บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1422 เจ้าเป็นใคร
หากเป็นคนอื่น ไท่ซ่างหวงไม่มีทางเอากล้องสูบบุหรี่ออกมาแน่ แต่คนตรงหน้าสองคนนี้ เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ความหวั่นเกรงที่รู้สึกต่อสองคนนี้ ทำให้เขายินยอมที่จะเอากล้องสูบบุหรี่ออกมา
กล้องสูบบุหรี่ลายมังกรทองถูกส่งมาตรงหน้านายท่านสาม นายท่านสามไม่ดูเอง ยื่นให้กับนายท่านใหญ่ด้วยสองมือ นายท่านใหญ่หยิบมาดู มองพิจารณาสักพัก แล้วยื่นให้นายท่านสามดู
นายท่านสามหมุนดูกล้องสูบบุหรี่ มองดูลายมังกรแกะสลักบนกล้องสูบบุหรี่ นับหนวดบนหัวมังกร ท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเงยหน้าขึ้นมามองดูไท่ซ่างหวง พร้อมพูดขึ้นว่า “คุณมีชื่อเรียกว่าอะไร?”
โสวฝู่เงยหน้าขึ้นมาในทันที อยากตะโกนด่าว่าบังอาจ แต่มองเห็นสายตาของนายท่านสาม สองคำนี้จึงถูกกลืนกลับไป
ไท่ซ่างหวงไม่พูดอะไร ในใจรู้สึกแปลกประหลาด
แล้วก็ได้ยินนายท่านสามพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “หยู่เหวินหู้?”
ไท่ซ่างหวงสั่นเทาไปทั้งตัว จ้องมองดูนายท่านสามอย่างไม่กะพริบตา สีหน้าตกใจอย่างไม่อยากเชื่อ ทันใดนั้นสมองที่เกือบจะระเบิดประกอบขึ้นเป็นละครที่บิดเบือนและแปลกประหลาดของความขมขื่นที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่ในที่สุดก็เกิดขึ้น
สักพัก ไท่ซ่างหวงพูดขึ้นด้วยสีหน้าแดงว่า “เจ้า…เจ้าคือน้องชายของข้า?”
สิ่งที่คาดเดานี้ไม่ผิด เสด็จพ่อเคยเหลวไหลอยู่ด้านนอก แล้วมีลูกชายคนหนึ่ง ไม่กล้าพากลับไปที่จวน จึงแอบซ่อนเลี้ยงไว้ข้างนอก แล้วมาที่นี่โดยบังเอิญ….ไม่เช่นนั้น ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงเหมือนเสด็จพ่อขนาดนี้ ยังรู้จักชื่อของเขา
ไท่ซ่างหวงสับสน จะยอมรับความจริงดีไหม
กล้องสูบบุหรี่ลายมังกรทอง ลอยเหนืออากาศ พร้อมเสียงโกรธจัดของนายท่านสาม ตะคอกพูดขึ้นว่า “เจ้าบังอาจ”
เซียวเหยากงเอื้อมมือรับกล้องสูบบุหรี่นั้นไว้ และก็พูดขึ้นอย่างโมโหว่า “เจ้าบังอาจ”
ทันใดนั้นก็ขวางอยู่ตรงด้านหน้าไท่ซ่างหวงอย่างดุร้าย ปกป้องเขาไว้ด้านหลัง
ประธานหยูกับหยวนชิงหลิงสองพ่อลูกที่อยู่ด้วยต่างอึ้งตะลึง ทำไมจู่ๆถึงสู้กันขึ้นมาล่ะ?
นายท่านใหญ่ลุกขึ้นมา ยกมือประสานให้ประธานหยู พร้อมพูดขึ้นว่า “ประธานหยู คุณกับศาสตราจารย์หยวนกลับไปก่อน พวกเราขอคุยกับ…..เพื่อนทั้งสามท่านนี้ก่อน”
ประธานหยูอึ้งพร้อมพูดขึ้นว่า “คือ….” นี่ไม่เป็นการเหมาะสมมั้ง? คนที่เขาพามา จะทิ้งไว้แบบนี้ได้ยังไง? และดูเหมือนจะต่อสู้กันอีก
เขายังพูดไม่เสร็จ หยวนชิงหลิงก็พูดขึ้นว่า “ประธานหยู เรากลับกันก่อนเถอะ”
คำว่าหยู่เหวินหู้ ทำให้หยวนชิงหลิงพอเดารู้อะไรบ้างแล้ว ระหว่างพวกเขา ไม่มีเรื่องเลวร้ายอะไรแน่ และก็ไม่มีทางสู้กัน
เพียงแต่สองท่านนี้เป็นใครกันแน่? ทำไมแค่มองก็รู้ว่าไท่ซ่างหวงเป็นใคร?
ดูปฏิกิริยาของนายท่านสามคนนั้น น่าจะมั่นใจได้ว่าไม่ใช่น้องชายของไท่ซ่างหวง แน่นอน เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไท่ซ่างหวงถึงคิดว่าเขาเป็นน้องชาย
ทั้งสามคนออกไปพร้อมความครุ่นคิด ประตูที่ดูเหมือนโบราณนี้ กลับเป็นประตูรีโมทไฟฟ้า หลังจากพวกเขาออกไปแล้ว ประตูก็ค่อยๆปิดลง
ไท่ซ่างหวงพยายามยื่นหัวผ่านหัวเซียวเหยากงมามองนายท่านสาม นายท่านสามเหมือนยังโกรธจัดอยู่
แต่ไท่ซ่างหวงกลับมึนงง
นายท่านใหญ่ถอนหายใจเบาๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าหก ทำไมเห็นเสด็จพ่อแล้ว ถึงยังไม่ทักทาย?”
ไท่ซ่างหวงพูดขึ้นอย่างโกรธจัดว่า “เหลวไหล”
“ลูกทรพี” นายท่านสามคนนั้นลุกขึ้นมา เดินไปเอื้อมมือผลักคอเซียวเหยากง อยากผลักเขาหลีก กลับคิดไม่ถึง เมื่อออกแรง เซียวเหยากงกลับนิ่งเฉยไม่ขยับเขยื้อน แค่มองดูเขาตรงๆ
นายท่านสามทำตัวไม่ถูก และก็ค่อนข้างโกรธจัด พร้อมพูดขึ้นว่า “น้องสิบแปด หลีกไป”
คำว่าน้องสิบแปด ทำให้เซียวเหยากงอึ้งตะลึง จ้องมองดูนายท่านสาม พร้อมพูดขึ้นว่า “ฮ่องเต้ฮุยจง?”
โสวฝู่จับแขนไท่ซ่างหวงไว้ หรี่ลงมองดู แล้วก็รีบคุกเข่าพร้อมพูดขึ้นว่า “ถวายบังคมองค์ชายรัชทายาทเจี้ยนจง ถวายบังคมฮ่องเต้ฮุยจง”
โสวฝู่พูดประโยค ทำให้เซียวเหยากงกับไท่ซ่างหวงเข่าอ่อนทรุดลง แล้วคุกเข่าลงบนพื้น
มองผ่านไปอย่างรวดเร็ว นายท่านสามจ้องมองดูเขา สายตาอ่อนโยนลงมาก ไท่ซ่างหวงน้ำตาไหลพรากๆ
พระศพของฮ่องเต้ฮุยจงถูกขโมย พระศพถูกเหยียดหยาม เป็นเรื่องเศร้าที่สุดในชีวิตของเขา และก็เป็นสิ่งที่ไม่กตัญญูที่สุดของเขา หลังจากผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว เขาไม่เคยพูดถึงอีก ทุกคนต่างก็เงียบ แต่หลับฝันตอนกลางคืน มักจะฝันเห็นเสด็จพ่อตำหนิเขา โทษเขาอย่างทุกข์ทรมาน เขาไปทำศึกตอนช่วงบั้นปลายของชีวิต เคยมีความหวาดกลัว กลัวตายไปแล้วก็ไม่กล้าสู้หน้าเสด็จพ่อ
ไม่เคยคิดเลยว่า เขายังไม่ตาย เขายังมีชีวิตอยู่
ระหว่างความทุกข์กับความยินดี ไท่ซ่างหวงรู้สึกเหมือนหมอกมืดที่ปกคลุมภายในใจค่อยๆจางหายไป เมื่อเงยหัวขึ้นมาอีกครั้ง น้ำตานองหน้า กลับรู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก ที่มาแห่งชีวิตยังคงอยู่ ยังสถิตอยู่อีกยาวไกล
เซียวเหยากงก็ร้องห่มร้องไห้ นอนร้องไห้อยู่บนพื้น เหมือนอย่างกับเด็กตัวหนัก90โล
โสวฝู่ก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ร้องไห้ฟูมฟาย ฮ่องเต้ฮุยจงยังมีชีวิตอยู่ งั้นไท่ซ่างหวงก็จะได้มีความสุข ความอัปยศอดสูเรื่องที่พระศพถูกขโมยไม่เคยเกิดขึ้น
คำพูดมากมาย ถึงแม้ไท่ซ่างหวงไม่พูด แต่ในใจเขาเจ็บปวด ทุกคนต่างก็รู้
นายท่านสามก็น้ำตาไหล ตีหัวไท่ซ่างหวงพร้อมพูดขึ้นว่า “ลุกขึ้นมา ลุกขึ้นมาคุยกัน”
เสียงร้องไห้ไท่ซ่างหวงยิ่งอยู่ก็ยิ่งเจ็บปวด พร้อมพูดขึ้นว่า “ลูกอกตัญญู ที่ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อยังมีชีวิตอยู่ ยังคิดว่าในสุสานนั่น….”
นายท่านสามดึงเขาขึ้นมา ไท่ซ่างหวงกอดแขนของเขาไว้แน่น
นายท่านสามมองดูเขา หัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่เคยอ่อนแอมาชั่วชีวิต….เอาล่ะ ลุกขึ้นมา คนแก่ทั้งกลุ่มร้องห่มร้องไห้เหมือนอะไร? ลุกขึ้นมาคุยกัน”
เซียวเหยากงกับโสวฝู่ต่างก็ลุกขึ้นมา แล้วก็ไปนั่ง
องค์ชายรัชทายาทเจี้ยนจง เป็นองค์ชายรัชทายาทในรัชสมัยฮ่องเต้องค์ก่อน เป็นพี่ชายของฮ่องเต้ฮุยจง ตอนที่เขาเป็นองค์ชายรัชทายาทถูกอ๋องชินยู่เสด็จพ่อของอ๋องชินเป่าทำร้ายจนเกือบเสียชีวิต ต่อมาหลังจากทะเลาะกัน สุดท้ายตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทกลายเป็นฮ่องเต้ฮุยจง และก็คืออ๋องชินสู้ในตอนนั้น
นายท่านสาม ก็คืออ๋องชินสู้ในตอนนั้น และต่อมาคือฮ่องเต้ฮุยจง ถูกอ๋องชินเป่าขุดออกมาเหยียดหยามคนนั้น
เพราะไท่ซ่างหวงดึงนายท่านสามไว้ตลอด นายท่านใหญ่องค์ชายรัชทายาทเจี้ยนจงจึงเล่าเรื่องที่ทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ที่นี่
ระหว่างนั้นมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ตอนนั้นเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บขององค์ชายรัชทายาทเจี้ยนจง และฮ่องเต้ฮุยจงในตอนนั้นก็ยังเป็นอ๋องชินสู้ จงรักภักดีต่อองค์ชายรัชทายาทเจี้ยนจงมาตลอด ดังนั้นจึงสละราชสมบัติอย่างเด็ดเดี่ยว ติดตามองค์ชายรัชทายาทเจี้ยนจงมายังที่นี่ อย่างแรกเพื่อเป็นการรักษาตัว อย่างที่สองเพราะเขาไม่ใช่คนที่มีความสามารถในการเป็นฮ่องเต้ที่ดี เพียงแค่อ๋องชินเฟิงอันใช้นิ้วชี้ไปยังรายชื่อหลายชื่อไปเรื่อย แล้วก็ตัดสินใจให้ไท่ซ่างหวงหยู่เหวินหู้ขึ้นครองราชย์
เรื่องพวกนี้ ไท่ซ่างหวงกับทุกคนต่างถูกปิดบังไว้ อ๋องชินเฟิงอันสองสามีภรรยาจัดการด้วยเอง
และไท่ซ่างหวงในตอนนั้นอายุยังไม่ถึงยี่สิบ ก็ถูกอ๋องชินเฟิงอันใช้นิ้วเดียวกำหนดชะตากรรมในอนาคต
ไท่ซ่างหวงฟังอยู่อย่างตกตะลึงจนตาค้าง พร้อมถามขึ้นอย่างแทบไม่อยากเชื่อว่า “แค่ปลายนิ้วชี้ไปเรื่อย?”
“เพียงแค่ปลายนิ้วชี้” องค์ชายรัชทายาทเจี้ยนจงหัวเราะพร้อมพูดขึ้น
สีหน้าไท่ซ่างหวงขาวซีด พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ผ่านการพูดคุยกันอย่างรอบคอบ ไม่ผ่านการวิเคราะห์ไตร่ตรอง ไม่ได้พูดถึงจุดแข็งจุดอ่อนของข้า ไม่มีอะไรสักอย่าง เพียงแค่ปลายนิ้วชี้?”
ฮ่องเต้ฮุยจงพูดขึ้นว่า “ใช่”