บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1429 ดูแลอย่างมืออาชีพ
เพลิดเพลินอยู่สักพัก เมื่อหันกลับมา ก็เห็นดอกท้อบานสะพรั่งเต็มไปหมด ภายในป่าดอกท้อเหมือนมีเงาคนเดินไปมา
ได้ยินเสียงเพลงบทกลอนดังขึ้นว่า “อารามดอกท้อในเถาฮวาหวู่ นางฟ้าดอกท้อใต้อารามดอกท้อ นางฟ้าดอกท้อปลูกดอกท้อ แล้วก็เด็ดดอกท้อขายซื้อเหล้า
หายเมาแล้วก็นั่งอยู่ตรงหน้าดอกไม้ เมื่อเมาก็หลับใต้ดอกไม้ ครึ่งตื่นครึ่งเมาวันแล้ววันเล่า ดอกไม้ร่วงดอกไม้บานทุกๆปี แทนที่จะวิ่งเพื่อความรุ่งโรจน์มั่งคั่ง ขอตรากตรำอยู่อย่างมีความสุขกับมวลหมู่ดอกไม้และเหล้า…..”
วิวทิวทัศน์งดงามขนาดนี้ บรรยากาศเงียบสงบขนาดนี้ แล้วก็ได้ฟังบทกลอนนี้ของอ๋องชินเฟิงอัน ฮ่องเต้หมิงหยวนซึ้งใจมาก
“แทนที่จะวิ่งเพื่อความรุ่งโรจน์มั่งคั่ง ขอตรากตรำอยู่อย่างมีความสุขกับมวลหมู่ดอกไม้และเหล้า…..” เขาพูดพึมพำ งดงามอย่างมาก
เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์ชายรัชทายาทตั้งแต่เด็ก ติดตามร่ำเรียนกับราชครูตั้งแต่เด็ก ต่อมาเมื่อมีส่วนร่วมในงานราชการ ก็อยู่อย่างระมัดระวัง เหมือนกำลังเหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ ในชีวิตของเขา มีเพียงการเป็นฮ่องเต้ถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับเขา อย่างอื่น ไม่กล้าชอบง่ายๆ เพราะเมื่อชอบแล้วก็จะหลงใหล
หากไม่เคยออกมา ชั่วชีวิตนี้ก็คงเป็นไปแค่นี้แหละ แต่ออกมาแล้ว ก็รู้สึกว่าที่ผ่านมาหลายปีมีชีวิตอย่างไรกัน?
“ฮ่องเต้” ใบหน้าอ๋องชินเฟิงอันค่อยๆปรากฏกิ่งดอกท้อ อ่อนโยนสง่างาม แตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างมาก ที่ผ่านมามักรู้สึกว่าเขาเคร่งขรึมเย็นชา เผด็จการ แต่วันนี้ เหมือนคนเกียจคร้านอยู่ในหุบเขา ใบหน้าสงบเหมือนผ่านเรื่องราวมามากมายในชีวิต
“เสด็จลุง” ฮ่องเต้หมิงหยวนค่อนข้างเคารพนับถือเขา และก็ค่อนข้างหวาดกลัว จึงรีบเดินไปทัก
ฮู่เฟยจูงมือองค์ชายสิบมาถวายความเคารพ
“ทำไมจู่ๆฮ่องเต้ถึงมาที่หมู่ตึกเหมย?” อ๋องชินเฟิงอันถามขึ้น
“เดินทางผ่าน เห็นว่าไม่ได้เจอเสด็จลุงมานานแล้ว จึงมาถวายพระพร” ฮ่องเต้หมิงหยวนยิ้มพร้อมพูดขึ้น
“เข้าไปนั่งก่อน” อ๋องชินเฟิงอันเชื้อเชิญ เมื่อพูดเสร็จ พระชายาอันก็กวักมือเรียกอยู่ป่าท้อใต้ระเบียง ยิ้มแย้มพร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าต้มชาไว้แล้ว รีบมาดื่มชากัน”
“ดีมากเลย เดินทางมาอย่างกระหาย ได้ดื่มชาสักแก้วก็พอแล้ว” ฮ่องเต้หมิงหยวนยิ้มจับมือฮู่เฟยเดินเข้าไปพร้อมกัน
กู้ซือเดินมาจากด้านหลัง เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ในใจคิดสงสัย เขาเพิ่งเข้าไปสักพักเอง อ๋องชินเฟิงอันสองสามีภรรยากลับมาจากไหน? ทำไมถึงต้มชาเสร็จแล้ว?
ทางด้านหลัง คนแก่ชุดดำคนหนึ่งหัวเราะด้วยเสียงเบา กู้ซือฟังได้ยินไม่ค่อยชัด แต่ได้ยินเหมือนพูดว่าการแสดงเริ่มขึ้นแล้ว การแสดง? ที่นี่มีละครเพลงด้วยหรือ?
กู้ซือเดินเข้าไปด้วย กลิ่นชาภายในห้องโถงหอมกรุ่น กลบกลิ่นเครื่องหอม ทำให้จิตใจเบิกบานผ่อนคลาย
มู่หรูกงกงปัดดูฝุ่นบนเก้าอี้ นี่เป็นการกระทำที่เคยชิน แต่ฮ่องเต้หมิงหยวนเห็นแล้ว กลับรู้สึกว่าการกระทำนี้ดูบอบบางเกินไป ที่ผ่านมาอะไรก็เป็นไปตามกฎ ตอนนี้กฎกลายเป็นพันธนาการ
และเขาก็ไม่ชอบแล้ว
“ฮ่องเต้ ดื่มชา” อ๋องชินเฟิงอันรินชาให้เขาด้วยตนเอง ทั้งสี่คนนั่งล้อมโต๊กลม แล้วก็ดื่มชาขึ้นมา
“นี่เป็นชาหยุนอู้ของแคว้นต้าซิง ใช้น้ำแร่ที่ไหลมาจากเขาด้านหลัง น้ำแร่หวานสดชื่น ขจัดรสฝาดของชา รสชาติสดชื่นอร่อย”
ฮ่องเต้หมิงหยวนกับฮู่เฟยดื่มเข้าไป แล้วก็รู้สึกหอมหวาน ถึงขั้นหวานไปถึงใจ
“ชาหยุนอู้ของแคว้นต้าซิง ข้าก็เคยดื่มมาเยอะ ทำไมถึงไม่หอมสดชื่นขนาดนี้?” ฮ่องเต้หมิงหยวนแปลกใจ
อ๋องชินเฟิงอันหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ดื่มชา คือการดื่มด้วยอารมณ์ ภายในวังมีแต่เรื่องให้ทุกข์ใจ ต่อให้ดื่มเป็นน้ำแร่ทองคำ ก็คงจะเป็นรสขม ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องทุกข์ใจ มีเพียงทิวทัศน์งดงามกับหญิงงามเคียงกาย จึงดื่มได้รสชาติที่แท้จริงของชา ฮ่องเต้ ต่อให้งานยุ่งแค่ไหน ก็ต้องเพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตบ้าง”
“ใช่ ใช่ เสด็จลุงพูดถูก” ฮ่องเต้หมิงหยวนถอนหายใจ พร้อมพูดขึ้นด้วยจิตใจเจ็บปวดว่า “ข้าทำงานมากว่าครึ่งชีวิต แทนที่พูดว่าแผ่นดินเป็นข้า น่าจะพูดว่าข้าเป็นของแผ่นดินจะดีกว่า ข้าไม่เคยได้เป็นตัวของตัวเอง อยู่ภายในวัง ดื่มชาทานข้าว ล้วนตัวคนเดียว ความรักระหว่างสามีภรรยา ความสุขของครอบครัวที่ได้อยู่รวมตัวกันทั่วหน้า ล้วนไม่สำคัญเท่ากับกษัตริย์กับขุนนาง”
อ๋องชินเฟิงอันมองดูเขาอย่างอ่อนโยน แล้วก็รินน้ำชาให้เขาอีกหนึ่งแก้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “ความทุกข์ของการเป็นฮ่องเต้ ข้ารู้ ตอนนั้นใครๆต่างก็พูดว่าข้าโง่เขลา สละทิ้งแผ่นดินให้กับเสด็จพ่อของเจ้า แต่มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้ การเป็นฮ่องเต้เป็นงานที่ทุกข์ที่สุดในโลก ไม่เหมือนกับข้าในตอนนี้ที่เป็นคนสมถะ มีชีวิตอยู่อย่างอิสระสบายดี? แม่น้ำและขุนเขาที่งดงามนี้ เมื่อไหร่ที่ข้าฉุกคิดขึ้นมาได้ อยากไปก็ไปได้เลย แต่ฮ่องเต้ แค่ออกมาตรวจการณ์ ก็ต้องพาคนมาหลายร้อยคน ขบวนใหญ่โต อิสรเสรีตรงไหน?”
พูดถึงเรื่องที่ผ่านมา ฮ่องเต้หมิงหยวนค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยอมสละทิ้งตำแหน่งฮ่องเต้ ตอนนี้เมื่อได้ฟังเขาพูดอธิบายเช่นนี้ รู้สึกว่าก็ถูก จะเทียบกับความอิสรเสรีของตนเองได้อย่างไร?
เขาไม่เคยคิด คำพูดนี้หากได้ยินตอนที่อยู่ในวัง เขาจะไม่มีทางเชื่อ ความอิสรเสรี? เทียบได้กับอำนาจความมั่งมีหรือ?
แต่ตอนนี้ออกมาแล้ว ได้เห็นแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉา และก็เชื่อด้วย
เขาพูดขึ้นด้วยจิตใจที่โศกเศร้าว่า “ข้า เมื่อไหร่จะได้เป็นเหมือนเสด็จลุง?”
แววตาอ๋องชินเฟิงอันสั่นไหว แสงสว่างวาบกลายเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน พร้อมพูดขึ้นว่า “ตอนนี้แผ่นดินสงบสุข ตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทมั่นคง ประชาชนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หากฮ่องเต้อยากที่จะไปท่องเที่ยว งั้นก็ไปเถอะ หรืออยากที่จะอยู่ในหมู่ตึกเหมยนี้ก็ได้ ยังไงเราสองสามีภรรยาก็วางแผนที่จะไปท่องเที่ยวแล้ว ป่าดอกไม้นี้ปล่อยทิ้งวางเปล่า ก็น่าเสียดาย”
ฮ่องเต้หมิงหยวนตกตะลึง พร้อมพูดขึ้นว่า “เสด็จลุงกับเสด็จป้าจะจากไปหรือ? จะไปไหน?”
อ๋องชินเฟิงอันหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ได้ยินว่าผักป่าที่อยู่บนยอดทะเลมีความนุ่มเป็นพิเศษ ปูในทะเลสาบอ้วนพี ดีที่สุดคือได้กินหน่อไม้สดบนเขาจง แล้วก็เดินทางไปยังแคว้นต้าซิง ผ่านภูเขาข้ามทะเล ไม่เด็ดชาสดที่ภูเขาหยุนวู่ ตอนนี้เสด็จป้าของเจ้า ชอบการอบชาเป็นพิเศษ อยู่ในหุบเขาชา ร้องเพลงแต่งกลอนสักบท ก็ไม่เลว”
“พระชายาอันแต่งกลอนเป็นด้วยหรือ?” ฮู่เฟยเติบโตมากับการสู้รบทางตอนเหนือ ไม่มีความรู้ทางด้านบทกลอน ได้ยินว่าพระชายาอันแต่งกลอนเป็น ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชม
พระชายาโล่หมันถือถ้วยชา ค่อยๆดื่มหนึ่งคำ มุมปากอมยิ้มอย่างพอเหมาะไม่แลดูเก้อเขิน พร้อมพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “พอเป็นบ้าง พอเป็นอยู่บ้าง”
“หรือว่าลองแต่งสักบทไหม?” ฮู่เฟยพูดขึ้นอย่างรอคอย
“คราวหน้า ไว้คราวหน้า” พระชายาโล่หมันวางถ้วยชาลง มองดูนางอย่างยิ้มแย้ม พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าทำขนมเค้กไว้ น่าจะนึ่งเสร็จแล้ว ข้าไปเอาก่อน”
“อ้อ” ฮู่เฟยมองตามพระชายาจากไป พร้อมพูดพึมพำขึ้นว่า “มีชีวิตอยู่อย่างอิสรเสรีนั้นดีจริงๆ รูปร่างหน้าตาก็ไม่แก่”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองดูอ๋องชินเฟิงอัน เป็นความจริง
ที่ผ่านมาฮ่องเต้หมิงหยวน ก็ไม่ให้ความสำคัญรูปร่างหน้าตากับอายุของตนเอง ตอนนี้เมื่อได้ภรรยาเด็ก จึงคอยใส่ใจอยู่บ้าง เห็นอ๋องชินเฟิงอันดูแลตัวเองดีขนาดนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉา
อ๋องชินเฟิงอันหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ในใจไม่มีเรื่องทุกข์ ไม่ต้องครุ่นคิดทั้งคืน นอนจนตื่นเองทุกวัน จึงดูอ่อนกว่าวัยเป็นธรรมดา”
ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดขึ้นว่า “ใช่ เป็นเช่นนี้จริง”
ตอนที่เขาดำรงตำแหน่ง ถือว่าขยันในงานราชการอย่างมาก เมื่อก่อนสามวันขึ้นว่าราชการหนึ่งครั้ง ต่อให้ไม่ว่าราชการเช้า ก็จะต้องตามเหล่าขุนนางมาที่ห้องทรงพระอักษร มีฎีกาที่อ่านไม่หมดอยู่ทุกวัน มีเรื่องงานราชการให้คิดไม่จบไม่สิ้น หากแม่น้ำหวยไม่เกิดน้ำท่วม ก็เกิดความแห้งแล้งทางตอนเหนือ ไม่อย่างนั้นก็มีศึกตามชายแดน มีแต่เรื่องให้หงุดหงิดใจ
ชั่วชีวิตนี้เขายังไม่เคยได้นอนอย่างเกียจคร้าน ภายในใจอดไม่ได้ที่จะโศกเศร้า