บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1399 เก็บไว้เป็นที่ระลึก
ทันใดนั้นหยวนชิงโจวก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเขาอย่างไรดี เพราะเขาไม่มีความรู้ด้านนี้สักนิด เขาจึงต้องพูดว่า “สรุปแล้วสมานได้ครับ คุณต้องเชื่อผม มา ผมจะโกนผมให้คุณก่อน”
โสวฝู่เงียบ ปล่อยให้เขาประคองไปนั่งที่เก้าอี้
ไท่ซ่างหวงกับเซียวเหยากงมอง รู้สึกเหมือนจะแปลกๆ ด้วยเหมือนกัน เปิดกะโหลกออกแล้วยังไม่ตายอีกหรือ? เช่นนั้นเมื่อก่อนพวกเขาทลายศัตรู ก็ฟันลงไปที่กะโหลดเหมือนกัน มันสมองเละทันที จะไม่ตายได้อย่างไร?
หลังจากโกนผมเสร็จ ศีรษะของโสวฝู่กลมดิกได้มาตรฐานมาก กลมเป็นลูกบอล ทั้งยังดูอ่อนเยาว์ขึ้นอีกหน่อยด้วย
แต่ไท่ซ่างหวงกับเซียวเหยากงดูอย่างไรก็รู้สึกพิลึก ไม่มีผมแล้ว…
รอจนหยวนชิงโจวออกไป ริมฝีปากโสวฝู่ก็สั่นระริก ถามไท่ซ่างหวงกับเซียวเหยากง “หลานชายคนโตของเจ้าพระยาจิ้งมีหนวดแล้วหรือยังพ่ะย่ะค่ะ?”
ไท่ซ่างหวงกับเซียวเหยากงส่ายหน้า “ยังไม่มีหนวด”
โสวฝู่ถอนหายใจ “เขาเอาแต่ให้กระหม่อมเชื่อเขา แต่ตระกูลเจ้าพระยาจิ้งปลิ้นปล้อนเป็นส่วนใหญ่ แถมเขาก็ยังไม่มีหนวด คำพูดล่องลอยทำงานไม่น่าเชื่อถือ แล้วจะให้เชื่อเขาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“นั่นก็จริง!” เซียวเหยากงมองเขา รู้สึกว่าดูยังไงก็ขัดตา โดยเฉพาะหลังจากนี้ยังต้องเปิดสมองที่กลมมนให้เป็นโพรงอีก เขาหนักอกจนใจสั่น กลัว!
แต่อย่างไรก็มาแล้ว หากไม่ผ่าตัด โสวฝู่ก็จะไม่รอด ดังนั้นเซียวเหยากงคิดแล้วจึงให้กำลังใจ “ข้าดูคนผู้นี้ก็ซื่อสัตย์อยู่มาก พระชายารัชทายาทก็เชื่อถือเขา มิเช่นนั้น…เราก็เชื่อสักครั้งเป็นอย่างไร?”
โสวฝู่ขยับเข้าไปใกล้ชิดอยู่กับพวกเขา สามมือกุมอยู่ด้วยกัน เงียบงันอยู่นาน เมื่อนั้นไท่ซ่างหวงก็เอาผ้าขนหนูคลุมศีรษะเขา “อย่าให้หัวเย็น!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” โสวฝู่รับคำ อึดใจหนึ่ง “น้องสิบแปดพูดถูก พระชายารัชทายาทเชื่อเขาเช่นนี้ก็น่าจะมีวิชาอยู่ อีกทั้งองค์รัชทายาทก็เป็นเขาที่รักษาให้ สมัยก่อนข้าไม่ได้พูด แต่หากรักษาดวงตาได้ ได้เห็นพวกเจ้า…กับเสี่ยวสี่อีกครั้ง เช่นนั้นก็ดีมาก”
ไท่ซ่างหวงเม้มริมฝีปาก “เจ้าวางใจเถอะ บุญบารมีข้าปกป้องคุ้มครองเจ้า เจ้าต้องไม่เป็นอะไรแน่”
“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นเราก็ทำเถอะ” โสวฝู่พยักหน้า
เมื่อตัดสินใจแล้ว ทุกคนก็ไม่มีอะไรกังวลอีก เรื่องที่ตัดสินใจแล้วก็ต้องคิดในทางที่ดี ที่ไม่ดีไม่กล้าคิดแม้แต่น้อย
ครู่หนึ่งโสวฝู่ก็หมองใจเล็กน้อย “ไม่มีผมดูแย่จริง กลับไปเจอเสียวสี่ นางต้องคิดว่าข้าออกบวชเป็นแน่”
เซียวเหยากงเอ่ย “วางใจเถอะ ไม่แย่สักนิด หัวเจ้ากลมจริงๆ ไม่รู้ว่าหากข้าโกนผมบ้างหัวจะน่ามองเฉกเช่นเจ้าหรือไม่?”
ไท่ซ่างหวงจึงเอ่ย “ไม่เช่นนั้น…เราก็โกนหัวเป็นเพื่อนเจ้าเป็นอย่างไร?”
“เช่นนี้จะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ?” โสวฝู่ชะงัก
เซียวเหยากงดึงผ้าขนหนูบนศีรษะออกเบาๆ มองศีรษะมันเงานั้น สบตากับไท่ซ่างหวง แล้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เซียวเหยากงก็เอ่ยปากช้าๆ “หัวข้าขี้หนาว ไม่เช่นนั้น ก็ช่างเถอะ”
“ข้าก็ขี้หนาวเหมือนกัน ช่างเถอะ” ไท่ซ่างหวงรู้สึกว่าศีรษะของเขาเป็นเงาแล้วต้องไม่น่ามองเหมือนโสวฝู่แน่ โกนไปแล้วจะเอากลับไม่ได้ ไม่เสี่ยงดีกว่า
โสวฝู่ “…”
หลังจากรายงานทั้งหมดออกมาแล้ว หยวนชิงโจวก็มาบอกข้อความระวังบางอย่างและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดทั้งหมดกับโสวฝู่ คำพูดพวกนี้เขาแค่เปรยแบบย่อๆ เท่านั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือต้องให้พวกเขามั่นใจกับครั้งนี้ ดังนั้นเมื่อเขาพูดรายงานเสร็จแล้ว ก็มองไท่ซ่างหวงกับเซียวเหยากงอย่างจริงใจ “พวกคุณวางใจมอบโสวฝู่ให้ผมเถอะครับ การผ่าตัดของเขาไม่ซับซ้อน ไม่ยากสำหรับผมเท่าไร ที่พวกคุณเป็นกังวล เพราะอายุผมค่อนข้างน้อย คิดว่าผมไม่มีประสบการณ์การผ่าตัด…”
ไท่ซ่างหวงปลอบเขา “ไม่ต้องห่วง เจ้าดูแก่กว่าวัย ถ้อยคำและการกระทำก็สุขุมมากพอ เราเชื่อเจ้า” ตัดสินใจจะผ่าตัดแล้ว ย่อมต้องมอบความมั่นใจที่เพียงพอให้กับโสวฝู่
หยวนชิงโจวผงะ โทษที คุณพูดว่าอะไรนะ? แก่กว่าวัย?
เซียวเหยากงเอ่ย “มิผิด แก่กว่าวัย สุขุม” เขาตบบ่าโสวฝู่ “เรามองเห็น แม้เขาจะไม่มีหนวด แต่ดูแล้วท่าทางเหมือนอายุห้าหกสิบ น่าจะมีประสบการณ์มาก”
โสวฝู่เชื่อพวกเขา คิดแล้วก็วางใจ พูดสัพเพเหระกับหยวนชิงโจวอย่างเป็นมิตร “เจ้าเป็นหมอมากี่ปีแล้วล่ะ? หลานอายุเท่าใดแล้ว? คนในบ้านอยู่ทางนี้หมดหรือ? ได้กลับไปเยี่ยมเป่ยถังบ้างหรือไม่?”
หยวนชิงโจวอยากร้องไห้
หลานเหลินอะไรกัน ยังไม่มีเมียเลย!
เขาตอบไปไม่กี่คำอย่างรีบร้อน แล้วหมุนตัวไป
ก่อนผ่าตัดฟางหวูก็มาด้วย พูดกับหยวนชิงโจว “อีกเดี๋ยวก่อนผ่าตัด คุณก็บอกเขาว่าพาไปตรวจ ไม่ต้องบอกว่าเริ่มผ่าตัดแล้ว เขาจะได้ไม่เป็นกังวล หลักๆ เพราะพอพวกเขาเป็นกังวลก็จะไม่นั่งอยู่เฉย ชอบเพ่นพ่านไปทั่ว”
หยวนชิงโจวคิดอย่างนี้อยู่พอดี พยักหน้าแล้วก็ถามสถานการณ์ทางหยวนชิงหลิง ฟางหวูกล่าว “การผ่าตัดยังไม่จบ แต่วางใจเถอะค่ะ ไม่มีปัญหามาก หมอหยางบอกว่าเธอผ่าตัดแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว ความลำบากในการผ่าตัดของเธอก็เหมือนกับความลำบากของคุณที่ผ่าตัดให้โสวฝู่ แต่ต้องใช้เวลานานหน่อยเท่านั้น”
หยวนชิงโจวขมวดคิ้วแน่น “ถึงจะบอกว่าไว้ใจหมอหยาง แต่ตราบใดที่ไม่ได้ข่าวว่าเธอปลอดภัยก็ยังเป็นห่วงอยู่”
“ถึงห่วงก็คิดมากไม่ได้ คุณยังต้องเตรียมตัวผ่าตัดอีกนะคะ!” ฟางหวูกล่าว
“ครับ!” หยวนชิงโจวสูดลมหายใจเข้าลึก “ทราบแล้วครับ!”
เขาให้พยาบาลเข้าไปเข็นโสวฝู่ออกมา บอกว่าจะไปตรวจอีกครั้ง ตอนตรวจอาจนานหน่อย แค่ตรวจเสร็จก็ผ่าตัดได้
พวกเขาทั้งสามเชื่อว่าเป็นจริง ไม่ได้ตามไป ให้พยาบาลเข็นโสวฝู่ออกไปอย่างราบรื่น
เพื่อให้พวกเขาไม่รู้สึกว่าโสวฝู่ออกไปนาน ฟางหวูจึงจงใจเข้ามา สั่งอาหารกินข้าวเป็นเพื่อนพวกเขา แล้วยังสอนพวกเขาดูโทรทัศน์ด้วย
ในห้องพักผู้ป่วยมีโทรทัศน์ แต่เพราะทั้งสามเข้ามาแล้วพูดกันไม่หยุด จึงไม่เห็นผลของอารยเทคโนยียุคปัจจุบันนี้
ขณะที่ฟางหวูเปิดโทรทัศน์ เห็นกล่องแบนในกรอบสีดำจู่ๆ มีเสียงดังขึ้นแล้วยังมีคนโผล่ออกมาอีก ทั้งสองก็ตกตะลึง สูดลมหายใจเข้าลึก อ้าปากตาค้างมองภาพในนั้น ฟังคนในนั้นพูด กำลังฉายข่าวอยู่พอดี เป็นข่าวการสัมภาษณ์บนถนน เกาะแห่งหนึ่งสร้างสถานบันเทิงขนาดใหญ่ กล้องค่อยๆ เคลื่อนไป เซียวเหยากงตกใจร้องขึ้นมาทันที “ดูสิพ่ะย่ะค่ะ! แคว้นมิติเวลาที่ท่านอาจารย์กล่าวก็คือที่นี่ หญิงสาวที่นี่โผล่แขนโผล่ขา!”
ไท่ซ่างหวงหรี่ดวงตาดี “เสียขนบธรรมเนียม ไม่ดูๆ!”
“เสียขนบธรรมเนียมอะไรกันพ่ะย่ะค่ะ? หาใช่คนจริงๆ ไม่ คนจริงๆ จะหลบอยู่ในกล่องนั้นได้อย่างไร?” เซียวเหยากงคิดว่าตนพูดอย่างมองทุกอย่างด้วยสายตาที่แตกต่าง
“นั่นก็ใช่!” ไท่ซ่างหวงหันมามองอีก ประหลาดใจมาก ถามฟางหวู “นี่มันอย่างไรกันแน่? คนตัวเล็กนี่ซื้อจากที่ใดมา? แพงไหม?”
“นี่ทำมาจากหุ่นหรือ? แต่ไม่เห็นมีเชือกเลยนี่ ทำได้ประณีตมาก!” เซียวเหยากงสะท้อนใจ
ฟางหวูอมยิ้มหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ไม่ใช่ นั่นเป็นคนจริงๆ ถ่ายเข้าไปแล้วก็ฉายออกมา พวกคุณมองมาทางนี้สิ ฉันจะถ่ายพวกคุณเข้าไป”
ไท่ซ่างหวงกับเซียวเหยากงตกใจหน้าถอดสี จะถ่ายพวกเขาเข้าไปอยู่ในกล่องนั้นหรือ?
ฟางหวูยกโทรศัพท์มือถือขึ้นอย่างได้ใจ ในนั้นหยุดสีหน้าตกใจของทั้งสองไว้แล้ว นี่เป็นความต้องการส่วนตัวของฟางหวู ถ่ายรูปพวกเขาเป็นที่ระลึก!