บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1424 หลานสะใภ้คนสำคัญ
ในจวนใหญ่ของฮ่องเต้ฮุยจง ขุนนางพ่อลูกยังคุยกันอยู่
ถามได้ความว่าตอนนั้นพี่เหว่ยพาพวกเขามารักษาตัวที่นี่ ไท่ซ่างหวงถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “ทำไมต่อไมพี่เหว่ยถึงกลับไปอีก”
ฮ่องเต้ฮุยจงพูดขึ้นว่า “เขาบอกให้กลับไปเฝ้าดูไว้ รอเมื่อประเทศสงบสุขแล้วจริงๆค่อยกลับมา”
ไท่ซ่างหวงเข้าใจขึ้นมาในทันใด พร้อมพูดขึ้นด้วยความนับถือว่า “พี่เหว่ยอุทิศตัวเองทั้งหมด เพื่อแผ่นดินเป่ยถังจริงๆ”
ฮ่องเต้ฮุยจงพูดขึ้นว่า “เดิมเขาก็ไม่ยินยอม พ่อตาของเขาใช้ให้เขากลับไป บอกว่าหากเขาไม่กลับไป ก็จะส่งภรรยาของเขาไปปลูกแตงโมที่แอฟริกา ให้พวกเขาสองสามีภรรยาแยกกันอยู่สักแปดปีสิบปี เขาไม่มีทางเลือก จึงต้องกลับไป”
ไท่ซ่างหวงหัวเราะเพราะพูดขึ้นว่า “กฎแห่งกรรม ตามสนองได้ทันใจจริงๆ”
ทุกคนต่างเห็นด้วย คนที่อยู่ที่นี่ มีใครไม่เคยโดนเขาหลอก?
สิ่งที่เซียวเหยากงสนใจ มักจะค่อนข้างพิเศษไม่เหมือนคนอื่น เขาจ้องมองใบหน้าของฮ่องเต้ฮุยจงกับองค์ชายรัชทายาทเจี้ยนจงสักพัก แล้วก็ถามขึ้นว่า “ฮ่องเต้ฮุยจง ทำไมท่านถึงดูอายุน้อยกว่าองค์ชายรัชทายาทเจี้ยนจงขนาดนี้?”
สีหน้าฮ่องเต้ฮุยจงเปลี่ยนไปเล็กน้อยทันที พร้อมพูดขึ้นอย่างอ้ำอึ้งว่า “คือ…. คนมีฝีมือการต่อสู้ที่สูงส่ง ก็ต้องดูแลบำรุงเป็นอย่างดี……”
องค์ชายรัชทายาทเจี้ยนจงพูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจว่า “เขาไปดึงหนัง”
เซียวเหยากงอึ้ง พร้อมพูดขึ้นว่า “ดึงหนัง…..?” งานแบบนี้สามารถทำให้ดูอ่อนเยาว์ไปตลอดหรือ?(ดึงหนังในภาษาจีนมีอีกความหมายคือแม่เล้า)
โสวฝู่เตะเขาหนึ่งที พร้อมพูดขึ้นว่า “ดึงหนัง เจ้าไม่เข้าใจความรู้ของที่นี่ ศัลยกรรมความงาม พระชายารัชทายาทเคยบอก”
สายตาพร่ามัวของเซียวเหยากง ฉายแววสับสนเผยให้เห็นถึงความไม่รู้ของคนไม่ตั้งใจเรียน พร้อมพูดขึ้นว่า “เคยพูดถึงหรือ? เหมือนข้าจะไม่เคยได้ยิน”
โสวฝู่ไม่สนใจเขา ถามฮ่องเต้ฮุยจงว่า “ทำไมท่านจะต้องไปดึงหนังด้วยล่ะ? เพื่อให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้นหรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงไม่ย้อมผมด้วยล่ะ?”
“หนังศีรษะของเขาแพ้ ย้อมครั้งแรก ก็เป็นตุ่มขึ้นเต็มไปหมด” องค์ชายรัชทายาทเจี้ยนจงพูดพร้อมหันไปมองดูฮ่องเต้ฮุยจงแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “เขาไม่ได้ไปดึงหนังเพราะอยากที่จะดูอ่อนเยาว์ เป็นเพราะโรงพยาบาลศัลยกรรมความงามนั้นเป็นของพ่อตาพี่เหว่ย กิจการไม่ค่อยดี เขาก็เลยไปช่วยใช้บริการ”
“อ้อ เป็นเช่นนี้นี่เอง” ทั้งสามคนต่างเข้าใจ
พูดคุยกันอยู่มากมายขนาดนั้นแล้ว ค่อยพูดถึงประวัติความเป็นมาของพวกเขา ที่จริงตอนนั้นตอนที่พวกเขาจะมา ก็ไม่ค่อยเชื่อถืออ๋องชินเฟิงอัน คิดว่ายังไงก็ต้องตายแน่ จึงเอากีบม้าทองคำมาด้วยเพื่อเป็นสิ่งของร่วมฝังกับศพ ยังไงก็เป็นองค์ชายรัชทายาทคนหนึ่ง เป็นฮ่องเต้คนหนึ่ง เป็นการไม่ดีหากหลังจากตายแล้วไม่มีสิ่งของอะไรร่วมฝังไปด้วย กลับคิดไม่ถึงว่ากีบม้าทองคำพวกนั้นจะกลายเป็นสิ่งของที่ทำให้ร่ำรวย
เซียวเหยากงฟังแล้ว ก็หัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ฮ่องเต้ฮุยจงคิดเหมือนข้าเลย ตอนที่ข้ามาก็คิดว่าจะต้องตายแล้ว จึงนำกีบม้าทองคำมาด้วยเพื่อเป็นสิ่งของไว้ร่วมฝังเมื่อตายไป”
โสวฝู่กับไท่ซ่างหวงมองดูเขา แล้วก็พูดอะไรไม่ออก คิดไม่ถึงว่าเขาจะคิดไปถึงขั้นนี้แล้ว
“ใช่ ผู้หญิงที่มาด้วยเมื่อกี้คนนั้นเป็นใคร?” ฮ่องเต้ฮุยจงถามขึ้น
ไท่ซ่างหวงพูดขึ้นว่า “นั่นคือหลานสะใภ้คนสำคัญของท่าน ชื่อหยวนชิงหลิง นางเป็นคนที่นี่ ต่อมาไม่รู้ทำไมถึงไปอยู่ที่เป่ยถัง แล้วแต่งงานกับเจ้าห้า ดังนั้นที่จริงนี่ไม่ถือเป็นการแต่งงานระหว่างสองประเทศ แต่เป็นการแต่งงานระหว่างสองห้วงเวลา”
ความเข้าใจในห้วงเวลา ไท่ซ่างหวงเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว
“จริงหรือ? งั้นต้องเรียกนางมา เรียกนางมาให้ข้าดูหน่อย” ฮ่องเต้ฮุยจงตื่นเต้นขึ้นมาในทันใด การอยู่ที่นี่อย่างไม่มีญาติพี่น้อง อยู่อย่างเงียบเหงามาก ต่อให้ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ยังคงรู้สึกว่ารากเหง้าของตนเองอยู่ที่เป่ยถัง เมื่อถึงเทศกาล มักจะคิดถึงคนที่เป่ยถัง ได้ยินลูกชายบอกว่าหลานสะใภ้คนสำคัญเป็นคนที่นี่ ในใจของเขาตื่นเต้นอย่างมากจริงๆ
เซียวเหยากงหยิบมือถือออกมา ทำตามที่พระชายารัชทายาทสอน หากจะโทรศัพท์ ก็จะต้องหารายชื่อก่อน แล้วก็กดหมายเลขของคนที่ต้องการจะโทรหา ถึงแม้ทั้งรายชื่อจะมีชื่อเพียงแค่หมายเลขเดียว ก็คือของพระชายารัชทายาท แต่เขาก็ยังคงทำตามขั้นตอน
เมื่อโทรออกไปแล้ว เซียวเหยากงพูดขึ้นว่า “นายท่านสามเรียกให้เจ้ามาหา เตรียมของขวัญมาด้วยนะ เขาเป็นผู้อาวุโส” เขาเอามือปิดไว้ หันหน้าไปพร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “รีบมา มีความลับ เป็นความลับอย่างสุดยอด”
เมื่อโทรศัพท์เสร็จ ก็วางมือถือลงอย่างเหมือนคนชำนาญ เหมือนอย่างกับเขาโทรศัพท์ถือเป็นเรื่องปกติมาก
ภายในใจค่อนข้างตื่นเต้น รู้สึกเหมือนตนเองเป็นเหมือนคนที่นี่แล้ว
หยวนชิงหลิงยังอยู่กับฟางหวู เมื่อรับสายของเซียวเหยากงเสร็จ นางก็หัวเราะ ฟางหวูจึงถามขึ้นว่า “มีเรื่องอะไรหรือ?”
“เซียวเหยากงให้ข้าไปหา บอกว่ามีความลับสุดยอด” หยวนชิงหลิงหัวเราะ ความลับสุดยอดที่ว่า นางเดารู้แต่แรกแล้ว
แต่น้ำเสียงตื่นเต้นของเซียวเหยากงนี้ ฟังแล้วก็น่าขำ
“สำหรับพวกเขา ถือเป็นความลับสุดยอดจริงๆ ใครจะไปคิด องค์ชายรัชทายาทเจี้ยนจงกับฮ่องเต้ของเป่ยถัง ยอมที่จะทิ้งอำนาจบารมีมาใช้ชีวิตอย่างสันโดษอยู่ที่นี่? ที่จริงองเต้ฮุยจงน่านับถือจริง สิ่งที่คนมากมายทำไม่ได้ กับการได้สวมชุดเหลืองลายมังกร เท่ากับการมีอำนาจสูงส่ง เป็นสิ่งที่คนเรามักหลงใหลนั่นก็คืออำนาจ ฮ่องเต้ฮุยจงไม่ธรรมดา”
หยวนชิงหลิงก็รู้สึกเช่นนี้ หยู่เหวินจุนกับอ๋องอานของเป่ยถัง ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อราชบัลลังก์ไม่ใช่หรือ?แต่ฮ่องเต้ฮุยจงเมื่อได้มาอยู่ในมือแล้ว บอกจะทิ้งก็ทิ้ง จิตใจกว้างขนาดไหน? ปล่อยวางได้ขนาดไหน?
นางซื้อของขวัญ แล้วก็ขับรถไปยังคฤหาสน์ ถวายบังคมทำความเคารพบรรพบุรุษที่แท้จริง
ส่วนฮ่องเต้ฮุยจงได้เห็นหลานสะใภ้คนสำคัญ ก็ดีใจอย่างมาก โดยเฉพาะได้ยินว่าคลอดลูกชายห้าคนกับลูกสาวหนึ่งคนก็ตกตะลึงอย่างมาก ชูนิ้วโป่งขึ้นมาทันที พร้อมพูดขึ้นว่า “ดี ไม่เสียแรงที่เป็นคนของตระกูลหยู่เหวิน องค์ชายรัชทายาทมีความสามารถจริงๆ”
เซียวเหยากงพูดขึ้นว่า “พระชายารัชทายาทเป็นคนคลอด ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาท”
ฮ่องเต้ฮุยจงพูดขึ้นว่า “น้องสิบแปดเจ้าจะไปรู้อะไร? เรื่องคลอดลูกชายลูกสาว ต้องดูผู้ชาย คนที่คลอดไม่ได้ลูกผู้ชายต่างโทษตำหนิภรรยา นั่นล้วนเป็นเรื่องที่ผิด ควรที่จะโทษตัวเอง เจ้ามีความรู้ไม่เพียงพอ ต้องเรียนรู้เพิ่ม”
“อ้อ” เซียวเหยากงรับคำสั่ง
หยวนชิงหลิงฟังอยู่อย่างยิ้มแย้ม
ในเป่ยถัง หลังจากฮ่องเต้หมิงหยวนไปตรวจการณ์ทางภาคใต้ งานหยู่เหวินเห้าก็ยิ่งยุ่งกว่าเดิม
อ่านฏีกาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดทุกวัน งานราชการที่จัดการยังไงก็ไม่หมด แต่โชคดีที่ขุนนางเน่ย์เก๋อของเหลิ่งจิ้งเหยียนมีความสามารถ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยหยู่เหวินเห้าได้เยอะมาก อย่างน้อยก็สามารถได้กลับมาอยู่กับลูกตอนหนึ่งทุ่มทุกวัน
เพื่อปกป้องตอนที่เขาไม่อยู่ในจวนแล้วหงเย่แอบมาหาลูก ดังนั้น เขาจึงให้หงเย่เข้าวังไปรักษาการณ์แทนตำแหน่งกู้ซือ ดูแลกองทหารรักษาพระองค์เป็นการชั่วคราว เดิมหงเย่ไม่ยินยอม แต่คำสั่งขององค์ชายรัชทายาท คัดขัดไม่ได้ หากขัดขืนต่อไปประตูจวนอ๋องฉู่จะไม่ต้อนรับเขา เท่ากับว่าต่อไปจะไม่ได้เจอเสี่ยวกวาจื่อ
หงเย่ถอนหายใจ พร้อมพูดกับทังหยางว่า ตอนนี้องค์ชายรัชทายาทยิ่งอยู่ก็ยิ่งชอบข่มขู่คนอื่นล่ะ คนที่มีตำแหน่งสูงกว่าก็จะชอบวางมาด
ทังหยางหัวเราะพร้อมพูดปลอบว่า “เพื่อคนและสิ่งของที่ตนเองชอบ ทนทรมานเสียหน่อยจะเป็นไรไป ไม่ใช่หรือ?”
ทังหยางอยากให้เขาไปทำงานมาก จะได้ไม่ต้องมาหาจวิ้นจู่ที่จวนอ๋อง เมื่อเขามาก็จะอยู่ทั้งวัน ห่อน้ำอาหารแห้งมาเอง ไล่ยังไงก็ไม่ไป
หงเย่ครุ่นคิด บางครั้งสิ่งที่ทังหยางพูด ก็ควรที่จะพิจารณา เพื่อคนที่ตนชอบ ทนทรมานเสียหน่อยจะเป็นไรไป? ยังไงชั่วชีวิตนี้เขาก็ไม่สามารถมีลูกได้ แม้แต่ผู้หญิงที่ชอบเขาก็ไม่มี
ดังนั้นเขาจึงยอมตกลงไปดูแลกองทหารรักษาพระองค์เป็นการชั่วคราวในวัง แต่เขาก็พูดกับเจ้าห้าว่า นี่เป็นเพียงชั่วคราว อย่าคิดที่จะให้เขาทำไปตลอดชีวิต
เจ้าห้าเหลือบมองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไปตลอดชีวิต? ต่อให้เจ้าอยากทำ กู้ซือจะยอมให้เข้าทำหรือ?”