บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1394 ผู้ก่อเหตุที่หลบหนี
โสวฝู่หูไวมาก ได้ยินการสนทนาของหยวนชิงหลิงกับแม่ เขาสับสนหนัก ถามฟางหวูที่ประคองเขา “ผู้ที่สนทนากับพระชายารัชทายาท เป็นท่านอาจารย์ของพระองค์หรือ?”
ฟางหวูไม่ได้ตอบ หยวนชิงโจวจึงกล่าว “เป็นพ่อแม่ของเธอครับ ผมเป็นพี่ชายของเธอ”
โสวฝู่ตะลึงงัน “เจ้าพระยาจิ้งอยู่ที่นี่หรือ? เจ้าเป็นพี่ชายพระชายา? หยวนหลุนเหวิน? เหตุใดเสียงจึงไม่เหมือน?”
หยวนชิงโจวงงงัน มองท่าทางสับสนของโสวฝู่ ยังไงเนี่ย? คนก็พามาแล้ว ยังไม่พูดกับเขาให้ชัดอีก? คงไม่ได้หลอกมามั้ง?
หยวนชิงหลิงน้ำตาคลอหัวเราะ “เข้าไปก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
ที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลมีชายแก่ที่เป็นนักแสดงตัวประกอบฉากสองคนถูกส่งมาเพราะอุบัติเหตุ คนที่มาด้วยเป็นคนดวงจู๋สองคนที่ทำหน้าห่อเหี่ยว หงอยเหงาเศร้าซึมรออยู่ข้างนอก
พวกเขาถูกส่งมาที่ห้องฉุกเฉินได้พักหนึ่งแล้ว พยาบาลออกมาถามพวกเขาด้วยความจนใจ “ผู้ป่วยชื่ออะไรคะ? แพ้ยาอะไร? มีโรคประจำตัวอะไรไหม? ช่วงนี้กินยาอะไรบ้างคะ?”
ทั้งสองมองกันไปมองกันมา “ไม่รู้ พวกเราสองคนขับรถชนพวกเขา ก็เลยส่งมาโรงพยาบาลนี่แหละ”
พยาบาลขมวดคิ้ว “ตำรวจจราจรล่ะค่ะ? ให้ทางตำรวจตรวจสอบหน่อย”
ทั้งสองชะงัก “ไม่ได้แจ้งตำรวจ!”
พยาบาลอ้าวทีหนึ่ง “ไม่ได้แจ้งตำรวจแล้วจะกำหนดความรับผิดชอบได้ยังไงล่ะคะ?”
ทั้งสองปาดเหงื่อ เหม่อพูด “ตอนนั้นเราตกใจ ไม่ทันคิด”
“คุณก็รักษาให้พวกเขาแล้วกัน พวกผมไม่มีประกัน ไม่ต้องกำหนดความรับผิดชอบ เท่าไรพวกเราจะหารกันจ่ายเอง”
พยาบาลส่ายหน้า ไม่แปลกใจ ปีหนึ่งเจอคนประเภทนี้เยอะ กล่าว “ค่ารักษาพวกเขาหารกันจ่ายได้ แต่ถ้าครอบครัวผู้บาดเจ็บมาเอาความ จะเอาเงินชดเชยแพงๆ ดูซิว่าพวกคุณจะชดใช้ยังไง”
ทั้งสองหน้าซีด คนขับรถคนหลังกลืนน้ำลายลงอึก แล้วถาม “คุณพยาบาล พวกเขาอาการหนักไหม?”
“หนักหน่อย ก็อายุมากแล้วนี่คะ บอกว่าเจ็บเอวเจ็บขา อีกเดี๋ยวจะไปเอกซเรย์ ดูซิว่ากระดูกแตกหรือเปล่า เดี๋ยวจะออกใบเสร็จให้พวกคุณไปจ่าย จ่ายเงินแล้วถึงจะเอกซเรย์ได้!”
พยาบาลหันไปบอกให้หมอออกใบเสร็จ สองคนที่เหลือเดินไปเดินมาร้อนรนไม่เป็นสุขอยู่ข้างนอก
เดินไปไม่กี่ที อยู่ๆ คนขับรถคนหลังก็พูดขึ้น “ผมได้ยินว่าแค่ส่งคนมาโรงพยาบาล หมอก็ต้องรักษา มีกฎนี้อยู่ใช่ไหม?”
“คะ…คงมีมั้ง?” คนขับรถคนแรกตอบอย่างสับสน
คนขับรถคนหลังกระซิบ “เออ…ผมจะไปห้องน้ำหน่อย”
คนขับรถคนแรกจึงเอ่ยขึ้นทันควัน “ผมไปด้วย!”
ทั้งสองรีบร้อนเดินออกไป ครั้นพ้นทางเดินแผนกฉุกเฉินแล้ว ก็วิ่งไม่คิดชีวิต
พยาบาลแผนกฉุกเฉินออกใบเสร็จออกมา แต่กลับไม่พบคน อึ้งอยู่พักหนึ่ง “ยังไงเนี่ย? ไปไหนแล้ว?”
ผู้ป่วยที่รออยู่ด้านข้างจึงพูด “เผ่นไปแล้ว”
พยาบาลเดือดจัด หันตัวเข้าไปทันที
“หมอคะ คนขับรถที่ก่อเหตุหนีไปแล้วค่ะ” พยาบาลวางใบเสร็จลง กล่าว
หมอมองชายชราสองคนที่นอนอยู่บนเตียงฉุกเฉิน ตั้งแต่เข้ามาพวกเขาก็ไม่ค่อยพูด ท่าทางดูมีสติ แต่กลับจ้องสิ่งของรอบๆ วุ่นวายเล็กน้อย แต่พอเห็นเติมน้ำเหลือ พวกเราก็เหมือนจะอุ่นใจ หนึ่งในชายชรายังเอาหูฟังแพทย์ของเขาไป ตอนนี้ซ่อนไว้ใต้ก้น ไม่ยอมคืนให้ บอกว่าเจ้าสิ่งนี้เป็นของหลานสะใภ้เขา
“ลุงคะ มีเบอร์ของคนในครอบครัวพวกลุงไหมคะ? โรงพยาบาลเราจะแจ้งให้พวกเขามา”
“หมายเลข?” ไท่ซ่างหวงกดหูฟังแพทย์นั้นแน่น “รู้หมายเลข!”
“รู้? เบอร์อะไรคะ?” พยาบาลรีบหยิบโทรศัพท์มือถือ
“หนึ่ง!”
“หนึ่งแล้วอะไรคะ?”
“หนึ่งเฉยๆ!” องครักษ์ลับผีหมายเลขหนึ่ง
พยาบาลตะลึง มองทางหมอ เครื่องหมายคำถามหรือสมองจะกระทบกระเทือน?
หมอคิดว่าต้องตรวจดูก่อน จึงถามไท่ซ่างหวง “ในตัวพวกลุงมีเงินไหมครับ? เพราะอาการของพวกลุงยังไม่มีอันตรายถึงชีวิต การตรวจลำดับถัดไปต้องจ่ายเงินก่อน”
“ข้ามี!” เซียวเหยากงพูดขึ้นอย่างภาคภูมิทันที
หมอกับพยาบาลในห้องฉุกเฉินโล่งอก มองเขาล้วง…ทองก้อนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ?
ไท่ซ่างหวงตำหนิเขาพลัน “ไยเจ้าเอาทองมาเล่า? มิควรเอาตั๋วเงินมาหรือ?”
“ใครจะรู้ว่าตั๋วเงินแลกที่นี่ได้ไหม? แต่ทองใช้กันแพร่หลาย” เซียวเหยากงเอ่ย
มุมปากหมอกระตุก “ลุงครับ อุปกรณ์ในกองถ่ายของพวกลุงก็เก็บไว้เถอะ ถ้าจำเบอร์ญาติตัวเองไม่ได้จริงๆ ผมจะลองไปถามหัวหน้า ดูซิว่าตรวจก่อนแล้วค่อยจ่ายทีหลังได้ไหม ตามอายุของพวกลุง ถูกรถชนสองครั้งอาการน่าจะหนักหนาอยู่ แต่ผมตรวจเบื้องต้นแล้ว…ช่างเถอะ เอกซเรย์ก่อนแล้วกัน”
หมอมองพวกเขาสองคน รู้สึกขัดแย้ง ตอนมาคนหนึ่งบอกว่าเจ็บขา อีกคนว่าเจ็บเอว แต่พวกเขาลุกขึ้นยืน ขยับขาได้ ไม่มีร่องรอยการเจ็บ ทั้งสมองยังไม่ค่อยชัดเจน ชอบมีกิริยากับพูดจาแปลกๆ อยู่เรื่อย
อย่างเช่น ลุงที่หน้ามีกระเริ่มกัดสายน้ำเกลืออีกแล้ว ทำท่าอย่างกับคาบกล้องสูบยา
เขาหันตัวไป บอกให้พยาบาลถามชื่อแซ่พวกเขา ที่อยู่บ้านกับรายละเอียดครอบครัวต่อ
“ลุงคะ” พยาบาลหยิบสมุด ถอนหายใจ “รบกวนพวกลุงบอกชื่อ อายุ ที่อยู่ที่บ้าน นอกจากเป็นนักแสดงตัวประกอบฉากแล้วยังมีอาชีพอื่นไหมคะ?”
ไท่ซ่างหวงกล่าว “ข้าชื่อหยู่เหวินฮู่ อายุห้าสิบสอง อาชีพอะไรนั่น ชีวิตนี้ข้าเคยเป็นฮ่องเต้กับไท่ซ่างหวง”
เซียวเหยากงหลุดหัวเราะ “เจ้าเพิ่งห้าสิบสองหรือ? เจ็ดสิบสองกระมัง?”
ไท่ซ่างหวงทำหน้าบึ้ง “ห้าสิบสอง!”
พยาบาลวางสมุดลง ถามอย่างจริงจัง “พวกลุงต้องให้ความร่วมมือสิคะ ค่ารักษาไม่แพงมากหรอกค่ะ พวกลุงน่าจะมีประกันสุขภาพ การรักษาพยาบาลที่บ้านนอกก็มีทั่วแล้ว”
ไท่ซ่างหวงมองเธอ “เมื่อไรพวกข้าถึงจะไปได้?”
“ต้องตรวจก่อนค่ะ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บหนักแค่ไหน ตอนนี้เอวลุงยังเจ็บมากไหมคะ?”
ไท่ซ่างหวงค่อยๆ นั่งลง บิดเอี้ยว “ไม่เจ็บแล้ว”
เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่ แต่พอนั่งก็รู้สึกเวียนศีรษะ เขาค่อยๆ ล้มตัวลงนอนอีก “มึนหัว อยากอาเจียน”
พยาบาลคิดว่าสมองน่าจะถูกกระทบกระเทือน แต่พวกเขาก็ไม่ให้ความร่วมมือ ทำจนวุ่นวายไปหมด
ดีที่หลังจากหมอไปคุยกับหัวหน้าแผนกแล้วก็เข้ามาเตรียมการตรวจ
พยาบาลในโรงพยาบาลเข็นรถเข็นเข้ามา ให้พวกเขาไปตรวจ หมออยากเอาหูฟังแพทย์กลับคืนมา แต่ไท่ซ่างหวงกลับตาเร็วมือไว ช่วงชิงกลับมาทันที ถลึงตาใส่เขา “ของหลานสะใภ้ข้า!”
หมอปวดหัวตุบ ขณะกำลังจะพูด เซียวเหยากงก็เอาก้อนทองใส่มือเขา “ไม่ว่าเป็นของใคร พวกข้าจะซื้อไว้ พอไหม? นี่ทองสิบตำลึง”
ทองหนักวางอยู่บนฝ่ามือหมอ ตอนแรกแม้แต่หมอยังคิดว่าเป็นอุปกรณ์ในกองถ่าย แต่น้ำหนักนี้ ไม่เหมือนอุปกรณ์จริงๆ
เขาพลิกทองแห้ว กลับมาดูด้านล่างอย่างงุนงง มีตัวหนังสือเสียด้วย…กรมวังเป่ยถัง
ไอ้ของพรรค์นี้ เหมือนทองจริงๆ ด้วยแฮะ!