บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1404 ต้องบอกเขาหรือไม่
แต่อย่างไรก็เป็นของที่คนอื่นมอบให้ ก็ไม่สามารถรังเกียจว่าไม่สวยได้ จึงกล่าว“แขวนเลี้ยงไว้ใต้ระเบียง จับหนอนให้มันกินหน่อย”
สวีอีกล่าว“องครักษ์ฟ้าผ่านั่นบอกแล้วว่า ไม่กินหนอน ไม่อยู่บนสนามหญ้า ให้ปล่อยมัน มันจะหาต้นอู๋ถงเกาะ ประจวบเหมาะกับที่ในลานมีต้นอู๋ถงต้นหนึ่งพอดี จะปล่อยมันออกมาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
หยู่เหวินเห้ามองดูปีกนั่น น่าจะยังบินไม่ได้ จึงกล่าว“เช่นนั้นก็ได้ เจ้าก็ปล่อยเถอะ!”
สวีอีหิ้วกรงนกออกไป ตะโกนเสียงหนึ่ง พวกเด็กๆก็เข้ามามุง ต่างคนต่างพูดแสดงความคิดเห็นถกเถียงถึงรูปลักษณ์ของนกตัวนี้
“นี่คือนกฟีนิกซ์หรือ? น่าเกลียดจริงๆ!” ซาลาเปาพูดตรงๆ
“ยังสวยไม่เท่ากับไก่เลยน่ะ แต่ว่ากรงเล็บทั้งสองนั้นสวยมากจริงๆ” ข้าวเหนียวจ้องมองไปที่กรงเล็บนั่น กรงเล็บเป็นสีเหลืองทั้งหมด สีเหมือนกับหางเช่นนั้น ตัวเล็กแค่นี้ก็มีเกล็ดที่สวยงามแล้ว หลังจากปล่อยออกมาก็เกาะพื้นได้มั่นคงเป็นพิเศษ
“เดินได้ไหม? ลองเดินดู!” ทังหยวนผลักมัน แต่นกฟีนิกซ์น้อยนั่นไม่เดิน ก็อยู่ที่เดิม มองไปที่ศีรษะสองศีรษะด้านหน้าด้วยความฉงน
“เดินก็ไม่ได้หรอ น้องสาวไม่ชอบแน่ๆ โค้ก เอาเจ้าเสือน้อยของเจ้าให้น้องสาว” ซาลาเปาออกคำสั่ง
โค้กใจกว้างมาก “ให้น้องสาว ให้น้องสาว”
เซเว่นอัพกล่าว“ข้าก็ให้ ข้าก็เอาเจ้าเสือมอบให้น้องสาว”
ข้าวเหนียวก็พูด“หากน้องสาวชอบหมาป่าหิมะ ข้าก็เต็มใจเอาหมาป่าหิมะให้น้องสาว”
ซาลาเปาคิดแล้วคิดอีก “ข้าก็เต็มใจให้”
เขามองไปทางทังหยวน “เจ้าให้หรือไม่? พวกเราล้วนให้แล้ว ให้น้องสาวเลือกเอง เลือกอันไหนก็ไม่สามารถเสียใจได้”
หาได้ยากที่ทังหยวนจะใจกว้าง “เงินข้าก็ยอมให้ ไม่ต้องพูดถึงหมาป่าหิมะแล้ว”
น้องสาวก็คือของล้ำค่าในมือของพวกเขา เหมือนการเฝ้ารอดวงดาวเฝ้ารอดวงจันทร์เช่นนั้น ก็เฝ้ารอการมาถึงของน้องสาวที่เป็นดั่งหยกมาได้คนหนึ่งนี้ ต้องการอะไรจะไม่ยอมให้ได้ไงล่ะ?
หยู่เหวินเห้าอุ้มลูกสาวมองดูอยู่ที่ระเบียบ ปรากฏรอยยิ้มปลื้มใจออกมา ก้มหน้าลงเอาหน้าผากค้ำกับหน้าผากของลูกสาว “ดูสิ พวกพี่ชายดีต่อเจ้าเป็นอย่างมาก”
เสี่ยวกวาจื่ออยู่ในผ้าอ้อม หัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย
นกฟีนิกซ์น้อยที่อยู่บนพื้นไม่ขยับตัวนั้น หลังจากที่นางหัวเราะอย่างน่ารัก ก็กระพือปีกบินขึ้นมาทันที ลงมาด้านบนผ้าอ้อม หัวนกนางแอ่นค่อย ๆโน้มลงไปด้านล่าง และชนเข้ากับหน้าผากของเสี่ยวกวาจื่อ
หยู่เหวินเห้าประหลาดใจ “รู้จักเจ้านายเหมือนกันน่ะหรือ?”
ดูท่า ไม่ใช่สัตว์ตัวน้อยธรรมดาๆในสระน้ำจริงๆล่ะ
เขาเงยหน้าถามสวีอี “ฟ้าผ่าไปแล้วหรือ?”
“ขณะที่เขาเข้ามา เขาขออาหารกินมื้อหนึ่ง บอกว่าหิวแล้ว กินแล้วก็จะจากไปพ่ะย่ะค่ะ” สวีอีพูดพลาง ก็พูดอย่างอัดอั้นใจไปพลาง“ยังจะบอกให้ข้าให้เงินรางวัลอีก บอกว่าตลอดทางที่มา เหยียบย่ำจนรองเท้าขาดชำรุดแล้ว ข้าจึงให้เขาไปสองตำลึง เขาก็ไปที่ห้องครัวด้วยความดีใจร่าแล้ว ตอนนี้น่าจะยังไม่ไปพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปแล้ว!” ลู่หยาเข้ามาจากประตูโค้ง หน้าก็ซีดแล้ว “วันนี้เนื้อที่ห้องครัวของเราเตรียมไว้ ถูกเขาหอบไปหมดแล้วเพค่ะ ยังจะหยิบชามใบใหญ่ที่สวยงามเป็นพิเศษไปอีกสองสามใบ บอกว่าตอนที่เขาส่งนกฟีนิกซ์น้อยมาถึงที่พวกเรา บินขึ้นมาก็ทำชามแตกไปหลายใบ ให้พวกเราชดใช้น่ะเพคะ หลังจากที่ออกจากห้องครัว ก็วิ่งกลับมาเอาหม้อใบหนึ่งอีก บอกว่าเอาชามไปเช่นนี้ตกแตกได้ง่าย วางไว้ในหม้อก็มั่นคงแล้วเพคะ”
หยู่เหวินเห้ากระอักกระอ่วนใจ ถึงขั้นนี้เชียวหรือ? เสด็จปู่ใหญ่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่ยุติธรรมเช่นนี้เชียวหรือ? ของใช้กินข้าวก็ล้วนต้องหยิบติดมือไปด้วย
ทังหยางก็เดินเข้ามาด้วย กล่าวอย่างจนปัญญา“นี่ยังถือว่าไม่เท่าไหร่? ขณะที่ไปถึงเรือนหลัก มีเก้าอี้สองตัววางไว้ในลาน ขาดขาไปข้างหนึ่ง ข้าคิดว่าค่ำหน่อยมีเวลาจะซ่อมสักหน่อย เขาหยิบไม้คานอันหนึ่งเอาเก้าอี้สองตัวแบกขึ้นไหล่ก็จากไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อ๋องชินเฟิงอันยากจนขนาดนี้เชียวหรือพ่ะย่ะค่ะ?” สวีอีไม่เข้าใจ “ข้าได้ยินมาว่าพวกเขามีที่ดินพระราชทานและทำการค้า อีกทั้งยังมีเซียวเหยากงและท่านชายสี่ที่ร่ำรวยขนาดนั้นเป็นลูกศิษย์ การใช้ชีวิตคงไม่ถึงขั้นไม่ลำบากตรากตรำขนาดนี้หรอกนะพ่ะย่ะค่ะ?”
“เช่นนั้นก็ไม่รู้ ต้องถามแม่นมสี่แล้ว” ทังหยางกล่าว
ลู่หยาหันกลับก็ไปเชิญแม่นมสี่เข้ามา
หลังจากที่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามไปที่ยุคปัจจุบันกับหยวนชิงหลิง แม่นมสี่ก็กลับมาดูแลเด็กๆที่จวนอ๋องฉู่ แม้ว่านางจะเป็นห่วงพวกเขา แต่คิดว่าเป็นการรักษาอาการป่วย และเป็นอาจารย์ของพระชายารัชทายาท นางมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมต่อพระชายารัชทายาท จึงไม่ได้มีรู้สึกว่ามีอันตรายใดๆ
ได้ยินว่าถามถึงเรื่องของอ๋องชินเฟิงอันพวกเขา แม่นมสี่ก็หัวเราะแล้วกล่าว“หอจัยซิงในอดีตยากจน แต่หลังจากที่ได้แต่งตั้งพระราชทาน มีที่นา พระชายาก็ทำการค้า ต่อมาได้มรดกของฮูหยินฟางเฟย ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นมาก ที่น่าเสียดายคือ หลังจากที่ฮ่องเต้ฮุยจงเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว พวกเขาก็บอกว่าจะออกจากเมืองหลวงไป หลังจากนี้จะไม่กลับมาแล้ว จึงได้เอาเงินและทรัพย์สินในมือทั้งหมดมอบออกไปแล้ว ข้ายังจำได้ ตอนนั้นพระชายาตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุด ยืนอยู่ในลานบ้านบอกว่าในที่สุดก็สามารถออกจากที่นี่ได้แล้ว ไม่ต้องกลับมาอีก สิ่งของในหอจัยซิงถูกทุบมั่วซั่วไปหมด ทุบจนแตกกระเจิง ทุบจนเรียกว่าปีติยินดี ทว่า หลังจากพวกเขาจากไปหนึ่งปี ไม่รู้ว่าทำไมจึงได้กลับมาอีก แต่ไม่ได้มารวมตัวกับพวกเรานานนัก เพียงแค่ไปเก็บข้าวของในหอจัยซิง ซ่อมแซมโต๊ะเก้าอี้ที่ชำรุดให้ดีแล้วลากออกไป หลังจากนั้นก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีกเป็นเวลานาน จนกระทั่งฮ่องเต้ฮุยจงสิ้นพระชนม์ ไท่ซ่างหวงขึ้นครองราชย์พวกเขาจึงกลับมา”
สวีอีกล่าวด้วยความประหลาดใจ“พูดแล้วว่าไม่กลับมา สุดท้ายก็กลับมาอีก? นี่ฟังขึ้นมาแล้ว ทำไมถึงมีความรู้สึกว่าเดิมทีจะต้องร่ำรวยใหญ่โตแล้ว ทุบของในบ้านทั้งหมดมั่วซั่วไปหมด สุดท้ายไม่ได้ร่ำรวยใหญ่โต ยังต้องกลับมาทนกับความยากจนอีก?”
“นั่นก็ไม่รู้แล้ว เรื่องของพวกเขา ลึกลับมาโดยตลอด หลังจากนั้นมาแม้ไท่ซ่างหวงพวกเขาก็ไม่ได้ติดต่อแล้ว ไท่ซ่างหวงโกรธพวกเขามาโดยตลอด” แม่นมสี่กล่าว
ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าพวกเขาผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้างกันแน่ แต่ฟังแล้วก็รู้สึกค่อนข้างสิ้นหวัง ก็คือคนอายุถึงปูนนี้แล้ว ยังต้องอัตคัดขัดสนขนาดนี้ จะไม่ใช่การสะท้อนความจริงว่ามีชีวิตโดยไม่มีเงินได้อย่างไร?
ทั้งสี่ห้าคนเห็นอกเห็นใจอ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยาขึ้นมารอบหนึ่ง
แต่ฟ้าผ่าแบกสิ่งของกลับถึงหมู่ตึกเหมย เหนื่อยมาก ตักน้ำเข้าปากก็ดื่มอึกๆๆ แล้วบอกให้คนเก็บของเข้าไป
อ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยานั่งอยู่ในลานบ้าน หลังจากที่พวกเขากลับมาจากทะเลสาบจิ้ง ก็ไม่ได้เหยียบออกจากบ้านอีก เสพสุขกับอ้อมกอดของดอกไม้ที่เต็มไปทั้งภูเขาในช่วงฤดูหนาว
ในมือของชายาเฟิงอันอุ้มแมวตัวหนึ่งไว้ ลูบหัวของแมว ฉับพลันนั้นก็เอียงหน้าเข้าไปถาม“ถูกแล้ว ตอนนี้เจ้าหกไปถึงทางนั้นแล้ว ควรให้เขารู้เรื่องของท่านพ่อสามีแล้วหรือไม่? อย่างไรเสีย ในความคิดของเขา หลังจากที่ท่านพ่อสามีเสียชีวิตก็ยังถูกคนขุดศพออกมาเฆี่ยนตี ช่างโหดเหี้ยมไปหน่อยจริงๆ เป็นลูกชายก็รับไม่ไหวน่ะ”
ราวกับว่าอ๋องชินเฟิงอันเพิ่งจะนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ “อันนี้หรือ ดูวาสนาเถอะ หากว่ามีวาสนาจริง เดินบนถนนใหญ่ก็สามารถพบเจอได้ หากไร้วาสนา มีคนจัดการ ก็ไม่แน่ว่าจะพบเจอได้”
“ทำไมถึงเอาความเกียจคร้านพูดจนเต็มไปด้วยปริศนาธรรมเช่นนั้น? ท่านก็แค่ไม่อยากยุ่งยากมากมาย แต่พ่อลูกเขาควรได้พบหน้ากันสักครั้ง” ชายาเฟิงอันตำหนิเขาโดยตรง
ดวงตารูปหงส์เรียวยาวของอ๋องชินเฟิงอันเหลือบขึ้น “เจ้ามักจะเข้าใจข้าเป็นอย่างมากเสมอ ก็ดูเอาเถอะ รอให้พวกเขาต่างคนต่างปลอดภัยก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ชะงักครู่หนึ่ง เขากล่าวต่ออีกว่า“อันที่จริงแล้ว การพบหรือไม่พบ ก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ต่างคนต่างอยู่อย่างสงบก็พอ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกนี้ ปลงตกไปนานแล้ว หากได้พบกันอีก ก็ย่อมขาดไม่ได้ที่จะยังมีความเป็นห่วง เจ้าหกกลับมาก็ไม่สามารถวางใจได้”
ชายาเฟิงอันกล่าว“ตามใจท่านเถอะ ข้าก็ไม่ค่อยอยากไปสนใจเรื่องพวกนี้นัก”
อ๋องชินเฟิงอันเอียงศีรษะ มีการครุ่นคิด