บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1400 ตั้งนานแล้วฉู่เสี่ยวอู่ยังไม่กลับมา
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1400 ตั้งนานแล้วฉู่เสี่ยวอู่ยังไม่กลับมา
ณ เป่ยถัง หยู่เหวินเห้ากับเด็กๆ อยู่ระหว่างทางกลับเมืองหลวงแล้ว ซาลาเปาแทบจะหลับตลอดทาง ตอนนี้หยู่เหวินเห้าลำเอียงอุ้มแต่เขา มองเขาอยู่บ่อยๆ ดูว่าเขาตื่นหรือยัง
เวลานี้คำพูดที่ซาลาเปากล่าวออกมา ล้วนทำให้จิตใจเขาคาดหวังแบบตุ้มๆ ต่อมๆ
เด็กคนอื่นๆ ก็อยู่ข้างกายเขาเหมือนกัน ง่วงเหงาหาวนอน
อยู่นานในที่สุดซาลาเปาก็ตื่น เขาขยี้ตา เด็กๆ ต่างล้อมเข้ามา มองเขาเป็นตาเดียว
เขาเอ่ย “ท่านโสวฝู่กับท่านแม่กำลังผ่าตัด การผ่าตัดของท่านแม่นี้ยาวนานถึงหกชั่วยาม หม่อมฉันกลับมาบ่อยไม่ได้ ต้องอยู่เป็นเพื่อนคุณยาย คุณยายอยู่บ้านคนเดียว เป็นห่วงมาก”
“ได้ เปาเปากตัญญูจริง” หยู่เหวินเห้ากอดเขาแน่น เอ่ยเสียงแห้ง
ครั้นเห็นซาลาเปาจะหลับอีก เขาก็ถามขึ้นก่อน “ได้บอกว่าการผ่าตัดมีคนช่วยกี่คนหรือไม่? คนพวกนั้นเก่งไหม?”
“ไม่ได้บอก แต่ฟางหวูบอกให้พวกเราวางใจ บอกว่าท่านแม่ต้องไม่เป็นอะไรแน่” ซาลาเปาเอ่ย
หยู่เหวินเห้าอือเสียงหนึ่ง ยื่นมือบีบแก้มเขา “ได้ หลับไปเถอะ”
“ท่านพ่อ ท่านพักเสียหน่อยเถอะ ท่านตาแดงมากเลย!” ซาลาเปามองดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือด เอ่ยด้วยความปวดใจ
เด็กๆ ที่เหลือต่างก็ติดอยู่กับหยู่เหวินเห้า ท่านแม่ไม่อยู่ ท่านพ่อช่างน่าสงสารเสียจริง
“ข้าไม่เป็นไร นอนเถอะ!” หยู่เหวินเห้าตบหลังเขาเบาๆ เอ่ยเสียงนุ่ม
ซาลาเปาเป็นห่วงคุณยาย หลับตาไม่นานก็หลับไปอีก
สวีอีกับแม่ทัพหลอบังคับรถอยู่ด้านนอก ด้านนอกลมแรงมาก ไม่ได้ยินการสนทนาข้างใน แต่สวีอีแง้มผ้าม่านเป็นครั้งคราว ใช้สายตามองหยู่เหวินเห้าเป็นการถาม หากมีข่าวคราว หยู่เหวินเห้าก็จะบอก
ครั้งนี้เมื่อแง้มผ้าม่าน หยู่เหวินเห้าก็เอ่ยเสียงเบา “เจ้าหยวนกับท่านโสวฝู่กำลังผ่าตัด ยังไม่รู้สถานการณ์”
สวีอีพยักหน้า “ท่านโสวฝู่กับพระยาชารัชทายาทต้องปลอดภัยแน่พ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าพยักหน้านิ่งๆ
เมื่อปล่อยผ้าม่านลง สวีอีก็ถอดถอนใจ
กับเรื่องทั้งหมด สวีอีแค่รู้ครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น เขาไม่รู้ว่าจะถามผู้ใดได้ ด้วยสมองของเขาเดาได้แค่สถานที่ที่พระชายารัชทายาทกับโสวฝู่ไป ต้องไม่ใช่สถานที่ในโลกนี้แน่ แต่จะเป็นสถานที่อย่างไรนั้นก็หารู้ไม่
เขารู้เพียงพระชายารัชทายาทกับท่านโสวฝู่กำลังเผชิญกับอุปสรรคครั้งใหญ่ในชีวิต หากผ่านพ้นไปได้ ทุกอย่างก็จะปลอดภัย
เวลานี้พวกเขาต้องเข้มแข็งตั้งมั่น จะเพิ่มความวุ่นวายให้กับสถานการณ์นี้ไม่ได้ ขอแค่รอคอยอย่างสงบ พวกเขาก็จะกลับมา
สวีอีคิดอยู่เงียบๆ ทันใดนั้นก็เช็ดดวงตา เบือนหน้าไป
แม่ทัพหลอเอ่ยถาม “เป็นอะไรไปหรือ?”
“เปล่า ลมกับทรายเข้าตา!” สวีอีกลั้นเสียงเอ่ย
เขาไม่กล้าคิดเลย แต่เขาก็มีความกังวลหนึ่ง นั่นคือหากพระชายารัชทายาทกลับมาไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไรดี?
เขาไม่กล้าเอ่ย บางคำพูดหากกล่าวออกมาแล้วก็จะรู้สึกเป็นอัปมงคล เกรงจะติดความอัปมงคลนี้ไปด้วย
ณ โรงพยาบาลประชาชนแห่งแรกเมืองก่วงในยุคปัจจุบัน
ขณะที่ไท่ซ่างหวงกับเซียวเหยากงกำลังศึกษาโทรทัศน์กับกินอาหารอยู่ เวลาก็ผ่านไปสองชั่วโมงกว่าแล้ว
โสวฝู่ที่ไปตรวจยังไม่กลับมา ไท่ซ่างหวงกับเซียวเหยากงเริ่มเป็นห่วง คนตัวจ้อยในโทรทัศน์กับคำพูดที่ฟางหวูหยอกไม่ดึงดูดอีกต่อไป พวกเขาเอาแต่มองด้านนอก แต่ก็ไม่เห็นโสวฝู่กลับมา
เขากระวนกระวายใจ มองฟางหวูเอ่ย “พวกเจ้าอย่าแอบเอาเข้าไปเปิดหัวนะ เราต้องเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนเขาด้วย เขาตัวคนเดียวไม่รู้เรื่อง ทั้งแก่ทั้งบอด เขาจะกลัวได้”
ฟางหวูหัวเราะกล่าว “วางใจเถอะ ต้องบอกคุณแน่ ต้องให้คุณอยู่เป็นเพื่อนด้วยแน่”
ไท่ซ่างหวงไม่ค่อยเชื่อเธอ มักรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มีเลศนัยอยู่นิดๆ เอาแต่ใช้สายตาแปลกๆ มองพวกเขา
ครู่หนึ่ง น้ำเสียงก็เกรี้ยวขึ้นเล็กน้อย “หากเจ้ากล้าหลอกข้า ข้าจะตัดคอเจ้า!”
ไท่ซ่างหวงรู้สึกต้องการให้เธอรู้ถึงความน่าเกรงขามของเขา ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีใครเชื่อคำพูดเขา หลังจากมาถึงที่นี่ เรื่องที่ทำให้เขารู้สึกหมองใจมากก็คือไม่มีใครเห็นเขาอยู่ในสายตา คนที่สวมชุดสีขาวเหล่านั้นมักแอบหัวเราะพวกเขาอยู่บ่อยๆ นี่ทำให้เขารู้สึกเสียหน้ามาก
“ไม่หลอกคุณหรอก ใครจะกล้าหลอกคุณ?” ฟางหวูปลอบ แต่กลับแอบยิ้มเจื่อนในใจ หากให้สองคนนั้นเข้าไปดูการผ่าสมองของโสวฝู่ ยังไม่ต้องพูดว่าพวกเขาจะตกใจมากหรือไม่ แต่แค่เห็นเลือดของโสวฝู่ ก็คงได้หักขาของหยวนชิงโจวแล้ว การฟังคนอื่นพูดกับการได้เห็นเองเป็นคนละเรื่องกัน
ไท่ซ่างหวงวางใจลงหน่อย ดูโทรทัศน์ต่อ
ฟางหวูรู้จักพวกเขาดี รู้ว่าปิดได้ไม่นาน ดังนั้นจึงแอบส่งข้อความให้ลู่หยางโทรหาตำรวจจราจรที่กำลังสอบถามอยู่ที่ห้องฉุกเฉิน ให้พวกเขารีบขึ้นมาสอบถามไท่ซ่างหวงกับเซียวเหยากง
ฟางหวูคิดไว้ไม่ผิด แพล็บเดียวไท่ซ่างหวงอดทนไม่ไหวจริงๆ หลังจากที่มองประตูและไม่เห็นโสวฝู่กลับมาเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว ในที่สุดก็เลิกผ้าห่มจะลงเตียง ฟางหวูถาม “มีอะไรเหรอคะ? จะไปไหน?”
“ข้าจะไปดูสักหน่อย ทำไมจึงตรวจนานเช่นนี้? ผ่านไปหนึ่งชั่วยามเศษแล้ว” ไท่ซ่างหวงเอ่ย
“อย่าร้อนใจไปค่ะ คงมีคนเยอะ ต้องต่อคิว!” ฟางหวูกดบ่าเขา
ไท่ซ่างหวงปัดมือเธอ ขมวดคิ้ว “ชายหญิงมิควรแตะเนื้อต้องตัวกัน เจ้าอย่ามาแตะต้องตัวข้า!”
ฟางหวูแค่นยิ้ม “ได้ค่ะ งั้นคุณก็นอนลงก่อน ฉันจะให้คนไปถาม”
“ไม่ต้อง ข้าจะไปเอง ข้ารู้ทาง” ไท่ซ่างหวงสวมรองเท้าจะเดิน
พอฟางหวูเห็นเขาจะเดินออกข้างนอกจริง ก็รีบขวางไว้ บีบให้ไท่ซ่างหวงถอยหลังก้าวหนึ่ง ไท่ซ่างหวงเกือบยืนไม่ติด เกิดโทสะ ถลึงตาโตและหน้าเปลี่ยนสีพลัน “ข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังถ่วงเวลา พูด! พวกเจ้าเอาเขาไปที่ไหนแล้ว?”
เดิมมือของเขาจะล็อกไหล่ของฟางหวู แต่พอนึกว่าเธอเป็นผู้หญิง ไม่เหมาะจะแตะต้อง จึงคว้าเอาเหยือกสีน้ำเงินที่วางอยู่บนเก้าอี้ประชันกับฟางหวู เอ่ยด้วยความเป็นศัตรู “หลีกไป!”
“อย่า…”
“หลีกไป!” ไท่ซ่างหวงตวาด
ทันใดนั้นประตูก็ถูกผลักเข้ามา ตำรวจจราจรสองนายเห็นสถานการณ์เช่นนี้แล้ว หนึ่งในนั้นจึงตวาดขึ้นพลัน “ทำอะไรน่ะ? คิดจะทำอะไร? วางกระบอกฉี่ลง!”
พวกเขาทั้งสองรีบเข้ามา คิดจะขวางไท่ซ่างหวง เซียวเหยากงเห็นการเคลื่อนไหวฉับพลันของพวกเขา ทั้งยังค่อนข้างเคร่งเครียดและเย็นชา จึงคิดว่าพวกเขาจทำร้ายไท่ซ่างหวง ทันใดนั้นก็ใช้ขาหนึ่งข้างกระทืบเตียงยกตัวขึ้น ไม่สนว่าขาข้างหนึ่งของตนกำลังใส่เฝือกอยู่ เมื่อยันตัวขึ้นได้แล้วก็ไถลไปด้านหน้า เท้าข้างหนึ่งเหยียบเก้าอี้ ส่วนเท้าที่มีเฝือกหนาอีกข้างก็ชี้ตำรวจจราจร เอ่ยด้วยโทสะ “ทำอะไร? คิดจะทำอะไร? ถอยไป!”
ไท่ซ่างหวงระแวดระวัง เซียวเหยากงเดือดดาล ตำรวจจราจรทั้งสองเต็มไปด้วยความงงงัน ฟางหวูจนใจ แต่กลับต้องชูมือทั้งสองขึ้น “หยุดทั้งคู่นั่นแหละ เข้าใจผิด เข้าใจผิดทั้งนั้น!”
“พวกเจ้าเป็นใคร?” เซียวเหยากงมองตำรวจจราจรด้วยความเป็นศัตรู
ฟางหวูอธิบาย “อย่าเพิ่งแตกตื่น อย่าเพิ่งใจร้อนค่ะ พวกเขาเป็นมือปราบ มาสอบถามพวกคุณ ก็สองคนนั้นใช้รถม้าชนพวกคุณ ชนแล้วหนี มือปราบต้องการจับพวกเขากลับมาจ่ายค่ารักษาและรับการลงโทษ แต่ตำรวจจราจรไม่เคยพบพวกเขา ต้องให้พวกคุณบรรยายบอกเล่าสักหน่อย เพราะงั้นฉันก็เลยห้ามไม่ให้พวกคุณออกไป พวกเขาต้องการมาคืนความเป็นธรรมให้พวกคุณนี่แหละ เชื่อฉันนะคะ โสวฝู่ไม่เป็นไร กำลังตรวจอยู่ เป็นการผ่าตัดใหญ่มาก ต้องตรวจทุกอย่างให้แน่ชัด ถึงมั่นใจว่าจะปลอดภัย พวกคุณก็อยากให้การผ่าตัดของเขาราบรื่นใช่ไหมคะ? ใช่ไหม?”
พอเธอพูดจบ ก็เห็นท่าทางทั้งสองกึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อ ดังนั้นจึงพูดเสริมอีก “อย่าทำให้พวกเขาลำบากใจเลยค่ะ พวกเขามาทำงาน ทำงานให้ทางการ ให้ราชสำนัก”
พูดได้ว่าฟางหวูรู้จักพวกเขาดีมาก คำพูดสุดท้ายนี้ทำให้ความเป็นศัตรูและเฝ้าระวังหายไป ทำงานให้ราชสำนักก็จงรักภักดีนะสิ ควรให้ความร่วมมือ