บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1407 คลายความสงสัย
“เจ้า…….” ไท่ซ่างหวงจ้องมองนาง ยังแทบจะคิดว่าตัวเองตาลาย ขยี้ตา แต่กลับเห็นหยวนชิงหลิงผลักประตูเข้ามาแล้ว เขายืนขึ้นทันที และก็นั่งลงไปอีกทันที รอยยิ้มแห่งความดีใจและแปลกใจย้อมขึ้นไปที่มุมปากเช่นนี้แล้ว
“โอ้ พระชายารัชทายาท? ท่านไม่เป็นไรแล้ว?” เซียวเหยากงก็เห็นแล้ว เคลื่อนสายตาจากโทรทัศน์แล้วชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง และก็จ้องมองโทรทัศน์ต่อ
โสวฝู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ปริยิ้มออก “พระชายารัชทายาทกลับมาแล้ว!”
โสวฝู่ผ่าตัดเสร็จสิ้นสองสามวันมานี้ มีการพัฒนาดีขึ้นมาก แม้ว่าจะยังพันศีรษะไว้ แต่ทั้งคนดูแล้วก็มีชีวิตชีวามาก
ด้านนอกไม่มีคน หยวนชิงหลิงก็โน้มตัวทำความเคารพต่อพวกเขาตามระเบียบประเพณี เมื่อเห็นมารยาทการปฏิบัติเช่นนี้ ทั้งสามก็มีความรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก
ไท่ซ่างหวงดึงนางนั่งลง จ้องมองนาง โทรทัศน์ก็ไม่ดึงดูดแล้ว มองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง จึงถามขึ้นว่า“หายแล้วหรือ?”
“เพคะ ไม่เป็นไรแล้ว” หยวนชิงหลิงมองดูเขา ความรู้สึกนับร้อยผสมปนเปกัน ทิ้งพวกเขาไว้สองสามวันมานี้ รู้สึกผิดจริงๆ
ดวงตาของไท่ซ่างหวงเปล่งประกาย “หายแล้วก็พอแล้ว”
โสวฝู่ใช้ข้อศอกค้ำไว้แล้วเงยหน้าขึ้นอีกเล็กน้อย มองดูนาง รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย “พระชายารัชทายาท ท่านหาหมอคนไหนมาทำการผ่าตัดให้หรือ? ทำไมท่านจึงสามารถหายได้รวดเร็วเพียงนี้? ข้านี่ยังต้องใช้เวลาอีกสองสามวันจึงจะสามารถเดินได้น่ะ อีกทั้งยังบอกว่าหลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว ยังจำเป็นต้องพักฟื้นและบำรุงอีกเป็นเวลานาน”
หยวนชิงหลิงยิ้มแล้วกล่าว“นั่นเป็นเพราะอายุของท่านมากกว่าข้า สุขภาพร่างกายไม่ได้แข็งแรงเท่าข้า รอจนท่านออกจากโรงพยาบาลแล้ว ต้องบำรุงร่างกายให้ดี ออกกำลังกายหน่อยจึงจะได้”
“ใช่แล้ว เคราะห์ใหญ่ครั้งนี้ไม่ตาย ตามหลักก็สมควรที่จะทะนุถนอมร่างกายให้ดี สามารถอยู่ร่วมกับคนที่ใส่ใจกันได้วันหนึ่ง ก็เป็นความโชคดีอีกวันหนึ่ง” หายได้ยากที่โสวฝู่มีคารมปลุกใจได้สักครั้ง
ทีแรกเซียวเหยากงกำลังดูโทรทัศน์อยู่ ได้ยินคำพูดนี้ก็หันกลับมามองเขาแวบหนึ่ง กล่าวว่า“คำพูดนี้เจ้าพูดซะจน เหมือนว่าชาติหน้าพวกเราจะไม่ได้พบเจอกันอีกเช่นนั้นรึ? ชาตินี้ไม่ว่าใครไปก่อน ชาติหน้าก็ต้องอยู่ด้วยกัน”
ไท่ซ่างหวงพยักหน้าอย่างแรง “ครั้งนี้น้องสิบแปดพูดถูก”
แม้แต่ไท่ซ่างหวงก็พูดประโยคนี้อย่างจริงจัง ดูท่าคงเป็นเพราะดูละครมากไปแล้ว ปลุกอารมณ์คนขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ
“พระชายารัชทายาท สมองของท่านยังเจ็บปวดอีกหรือไม่?” โสวฝู่ถามด้วยความเป็นห่วง ท่าทางเหมือนคนประสบเคราะห์กรรมเหมือนกัน ตั้งใจจะถ่ายทอดประสบการณ์ให้หน่อย “หากว่าศีรษะยังรู้สึกเจ็บอยู่ เวลาท่านนอนหนุนหมอน ก็ใช้หมอนที่นุ่มๆสักหน่อย เคลื่อนตำแหน่งของบาดแผลออกไปเล็กน้อย อย่าให้โดนหมอน”
หยวนชิงหลิงนั่งบนเตียงด้านข้าง อมยิ้มมองดูท่านผู้เฒ่าด้วยความสงสาร “ไม่เจ็บแล้ว อาการบาดแผลของข้าฟื้นฟูสู่สภาพเดิมค่อนข้างดี”
“ท่านถอดหมวกออกดูรอยแผลเป็นหน่อย?” เซียวเหยากงกล่าว
ไท่ซ่างหวงตำหนิทันที “ห้าม ห้ามถอดออก เจอลมเย็นแล้วหลังจากนี้จะปวดหัวง่าย ปิดให้ดี คลุมให้มิดชิด ควรคลุมด้วยเสื้อคลุม เสื้อผ้าของที่นี่ก็คือไม่ดี คับมาก ไม่ค่อยสบายตัว เจ้าควรเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าของพวกเราทางนั้น”
หยวนชิงหลิงยื่นมือเข้าไป จับหลังมือของไท่ซ่างหวงเบาๆ “ข้าไม่เป็นไรเพคะ หายดีแล้ว ข้ากับโสวฝู่ไม่เหมือนกัน บาดแผลเล็กมาก ใหญ่เพียงแค่เล็บนิ้วมือเท่านั้นเพคะ”
แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ใช่คนที่ละเอียดลออใส่ใจในการใช้ชีวิต แต่ว่า ตลอดมานี้ก็มักจะเหมือนคุณปู่แท้ๆเช่นนั้น มีความห่วงใยใส่ใจนางทุกอย่างมากๆ มากกว่าปฏิบัติต่อตัวเองซะอีก
“พระชายารัชทายาท จะว่าไปที่นี่คือไหนกันแน่? ตาแก่นั่นบอกว่าเป็นพ่อแท้ๆของท่าน นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? สมองเขาไม่ดีใช่หรือไม่?” เซียวเหยากงถาม
“ตาแก่?” หยวนชิงหลิงมองดูผมขาวๆของเขา พูดถึงคุณพ่อหรือ?
“ใช่แล้ว ก็คือตาแก่ชุดขาวคนนั้น วันนั้นเข้ามาพูดคุยกับพวกเราบลาๆๆมากมาย แต่ไม่ได้พูดให้เข้าใจ พวกเราเห็นว่าเขาพูดไม่เข้าใจแล้วจริงๆ ก็ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ ยังไงซะท่านก็จะอธิบายให้พวกเราเข้าใจได้” เซียวเหยากงเอนตัวพิงข้างกายของโสวฝู่ เท้าก็ยังคงไม่สะดวกนัก จึงเตะผ้าห่มผืนหนึ่งเข้าไปรองจึงสบายขึ้นเล็กน้อย ท่าทางของนายท่านใหญ่เซียวเหยาก็ออกมา
เซียวเหยากงถามคำนี้ออกไป ทุกคนก็ล้วนมองไปที่หยวนชิงหลิงแล้ว
หยวนชิงหลิงหัวเราะ กล่าว“พวกท่านรอก่อน ข้าไปถามดูว่าเอารถเข็นมาได้หรือไม่ เข็นโสวฝู่ลงไปรับแดด พวกเราไปคุยกันด้านนอก”
“ในที่สุดก็สามารถออกไปได้แล้ว!” เซียวเหยากงยืดเส้นยืดสาย ดีใจเป็นอย่างมาก “อุดอู้ต่อไปเช่นนี้ ข้าต้องป่วยเป็นแน่!”
หยวนชิงหลิงหัวเราะแล้วออกไปหาพี่ชาย พี่ชายของหยวนชิงหลิงบอกว่าสามารถพาลงไปได้ แต่ไปนานไม่ได้ นางไปจึงหาพยาบาล ให้พยาบาลเข็นรถเข็นมาสองตัว
สองสามคนช่วยเคลื่อนย้ายเซียวเหยากงขึ้นไปบนรถเข็น และพยุงโสวฝู่ลงจากเตียง นั่งบนรถเข็น
ไท่ซ่างหวงเข็นเซียวเหยากง หยวนชิงหลิงเข็นโสวฝู่ สองคนสองรถเข็นเดินออกไปจากห้องผู้ป่วย ไปทางประตูลิฟต์
“อันนี้ข้ารู้ เวลานั้นพวกเราก็ถูกให้นอนแล้วก็ส่งขึ้นมาเช่นนี้” เซียวเหยากงรีบพูด
หลังจากที่หยวนชิงหลิงกดลิฟต์แล้ว ก็เข็นพวกเขาเข้าไป ยิ้มแล้วกล่าวอธิบาย“สิ่งนี้เรียกว่าลิฟต์ สามารถทำให้ผู้คนไม่ต้องเดินลงบันได สามารถลงจากชั้นที่ยี่สิบกว่าไปถึงชั้นหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว สะดวกมาก”
“ลิฟต์?” ทั้งสามคนไม่เข้าใจ อยู่ต่อหน้าหยวนชิงหลิงก็ไม่ต้องแสร้งทำเป็นเข้าใจ จึงรอให้นางคลายความสงสัย
“ลิฟต์และโทรทัศน์ที่พวกท่านดูอยู่ในห้องผู้ป่วย กระทั่งสิ่งของมากมายที่ใช้ในชีวิตประจำวันของพวกเรา เช่นหุงข้าว ต้มน้ำ อาบน้ำ ทำงาน ล้วนขาดไฟฟ้าไม่ได้ นี่คือการค้นพบ เป่ยถังของพวกเราไม่มี แต่รอจนหลายร้อยปีหลังจากที่เป่ยถังพัฒนาแล้ว ก็จะเหมือนกับที่นี่ ทุกหนทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยผลความสำเร็จของอารยธรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”
“หลายร้อยปีให้หลัง?” ไท่ซ่างหวงตะลึงงัน “ความหมายที่เจ้าจะบอกคือ ที่นี่คือเป่ยถังในหลายร้อยปีให้หลัง? ที่นี่คืออนาคตหรือ?”
“ที่นี่คืออนาคตเพคะ!” หยวนชิงหลิงส่งสายตาชื่นชมไปให้ไท่ซ่างหวง ลิฟต์ถึงแล้ว นางให้ไท่ซ่างหวงเข็นเซียวเหยากงออกไปก่อน นางกดลิฟต์ไว้ รอพวกเขาออกไปแล้วค่อยเข็นโสวฝู่ออกไป
ถึงชั้นหนึ่งแล้ว คนที่โรงพยาบาลมากมาย ไม่เหมาะที่จะพูดคุย หยวนชิงหลิงนำทางอยู่ด้านหน้า ไท่ซ่างหวงเดินตาม ทะลุผ่านฝูงชน ออกไปจากทางรถเข็นของโรงพยาบาล ถึงในสวนดอกไม้ สวนดอกไม้หันไปทางถนนด้านนอกพอดี สามารถมองเห็นรถและผู้คนมากมายสัญจรไปมา
พวกเขานั่งลงบนเก้าอี้ หยวนชิงหลิงชี้ไปทางด้านนอก บอกให้พวกเขาดู “รถยนต์เหล่านี้ มาแทนที่รถม้าในอดีต ไม่จำเป็นต้องใช้ม้าลากรถแล้ว ด้านเสื้อผ้าอาหารที่อยู่อาศัย ก็มีการพัฒนาอย่างยิ่งใหญ่ ก็เทียบได้กับในอดีตที่นานมากๆ เขียนหนังสือต้องใช้ไม้ไผ่ หลังจากนั้นก็ค้นพบแผ่นกระดาษ มนุษย์พัฒนาขึ้นทีละน้อยๆ”
“อนาคต……ก็คือเช่นนี้? เช่นนั้นเป่ยถังล่ะ? เป่ยถังอยู่ที่ไหน?” ไท่ซ่างหวงใจหวิวเล็กน้อย
“เป่ยถังยังอยู่เพคะ แต่ไม่ใช่ที่นี่ พวกเราก็ไปไม่ถึง พวกเราทำได้เพียงแค่กลับไปเป่ยถังในยุคสมัยนั้นของพวกเรา” หยวนชิงหลิงไม่รู้ว่ามิติเวลานี้หลังจากหลายร้อยปีมาแล้ว เป่ยถังยังจะคงอยู่หรือไม่ แต่คำพูดนี้ไม่สามารถพูดกลับสามผู้ยิ่งใหญ่ได้ กระทบกระเทือนใจหนักมาก แม้ว่าพวกเขาจะเข้าใจกฎเกณฑ์การแทนที่ของยุคสมัย แต่เป่ยถังเป็นเลือดเนื้อจิตใจทั้งชีวิตของพวกเขา
“ด้วยเหตุนี้ ที่นี่ก็คืออนาคตของประเทศอีกประเทศหนึ่ง” โสวฝู่กล่าว ฉับพลันนั้นก็มีแนวคิดความเข้าใจถึงมิติเวลาบ้างแล้ว “หรือพูดอย่างอีกว่า ที่นี่คือมิติเวลาอีกมิติหนึ่ง มิติเวลานั่นก็คือประเทศที่เดินออกมาจากเป่ยถังทีละก้าวๆเช่นนั้น”
“ถูกต้อง เป็นเช่นนี้!” หยวนชิงหลิงก็รู้ว่าโสวฝู่จะเข้าใจได้เร็วกว่าหน่อย
“เทคโนโลยีของที่นี่พัฒนาอย่างรวดเร็ว มีคนจำนวนมากที่จดจ่อกับการแก้ปัญหาเรื่องความสะดวกของเสื้อผ้าอาหารที่พักและการเดินทาง หลายคนมุ่งเน้นไปที่การค้นคว้าพัฒนายา หวังว่าจะสามารถปรับปรุงอายุขัยหรือสติปัญญาของมนุษย์ได้ ที่นี่ ก็ต้องพูดถึงเรื่องราวของข้าแล้ว”