บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1425 เจ้าห้าเหมาะสมกว่าข้า
ได้รับจดหมายที่ส่งมาจากหนานเจียง เจ้าเก้ากับหมันเอ๋อรู้ว่าพระชายารัชทายาทคลอดได้ลูกสาว จึงจะกลับมาเมืองหลวงเพื่อแสดงความยินดี แม้แต่อะโฉ่วที่อยู่เจียงเป่ยก็จะเข้าวังมาดูหงเย่
หลังจากหนานเจียงสงบสุขแล้ว ก็เคยมีการทะเลาะกันเล็กน้อยบ้าง แต่ต่อมาก็ล้วนแก้ปัญหาหมดแล้ว ตอนนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเจียงเป่ยกับเจียงหนาน ถึงแม้จะไม่สงบสุขทั้งหมด แต่ก็ค่อยๆเป็นไปในทิศทางที่ดี เชื่อว่าไม่นาน หนานเจียงจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ
ภายในห้องทรงพระอักษรในวันนี้ ทุกคนพูดถึงเรื่องงานแต่งงานของใต้เท้าเหลิ่ง
เรื่องนี้เดิมราชครูเหว่ยเป็นคนพูดขึ้นมา เขาพูดว่าความอกตัญญูมีอยู่สามประการ แต่ที่เป็นที่สุดของความอกตัญญูก็คือ การไร้ทายาทสืบสกุล ใต้เท้าเหลิ่งควรที่จะพิจารณาถึงเรื่องแต่งงานได้แล้ว
เหลิ่งจิ้งเหยียนได้ยินประโยคนี้ ก็อมยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “ราชครูว่างใช่ไหม”
ราชครูว่างจริงๆ เพราะราชสำนักในตอนนี้ไม่มีปัญหาใหญ่อะไรให้เขาต้องเป็นกังวล เดิมองค์ชายรัชทายาทไปเรียนกับเขา ตอนนี้อ้างว่าต้องดูแลลูก จึงไม่ได้ไปแล้ว วันๆเขาแทบไม่มีอะไรทำ จึงคิดถึงเรื่องงานแต่งงานของโสวฝู่ขึ้นมา
เขาคิดว่า ผู้ชายคนหนึ่งหลังจากมีหน้าที่การงานแล้ว ก็จะต้องมีครอบครัวถึงจะถือว่ามั่นคงครบสมบูรณ์
พูดขึ้นว่า “ก็ว่าง แต่งานแต่งงานยังไงก็ต้องจัด โสวฝู่อายุไม่น้อยแล้ว ถึงแม้ว่าผู้ชายอายุเจ็ดแปดแล้วก็ยังสามารถมีลูกได้ แต่หากไม่สามารถมองดูลูกของตนเองเติบโต ยังไงก็ถือเป็นเรื่องน่าเสียใจ แต่งงานเร็วหน่อยดีกว่า ให้ข้าแนะนำให้เจ้าดีไหม?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนยื่นมือห้าม พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ล่ะ กิจการงานบ้านเมืองสำคัญกว่า”
ราชครูมองดูหยู่เหวินเห้า พร้อมพูดขึ้นว่า “องค์ชายรัชทายาท เจ้าต้องใส่ใจเรื่องของเขาบ้าง”
หยู่เหวินเห้าเอามือเท้าคาง กำลังคิดอยู่ว่าคืนนี้จะพาลูกสาวไปเดินเล่น เมื่อถูกราชครูเรียก เขาพูดขึ้นอย่างค่อนข้างงงว่า “ใส่ใจ? ได้ จะใส่ใจ”
ทุกคนได้ยินองค์ชายรัชทายาทก็พูดว่าจะใส่ใจ จึงต่างก็พูดคุยปรึกษากันขึ้นมา ลูกสาวตระกูลไหนที่รูปลักษณ์ภายนอกสวยงาม สติปัญญาภายในก็เฉลียวฉลาด ลูกสาวบ้านไหนที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและความรู้ความสามารถ สาวบ้านไหนที่มีความเป็นเจ้าคนนายคน
พูดไปพูดมา ค่อยมีคนพบว่าโสวฝู่หายไปแล้ว
หยู่เหวินเห้าหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “เขาขี้อาย”
อายุสามสิบกว่าแล้วยังขี้อาย
เหลิ่งจิ้งเหยียนยืนอยู่ตรงทางเดินในวัง ชมดอกไม้บานในฤดูใบไม้ผลิ ดอกท้อบานไปทั่ว สีชมพู สีขาว สีแดง กองอยู่บนกิ่งไม้จนลานตา
“ชมดอกไม้หรือ?” เจ้าดาบแดงเดินมาอย่างหงอยเหงาเศร้าซึม
“อืม พักแปบหนึ่ง” เหลิ่งจิ้งเหยียนมองดูเขา พร้อมถามขึ้นว่า “พอเคยชินไหม?”
“น่าเบื่ออย่างที่สุด” หงเย่ยกเสื้อคลุมขึ้นมาแล้วก็นั่งลง ไม่ได้สวมชุดแดง แต่สวมชุดเกราะทหารรักษาพระองค์ ไร้ซึ่งความเอาแต่ใจอย่างดื้อรั้น แลดูเคร่งขรึมมีมานะ
เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดขึ้นว่า “อยู่สักหนึ่งถึงสองเดือน ก็จะพบว่า ที่จริงเมื่อมีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบแล้ว ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่ง”
หงเย่เลิกคิ้วหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “เห็นที ตำแหน่งโสวฝู่ของเจ้านี้เป็นได้อย่างดีจริงๆ”
“ก็ยังดี ตำแหน่งอะไรต้องทำอะไร ข้าเคยชินแล้ว” เหลิ่งจิ้งเหยียนหัวเราะ ด้วยแววตาอ่อนโยน หลายปีมานี้ ตอนที่ดำรงตำแหน่งกั๋วจื่อเจียน ก็เป็นการช่วยฮ่องเต้แก้ไขปัญหาคลายความกังวลไม่ใช่หรือ? เคยชินแล้ว
“ปรึกษาหารือกันเสร็จแล้วหรือ?” หงเย่หันกลับไปมองแวบหนึ่ง ข้างในยังมีเสียงหัวเราะดังออกมา ได้ยินเหมือนกำลังพูดถึงเรื่องงานแต่งงานของใครสักคน
“ยัง พักผ่อนสักแปบก่อน พวกเขากำลังตั้งใจหาภรรยาให้ข้าอย่างกระตือรือร้น” เหลิ่งจิ้งเหยียนอมยิ้มขึ้นมา
หงเย่ก็หัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าก็อายุขนาดนี้แล้ว ควรที่จะมีภรรยาได้แล้ว”
“เจ้าล่ะ?” เหลิ่งจิ้งเหยียนนั่งลง มองดูเขา พร้อมถามขึ้นว่า “เจ้าไม่คิดที่จะหาภรรยาสักคนแล้วอยู่อย่างมั่นคงหรือ?”
“มั่งคง?” หงเย่พูดย้ำสองคำนี้ว่า “คนมั่งคง จิตใจไม่มั่นคง”
“ใช้สถานที่นี้เป็นเหมือนบ้านเกิด หยั่งรากมั่นคง คนและจิตใจต่างได้สงบสุข หากคิดแต่เรื่องฟุ้งซ่าน ยังไงก็มีชีวิตอย่างล่องลอย”
หงเย่พูดขึ้นด้วยแววตาโศกเศร้าว่า “มันไม่ง่ายขนาดนั้น ทุกวันนี้ข้าใช้ชีวิตไปวันต่อวัน ใช่ว่าไม่เคยลอง แต่ทุกครั้งที่กลับไป ก็เดียวดายว่างเปล่า มักรู้สึกเหมือนที่นี่ไม่ใช่บ้าน ข้ายังล่องลอยอยู่เสมอ”
“ดังนั้นจึงใช้ให้เจ้าแต่งงานมีลูกไง” เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดขึ้น
หงเย่หัวเราะส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ ตอนนี้ยังไม่คิด ข้ามีลูกสาวแล้ว”
“องค์ชายรัชทายาทไม่ยอม” เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดขึ้น
หงเย่หัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “เขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ”
เหลิ่งจิ้งเหยียนถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “ทำไมถึงได้ชอบจวิ้นจู่น้อยขนาดนี้? ที่ผ่านมาพวกพระราชนัดดา ก็ไม่เห็นเจ้าจะชอบขนาดนั้น”
หงเย่ครุ่นคิด แล้วก็พูดขึ้นว่า “พวกพระราชนัดดา…. ก็ชอบเหมือนกัน แต่คงเพราะไม่ได้มาทันเห็นตอนที่พวกเขาคลอด เจ้ารู้ไหม? ครั้งแรกที่ข้าเห็นจวิ้นจู่น้อย นางจ้องมองข้าอยู่อย่างนั้น ดวงตาไม่กะพริบ ข้ามองเห็นตัวเองในดวงตาของนาง นางบริสุทธิ์ผุดผ่องขนาดนั้น ไร้เดียงสาขนาดนั้น ข้ารู้สึกเหมือนทุกสิ่งอย่างใดใดในโลก ล้วนเทียบนางไม่ได้”
“ลิงก็เทียบไม่ได้หรือ?”
“ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกัน” แววตาหงเย่ฉายแววเศร้า พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าควรที่จะปล่อยวาง มันไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว เป็นเพราะข้าดื้อรั้นมาตลอด”
เหลิ่งจิ้งเหยียนตบบ่าของเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “เป็นคน ก็ต้องมีความหวัง”
เขาลุกขึ้นเดินเข้าไป จัดการงานราชการที่น่าเบื่อต่อไป
หงเย่เอียงหัวไปมองดูบนไหล่ของตนเอง หัวเราะ แล้วก็ลุกขึ้นมาหยิบดาบเดินไป
ฮ่องเต้หมิงหยวนพาภรรยากับลูกที่รักไปตรวจการณ์ทางภาคใต้ นับตั้งแต่ขึ้นครองราชย์มาก ไม่เคยได้ออกมาจากเมืองหลวง ดินแดนแห่งสายน้ำและขุนเขาอันวิจิตรงดงามนี้ ก็เคยเห็นเพียงในตำรา หรือเห็นในผลงานนักกวี แต่ยังไงก็เป็นเพียงภาพจินตนาการ ตอนนี้ได้เดินออกมา รู้สึกผืนฟ้าแผ่นดินกว้างใหญ่ กว้างขวางกว่าภายในวังอย่างมาก ความรู้สึกอึดอัดนั้น ก็หายไปจนในทันใด
เดินทางไปตามแม่น้ำหวย กำลังเป็นช่วงเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ มองออกไปไกล ล้วนเต็มไปด้วยต้นกล้าที่ อุดมสมบูรณ์ ที่เป็นภาคใต้ที่ร่ำรวย และถือเป็นยุ้งฉางของประเทศด้วย ที่ผ่านมาเคยเห็นในฎีกา ตอนนี้ปรากฏอยู่ตรงหน้าตนเอง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ลงมาจากเกี้ยว เดินไปในทุ่งพร้อมกับฮู่เฟยอย่างเชื่องช้า
ขุนนางในท้องถิ่น ติดตามอยู่ด้านหลัง กู้ซือกับทหารรักษาพระองค์ก็คอยปกป้องอยู่ด้านหลัง เขาหันกลับไปมองดู เพราะโบกมือพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องตามมาแล้ว”
พื้นที่โล่งกว้างขวางเช่นนี้ จะมีใครซ่อนอยู่? ดังนั้นกู้ซือจึงหยุดลง คอยมองดูอยู่ไกลๆ
“แผ่นดินนี้ ยังไงก็ต้องเห็นด้วยตา ถึงจะรู้สึกได้จริง” ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดขึ้น
“แผ่นดินเป็นอะไรที่ดูไม่หมดหรอก แต่ละที่ต่างมีลักษณะพิเศษแตกต่างกันออกไป นอกจากวิวทิวทัศน์แล้ว ยังมีวัฒนธรรมของคน ฮ่องเต้ เราควรที่จะออกมาดูบ้างจริงๆ” ฮู่เฟยพูดขึ้น
ฮ่องเต้หมิงหยวนจับมือของนางไว้ พร้อมหัวเราะพูดขึ้นว่า “ได้ ต่อไปเมื่อข้าว่างแล้วก็จะออกมากับเจ้า”
“งั้นดีมากเลย” ฮู่เฟยยิ้มร่า ความอึดอัดที่อยู่ในวังก็มลายหายไปจนหมดสิ้น
แสงแดดสาดส่องบนใบหน้าของทั้งสองคน ความรู้สึกไม่ดีที่อยู่ภายในวังนั้น เมื่อถูกแสงแดดสาดส่อง ทำให้รู้สึกอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของต้นกล้าดินและหญ้า ฮ่องเต้หมิงหยวนกับฮู่เฟยค่อยๆเดินไปไกล เขาพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “มีความสุขจนลืมบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง จนอยากที่จะใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกอย่างนี้แล้ว”
“ฮ่องเต้เป็นกษัตริย์ของแผ่นดิน จะใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกได้ยังไง?” ฮู่เฟยพูดขึ้น
ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดขึ้นอย่างพึมพำว่า “เป็นฮ่องเต้ ทั้งทุกข์ทรมานทั้งเหนื่อย ทุกวันเห็นแต่ปัญหาเล็กใหญ่ต่างๆนานา อย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนตายกว่าจะได้พัก”
สายตาของเขามองไปยังนกตัวหนึ่งที่กำลังบินต่ำ ปีกกระพือไปทั่วทุ่ง แล้วก็บินขึ้นสูงอีกครั้ง เป็นอิสรเสรี ไม่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดใดๆ
ฮ่องเต้หมิงหยวนเกิดความปรารถนาขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ที่ผ่านมา เขาไม่เคยสงสัยในความสามารถที่ตนเองเป็นฮ่องเต้ แต่หลังจากเรื่องเมืองทั้งห้านั้นเป็นต้นมา เขาค่อยรู้สึกว่า สิ่งที่ตนเองตั้งใจมากกว่าครึ่งชีวิต กลับเป็นสิ่งธรรมดาเท่านั้น ที่จริงหาใช่ธรรมดาเสียที่ไหน? เป็นความไม่เอาไหนต่างหาก
เขาพึมพำพูดขึ้นว่า “ข้าเชื่อว่า เจ้าห้าเหมาะสมที่จะเป็นฮ่องเต้มากกว่าข้า”
ฮู่เฟยอึ้ง หันมามองเขาพร้อมพูดขึ้นว่า “ฮ่องเต้?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง”