกับโสวฝู่นึกว่าเป็นคนที่ไท่ซ่างหวงกับเซียวเหยากงไปตามมา ตอนแรกหยวนชิงหลิงไม่หวังกับเขามากเท่าไร แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะตามคนขึ้นมาได้จริง
ขณะที่ทุกคนกรูกันเข้ามา และหยวนชิงหลิงเห็นชุดตำรวจของพวกเขาแล้วก็ดีใจจนน้ำตาไหล ตื่นเต้นมาก แต่พอคิดอีกทีกลับกลัวว่าจะเกิดความคลาดเคลื่อนของเวลา จึงเอาแต่ถามตำรวจท้องที่เหล่านั้นว่าตอนนี้วันเดือนปีอะไร
ตำรวจท้องที่เห็นแบบนี้แล้วก็อดทอดสายตาสงสารเป็นไม่ได้ มองดูใบหน้าน้อยๆ ขาวซีดนี้แล้วก็เศร้าใจนัก ดึกดื่นเที่ยงคืนถูกกองถ่ายทิ้งอยู่บนเขา นักแสดงประกอบฉากนี่อยู่ยากจริง ยังถามอีกว่าเดือนไหนปีอะไร สงสัยจะหนาวจนสมองเพี้ยนไปแล้วมั้ง?
แถมยังมีคนตาบอด…ตาบอดแล้วยังต้องมาเป็นนักแสดงประกอบฉากอีก ชีวิตลำบากขนาดนี้เชียวเหรอ? รัฐบาลไม่ได้ให้เงินอุดหนุนคนพิการหรือไง?
ตำรวจท้องที่ไม่ได้ตอบคำถาม แต่ถามกลับ “พวกคุณไม่ใช่สี่คนเหรอ? ท่านอธิบดีลู่หยางบอกว่าพวกคุณมีกันสี่คน แล้วอีกสองคนล่ะ?”
คำว่า ‘อธิบดีลู่หยาง’ แล้วยัง ‘สี่คน’ อีก ทำให้หยวนชิงหลิงมั่นใจว่ามาถูกเวลา พวกเขากลับมาแล้ว
แต่ท่ามกลางความตื่นเต้นก็นึกถึงที่ตำรวจท้องที่ถามถึงอีกสองคน ทันใดนั้นก็ตะลึงงัน ไม่ใช่คนที่พวกเขาตามมาหรอกเหรอ? แล้วพวกเขาล่ะ?
หยวนชิงหลิงรีบตอบ “ลงเขาไปตามคนแล้วค่ะ พวกคุณไม่เห็นพวกเขาเหรอคะ?”
“เปล่านี่ ลงเขาไปเมื่อไร? พวกเราหามาตลอดทาง ทำไมไม่เห็นล่ะ?” ตำรวจท้องที่คนนั้นพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ
ใบหน้าหยวนชิงหลิงซีดหนักกว่าเดิม ลุกลี้ลุกลนไม่เป็นสุข แม้แต่โสวฝู่ก็เช่นกัน เธอรีบกดมือโสวฝู่ จากนั้นก็พูดกับตำรวจ “งั้นพวกคุณรีบหาเถอะค่ะ ช่วยหาต่อ รบกวนพวกคุณด้วย”
“พวกเราจะหาเอง พวกคุณลงเขาไปก่อนเถอะ บนเขานี้หนาวมาก คนหนึ่งบอด คนหนึ่งเพี้ยน อย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกล่ะ” ตำรวจท้องที่สั่งให้คนสองสามคนส่งพวกเขาลงเขาทันที
เดิมหยวนชิงหลังยังคิดจะรออยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้โสวฝู่มองไม่เห็น แล้วยังมามิติเวลาใหม่อีก ต้องระแวงคนแปลกหน้าแน่ อาการบาดเจ็บของโสวฝู่ก็ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ส่งลงเขาไปก่อน ติดต่อกับพวกฟางหวู ส่งโสวฝู่ไปตรวจที่โรงพยาบาล เตรียมการผ่าตัดวันพรุ่งนี้ก่อน แล้วเธอค่อยกลับมาช่วยหาที่นี่
แต่โสวฝู่กลับไม่ยอมไป บอกจะอยู่ที่นี่รอพวกเขากลับมา
“ถ้าเราไปแล้ว พวกเขากลับมาไม่พบพวกเราต้องร้อนใจแน่ ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่ที่นี่รอพวกเขา”
หยวนชิงหลิงกล่าว “ท่านวางใจเถอะ มีคนช่วยออกตามหามากขนาดนี้ ต้องหาพบแน่ บางทีตอนนี้อาจมีคนพบพวกเขาแล้ว และพาลงเขาแล้วด้วย พวกเราลงเขาก็จะได้รวมตัวกับพวกเขา”
ที่จริงหยวนชิงหลิงก็เป็นห่วงไท่ซ่างหวงกับเซียวเหยากงมาก แต่สถานการณ์โสวฝู่ทางนี้ค่อนข้างวิกฤต เขาต้องเข้ารับการผ่าตัด ต้องไปตรวจหาค่าทั้งหมดที่โรงพยาบาลไวหน่อย ดูสิว่าเหมาะจะผ่าตัดเลยหรือไม่
ดังนั้นจึงได้แต่เกลี้ยกล่อมให้เขาลงเขาไปโรงพยาบาลก่อน
โสวฝู่ได้ยินเสียงก็รู้ว่าบนเขามีคนจำนวนมาก คิดว่าคนมากมายขนาดนี้น่าจะหาพวกเขาทั้งสองพบได้เร็ว อีกอย่างตนก็ลงเขาไม่สะดวก ต้องใช้เวลามากในการลงเขา และจะเสียเวลาไม่ได้จริงๆ ดังนั้นจึงลงเขาตามที่หยวนชิงหลิงบอก
เมื่อลงเขาไปก็พบกล้องบันทึกภาพ กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์บันทึกภาพทั้งหลายล้วนทักทายมาทางพวกเขา ทำจนกลางคืนราวกับกลางวัน ระหว่างนั้นยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ บอกว่าในที่สุดก็พบกลุ่มนักแสดงประกอบฉากที่หายตัวไปแล้ว ไม่รู้ว่าถ่ายทำละครอะไร? นักแสดงหน้าตาดีขนาดนี้ ทำไมถึงเป็นนักแสดงประกอบฉากได้
หยวนชิงหลิงเหงื่อตก แต่ก็ไม่กล้าถามตำรวจท้องที่ที่อยู่ข้างๆ กลัวว่าจะพลั้งพูดอะไรออกไป
แต่เธอพบว่าคนที่ถ่ายรูปพวกนี้ นอกจากจะเป็นคนที่มาเอง ยังมีนักข่าวของสื่อ มีนักข่าวที่อยากมาสัมภาษณ์พวกเขา แต่กลับถูกตำรวจท้องที่กันไว้ หยวนชิงหลิงจูงมือโสวฝู่ เดินต่อทีละก้าว รู้สึกได้ถึงความกระวนกระวายทำอะไรไม่ถูกของเขา
โสวฝู่อยู่ในภาวะทำอะไรไม่ถูกจริง เวลาเดินก็อาศัยการจูงของเธอทั้งหมด มักหันไปฟังความเคลื่อนไหว อยู่ต่างถิ่น พวกเดียวกันก็พลัดหลง เขาเป็นกังวลมาก แต่ก็กลัวจะเพิ่มความวุ่นวายให้กับพระชายารัชทายาท ดังนั้นต่อหน้าผู้คนจึงไม่กล้าพูดมาก
เดินไปครึ่งชั่วโมง โสวฝู่เดินช้านิดหน่อย ไม่ใช่เพราะเหนื่อย แต่เพราะบันไดหินเหล่านี้ลื่นมาก และเขาก็มองไม่เห็น เมื่อย่างเท้าลงก็เหยียบถูกขอบของบันได ขอบนั้นยังถูกขัดจนเงา นี่จึงทำให้เขาเกือบลื่นล้มไปสองสามครั้ง
ตำรวจท้องที่เดินไปอยู่ตรงหน้าพวกเขา ค้อมตัวลง “ขึ้นมา ลุง ผมจะแบกลุงลงเขาเอง ลุงเดินอย่างนี้เช้าก็ยังลงไม่ถึงข้างล่าง”
ใบหน้าโสวฝู่เปลี่ยนเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เกือบเฮี้ยบ “ไม่จำเป็น ข้าเดินเองได้ ข้าแค่ไม่คุ้นทาง หากอยู่ในเมืองหลวงเป่ยถัง ข้ายังเดินได้ราวกับเหาะ”
เมื่อตำรวจท้องที่ที่คุ้มกันพวกเขาลงเขาได้ฟังคำพูดพวกนี้แล้วก็มองเขาด้วยนัยน์ตาแปลกประหลาด ยังจะมาเมืองหลวงเป่ยถังอีกแน่ะ ลุงนี่อินบทจัง มิน่าล่ะตาบอดแล้วยังมีคนจ้างเขามาถ่ายละคร
เมื่อเกลี้ยกล่อมเขาไม่ได้ จึงได้แต่ค่อยๆ ลงเขา โสวฝู่ใช้อุตสาหะอันน่าทึ่ง คลำหาหลักของบันไดหินที่ลงเขาได้ ดังนั้นขณะย่างเท้าลง เพียงสองเท้าแบะออกข้างก็ไม่ลื่นล้มแล้ว
หยวนชิงหลิงเห็นเขาพยายามปรับตัว อีกทั้งเมื่อความร้อนรนผ่านไปก็เดาทางด้วยจิตใจที่สงบได้ทันที อย่างไรก็เป็นขุนนางใหญ่แห่งยุคที่ทรงอำนาจของเป่ยถัง!