บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1403 ของขวัญนกฟีนิกซ์
ฟางหวูไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนัก อันที่จริงหลังจากปลูกถ่ายแล้วก็จะเกิดปัญหาเล็กน้อย เธอเคยคาดคิดไว้แล้ว พวกเด็กๆล้วนมีความสามารถในการรักษาตัวเองได้ เธอที่เป็นเจ้าของร่างเดิมจะไม่มีได้อย่างไรล่ะ?
“ความจริงผู้ที่ได้ฉีดยาก็คือเธอ ทำไมพวกเด็กถึงการถ่ายทอด?” ฟางหวูถาม เรื่องนี้เธอเคยคิดมาก่อน และมีคำอธิบายของตัวเอง อยากฟังคำอธิบายของหยางหรูไห่
“ไม่กี่ปีมานี้ เธอควบคุมร่างกายของหยวนชิงหลิงที่เป่ยถัง จากนั้นก็เปลี่ยนแปลงยีนของหยวนชิงหลิงที่เป่ยถัง ทำให้ร่างกายของหยวนชิงหลิงที่เป่ยถังเหมือนกับร่างกายของเธอ หลังจากเกิดการกลายพันธุ์ของยีนตัวเธอเองยังเรียบเรียงรหัสพันธุกรรมชุดหนึ่ง กำจัดโรคทั้งหมดที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน แต่เพราะว่ายังไงซะก็กั้นด้วยมิติเวลา ความสามารถของเธอมีขีดจำกัด ขณะเดียวกันที่รักษาร่างกายไว้ เธอก็ไม่สามารถกำจัดเซลล์สมองของหยวนชิงหลิงที่เป่ยถังทั้งหมดได้ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดสถานการณ์มันสมองเสื่อมโทรมและตาย สถานการณ์เช่นนี้หากเธอไม่ได้รับการปลูกถ่าย เธอจะอ่อนแอและตายไป ก่อนหน้านี้ที่เธอตั้งครรภ์ครั้งที่สอง หลังจากที่เด็กในท้องของเธอได้รับการถ่ายทอดพันธุกรรมจากที่เธอได้ฉีดยา ช่วยเหลือเธอได้มาก เพราะระหว่างกระบวนการพัฒนาสมองของเด็กในท้อง มีเซลล์ที่เลี้ยงสายสะดือป้อนกลับมาให้แม่ แต่นี่จำเป็นต้องใช้กระบวนการดูดซึม ฉะนั้นในตอนนั้นเธอจึงเคยหมดสติไป แต่หลังจากดูดซึมแล้ว ก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ถึงท้องที่สาม การเสื่อมสภาพและตายของสมองค่อนข้างรุนแรงแล้ว บวกกับที่นี่เกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้น นี่จึงทำให้ไม่สามารถทำต่อไปได้ การปลูกถ่ายเป็นเพียงวิธีเดียว”
แม้ว่าฟางหวูจะเป็นคนที่ทำวิจัยทางด้านนี้ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหยางหรูไห่ ก็ยังคงรู้สึกตกใจมาก
เธอหัวเราะเจื่อนๆเสียงหนึ่ง “ฉันยืนยันมาตลอด ว่าจุดสิ้นสุดของวิทยาศาสตร์คือเทพศาสตร์ ดูเหมือนว่า ฉันผิดไปแล้ว วิทยาศาสตร์ ก็คือวิทยาศาสตร์ ในอดีตสำหรับเรื่องราวและขอบเขตวิชาการที่มนุษย์ไม่รู้ ก็มักจะคิดว่านั่นคือขอบเขตของเทพเซียน ฉันก็ทำผิดพลาดเช่นนี้”
หยางหรูไห่ยิ้มเล็กน้อย “คำพูดนี้ ไม่แน่ก็อาจจะไม่ผิด”
“จะพูดอย่างไร?”
หยางหรูไห่โบกมือ “ไตร่ตรองเอง!”
ผู้เชี่ยวชาญพูดจา โดยปกติมักจะพูดถึงจุดหนึ่งแล้วหยุดลง ฟางหวูเข้าใจ จึงไม่ได้ถามอีก
เมื่อความสามารถของคนผู้หนึ่งมีขีดจำกัด รู้มากเกินไป จะรับไม่ไหว
หยวนชิงหลิงถูกเคลื่อนย้ายไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง บังเอิญว่า หูจิ่นหมิงสามีของหยางหรูไห่เป็นกรรมการของโรงพยาบาลแห่งนี้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องติดต่ออะไรนัก คนก็ส่งไปยังห้องผู้ป่วยชั้นบนสุดโดยตรง ที่นี่ไม่ใช่ห้องผู้ป่วยเฉพาะสำหรับผู้มีอำนาจใหญ่โตหรือคนรวย แต่เป็นห้องผู้ป่วยที่ป่วยเป็นกรณีพิเศษ
บางครั้งหยางหรูไห่ก็จะมาทำการรักษาผู้ป่วยที่โรงพยาบาลแห่งนี้
ฟางหวูจัดการให้คนของตระกูลหยวนและซาลาเปาเข้าเยี่ยม แต่ไม่สามารถเข้าไปได้ ทำได้เพียงมองผ่านกระจกเข้าไปด้านในเท่านั้น หยวนชิงหลิงยังไม่ฟื้น ทั้งตัวเสียบเต็มไปด้วยท่อ บวกกับคลุมผ้าห่ม แทบจะมองไม่เห็นใบหน้าของนาง
แต่ว่า รู้ว่าท่านแม่ไม่เป็นไร ซาลาเปาก็วางใจแล้ว
หมอบบนกระจก มองดูอยู่ครู่หนึ่งอย่างเหม่อลอย จึงหันหน้าไปพูดกับแม่ของหยวนชิงหลิง“คุณยาย ท่านแม่ไม่เป็นไร นางเข้มแข็งมาก”
แม่ของหยวนชิงหลิงกล่าวสะอึกสะอื้น“พูดถูก แม่ของเธอเข้มแข็งตั้งแต่เด็กๆ ไม่มีอะไรจะยากเกินความสามารถเธอได้”
ศาสตราจารย์หยวนถามฟางหวู “เมื่อไหร่เธอจะฟื้น?”
“คุณหมอหยางบอกว่าไม่ได้เร็วขนาดนั้น อันที่จริงหลังจากผ่าตัดแล้วนางเคยฟื้นมาก่อน แต่ตอนนี้เกี่ยวกับการใช้ยา จึงอยู่ในสภาวะหมดสติชั่วคราว ยังต้องควบคุมตรวจวัดสถิติอีกหน่อย ดูว่าจะควบคุมสถานการณ์การแบ่งแยกและการเกิดใหม่เซลล์สมองได้อย่างไร หยางหรูไห่ไม่ได้บอกว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่ฉันคาดเดาว่า ก็เป็นเรื่องสองสามวันนี้แล้วล่ะค่ะ”
“การผ่าตัดนี้ ยี่สิบชั่วโมงเต็มๆ ช่างทำให้คนตกใจกลัวจริงๆ” แม่ของหยวนชิงหลิงกล่าวอย่างปวดใจ
ซาลาเปาก็สงสารท่านแม่ กล่าว“รอท่านแม่ออกมาแล้ว พวกเราจะต้องปกป้องท่านแม่ให้ดีๆอย่างแน่นอน ท่านพ่อก็จะปกป้องท่านแม่เป็นอย่างดี”
ฟางหวูอุ้มซาลาเปา อมยิ้มแล้วกล่าว“กลัวเพียงแค่หลังจากนี้ที่อ่อนแอที่สุดในบ้านของพวกเธอ ก็คือท่านพ่อของเธอแล้ว”
ซาลาเปาตะลึง จากนั้นก็เข้าใจได้ทันที นัยน์ตาเกิดความสงสารเห็นอกเห็นใจขึ้นมาทันที “คำพูดนี้ไม่สามารถพูดกับท่านพ่อได้”
บรรยากาศเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขในพริบตา
ทุกคนล้วนหัวเราะเล็กน้อย จ้องมองไปยังคนที่นอนอยู่ด้านใน
คนผู้นั้น ก็นอนนิ่งๆอยู่เช่นนั้น ไร้ความฝัน และไร้ความคิด ยากที่จะสงบได้
ซาลาเปาอยู่ทางนี้เป็นครึ่งวันถึงจะกลับไป หลังจากกลับไปแล้ว หยู่เหวินเห้าก็พาพวกเขากลับไปที่จวนอ๋องฉู่
หยู่เหวินเห้ายังคงเฝ้าซาลาเปาไว้ รอจนหลังจากที่เขาฟื้นแล้ว ในที่สุดก็ได้ยินข่าวการผ่าตัดของยายหยวนที่ได้เสร็จสิ้นลง อีกทั้ง การผ่าตัดราบรื่นมาก
“ได้พูดคุยกับนางแล้วหรือไม่?” หยู่เหวินเห้าถามด้วยความร้อนใจ
“ยังไม่ฟื้นพ่ะย่ะค่ะ อีกสองสามวันจึงจะฟื้น การผ่าตัดใหญ่น่ะพ่ะย่ะค่ะ” ซาลาเปากล่าว
หยู่เหวินเห้าอดที่จะเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ “ยังต้องอีกสองสามวันจึงจะฟื้นได้หรือ? จะไม่เกิดปัญหาอะไรหรอกนะ?”
“ไม่เกิด ไม่เกิดพ่ะย่ะค่ะ!” ซาลาเปารีบปลอบใจ “ฟางหวูบอกว่า สถานการณ์ดีมากพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้ารู้ว่าไม่ควรกังวลใจไปเรื่อยเปื่อย ทางนั้นมีผู้เชี่ยวชาญฝีมือสูงส่งมากมายขนาดนั้น แต่ว่า ไม่ได้ยินข่าวว่านางฟื้นขึ้นมา ก็ไม่สามารถวางใจลงได้โดยสมบูรณ์
เพียงแต่ ก็ควรจะฮึกเหิมขึ้นมา ควรทำอะไรก็ทำอย่างนั้น ไม่เช่นนั้น ถึงตอนที่ยายหยวนกลับมาแล้วจริงๆ ก็วุ่นวายโกลาหลแล้ว
เขาจูงมือของซาลาเปาออกไป “ไป พวกเราไปดูน้องสาวกัน”
วันนี้เสี่ยวกวาจื่อเปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมตัวเล็กๆสีแดงสดใส ฮูหยินเหยาเป็นคนทำให้นาง สวยงามน่าดูเป็นพิเศษ ใบหน้าเล็กๆเหมือนหยกมันแพะเช่นนั้น ฝังเลี่ยมด้วยลูกตาดำดั่งเมล็ดองุ่นสองเม็ด กำหมัดทั้งสองข้างแน่น พ่นน้ำลายอยู่ในผ้าอ้อม แลบลิ้นสีชมพูออกมา
หยู่เหวินเห้าพบว่าระหว่างคิ้วของนาง จะมีรอยประทับแสงสีแดงเพลิงจางๆอย่างคาดไม่ถึง หากไม่ดูอย่างละเอียด ก็มองไม่ออกนัก ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่เคยพบมาก่อน วันนี้อาจเพราะเล่นเองจนบ้าไปแล้ว เลือดลมพลุ่งพล่าน จึงปรากฏรอยประทับแสงเพลิงจางๆนั่นออกมา
จนหยู่เหวินเห้าอุ้มนางขึ้นมา ตบเบาๆครู่หนึ่ง รอยประทับแสงเพลิงนั่นก็หายไปแล้ว ซาลาเปามองดูด้วยแล้วประหลาดใจ หัวเราะแล้วกล่าว“เสี่ยวกวาจื่อเปลี่ยนเป็นกวาจื่อไฟ แล้ว”
เขาเอื้อมมือไปหยิกแก้มน้อยๆของน้องสาว ขยับเข้าใกล้แล้วกล่าว“น้องสาว รีบๆโตไวๆ พี่ชายจะมอบเสือตัวโตให้เจ้า!”
“อะไร?”
“เสือ ข้าจะเอาเสือมอบให้น้องสาว”
“ของเจ้าไม่ใช่หมาป่าหิมะหรือ?”
“เอาของเจ้าแฝดมอบให้นาง” ใจกว้างใช้ของคนอื่นมาเป็นน้ำใจเป็นความเชี่ยวชาญของซาลาเปามาโดยตลอด
หยู่เหวินเห้าเพิ่งจะนึกขึ้นได้ เด็กๆทั้งห้าคนล้วนมีสัตว์ตัวน้อยเป็นเพื่อนข้างกายตัวเอง มีเพียงหลายฝูน้อยที่ไม่มี เขาควรจะไตร่ตรองที่จะให้นางเลี้ยงแมวน้อยสักตัวหรือไม่?
แต่ก็ขณะที่คิดเช่นนี้ ก็เห็นสวีอีวิ่งเข้ามาด้วยความดีอกดีใจ ในมือหิ้วกรงนกกรงหนึ่ง ทั้งใบหน้าเปี่ยมด้วยความประหลาดใจแล้วกล่าว“เมื่อครู่ องครักษ์ฟ้าผ่าผู้นั้นของอ๋องชินเฟิงอัน ส่งนกน้อยตัวนี้มาพ่ะย่ะค่ะ บอกว่าไทเฮาหลงแห่งแคว้นต้าโจวมอบนกฟีนิกซ์น้อยให้เสี่ยวกวากวาของพวกเรา เพียงแต่เจ้านี้ ดูแล้วไม่เหมือนนกฟีนิกซ์น่ะพ่ะย่ะค่ะ กลับเหมือนไก่งวงน้อยตัวหนึ่ง”
หยู่เหวินเห้าเหลือบมองไป เห็นเพียงนกสีแดงเพลิงตัวหนึ่งที่อยู่ในกรง สวีอีพูดถูก นอกจากสีแล้ว ลักษณะภายนอกก็เหมือนไก่จริงๆ ขากรรไกรเหมือนนกนางแอ่น ส่วนหลังนูนขึ้น ขนนกสั้นมาก เหมือนลูกเจี๊ยบที่ขนยังขึ้นไม่หมด และถึงกระทั่งไร้ชีวิตชีวา หากบอกว่าทั้งตัวไก่……นกมีส่วนใดที่โดดเด่น นั่นคือดวงตาที่สดใส ตาสองชั้นงดงามมาก นอกเหนือจากนั้น ไม่สามารถหาสิ่งที่น่ามองออกมาได้แล้วจริงๆ
อีกทั้ง ทั้งตัวล้วนเป็นสีแดงเพลิง แต่กลับเห็นส่วนหางมีสีเหลือง และเหลืองจนท่าทางเหมือนขาดสารอาหาร กลับเหมือนขนที่งอกเป็นปอยปะปนกัน ทำให้คุณลักษณะนกทั้งตัวลดลงเป็นอย่างมาก
ฉวยจับนกบนต้นไม้มาสักตัว ก็ล้วนดูดีกว่าเจ้านี่มาก
แม้กระทั่งไก่ที่เพิ่งเกิดก็น่ารักกว่ามันน่ะ อย่างน้อยไก่ที่เพิ่งเกิดก็เป็นสีเหลืองอ่อนทั้งตัว น่ารักมาก!