บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1430 ความคิด
เพราะฟ้ามืดค่ำแล้ว ยังไงวันนี้ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ไม่ทันกลับเข้าเมืองหลวง ดังนั้นจึงนอนค้างที่หมู่ตึกเหมย
พระชายาโล่หมันเตรียมชุดผ้าปูที่นอนใหม่ให้กับพวกเขา และก็ได้ซักอย่างสะอาดแล้ว ห้องนอนก็สะอาดสะอ้าน หันหน้าไปทางสวนดอกท้อ ทำให้ความเหนื่อยล้าของฮ่องเต้หมิงหยวนในระหว่างเดินทางมลายหายสิ้น
หน้าต่างด้านหลังของห้องนอนเปิดออกเล็กน้อย ปลูกดอกลำโพงไว้เต็มทุ่ง และตอนนี้ดอกกำลังบานสะพรั่ง กลิ่นหอมผสมกับกลิ่นดอกท้อ ทำให้รู้สึกสบายอย่างที่สุด แล้วก็หลับใหลไป
ฮ่องเต้หมิงหยวนนอนลงแต่เช้า แล้วก็หลับในทันที และยังหลับจนพระอาทิตย์ขึ้น
เดิมวันนี้ก็ต้องออกเดินทางเข้าเมืองหลวง แต่เขากลับจะอยู่ต่ออีกหนึ่งวัน
อ๋องชินเฟิงอันอยู่กับเขาตลอด ต้มชา ดื่มชา คุยถึงเรื่องบ้านเมือง
พอถึงตอนกลางคืน ตอนที่ต้มน้ำชาแล้วก็พูดคุยกัน ด้วยความใจร้อน ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดขึ้นว่า “เสด็จลุง ข้ามีคำพูดหนึ่ง หากพูดออกมาแล้วเสด็จลุงอย่าโกรธนะ”
มืออ๋องชินเฟิงอันที่ถือฝาถ้วย สั่นไหวเล็กน้อย เงยหน้าขึ้น พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าพูดมา”
ฮ่องเต้หมิงหยวนสั่งทุกคนออกไป ไม่ให้มีคนอื่นอยู่ภายในห้องโถง แล้วก็พูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “ข้ามีความคิดอยากที่จะสละบัลลังก์”
อ๋องชินเฟิงอันวางถ้วยชาลง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าตัดสินใจเอง? ไม่มีใครบังคับเจ้า?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนขมวดคิ้ว ค่อยๆส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าพูดจากใจจริง เสด็จลุงผิดหวังมากไหม?”
อ๋องชินเฟิงอันถอนหายใจเบาๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “มีบ้าง…..”
ฮ่องเต้หมิงหยวนพึมพำพูดถึงว่า “คือ… ข้าก็รู้ว่าเป็นการเห็นแก่ตัว ทิ้งภาระเช่นนี้ ลำบากเจ้าห้าแล้ว”
สายตาอ๋องชินเฟิงอันร้อนรน จากนั้นก็อ่อนโยนลงในทันใด พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจว่าข้าจะผิดหวังหรือไม่ ขอเพียงทำตามใจของเจ้าเอง ส่วนจะเป็นการทำให้เจ้าห้าลำบากหรือไม่ นี่ต้องพูดสองอย่าง เขาเหนื่อยเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่เป็นคนตระกูลหยู่เหวินมีใครไม่เหนื่อย? แต่การเหนื่อยไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ที่สำคัญคือในที่สุดเขาก็สามารถได้ทำสิ่งที่เขาอยากทำอย่างเต็มที่ สำหรับเป่ยถัง สำหรับเขา ล้วนถือเป็นเรื่องที่ดี”
ฮ่องเต้หมิงหยวนได้ฟังเช่นนี้แล้ว ทั้งตื้นตัน ทั้งเสียใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “เสด็จลุงเห็นว่า ข้ากีดขวางเขาหรือ? ตอนนี้ข้าก็ปล่อยตามใจเขาแล้วนี่”
อ๋องชินเฟิงอันหัวเราะ ยกกาน้ำชาขึ้นมา แล้วเอาก้อนหินก้อนเล็กโยนเข้าไปหนึ่งก้อน พร้อมพูดขึ้นว่า “หินก้อนเล็กอยู่ในกาน้ำชา เจ้าบอกมันว่า อยู่ในกาน้ำชาเจ้ามีอิสระ แต่ห้ามแตะต้องกาน้ำชานี้ นี่ถือเป็นการปล่อยให้มีอำนาจจริงๆแล้วหรือ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนขมวดคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “ถึงแม้จะบอกว่าปล่อยให้มีอำนาจ แต่ยังไงก็ต้องรักษากฎระเบียบ จากกระทำตามอำเภอใจไม่ได้”
อ๋องชินเฟิงอันหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่ จะต้องมีกฎระเบียบ มีขอบเขตจำกัด กาน้ำชานี้ก็คือกฎระเบียบ ตอนนี้เขาสามารถเคลื่อนไหวได้เพียงภายใต้กฎระเบียบของเจ้า แต่เมื่อเขาได้ขึ้นครองราชย์ กาน้ำชานี้ก็คือกฎระเบียบที่เขาตั้งขึ้นมา บางทีเขาอาจจะเพิ่มใหญ่ขึ้น หรือบางทีอาจจะลดเล็กลง หรือบางทีอาจจะสูงบ้าง ทั้งหมดนี้ล้วนกำหนดขึ้นโดยเขากับขุนนางของเขา ส่วนมาตรฐานในการกำหนด ก็ต้องดูว่าเหมาะสมกับการพัฒนาในตอนนี้หรือไม่”
ฮ่องเต้หมิงหยวนจ้องมองดูกาน้ำชานั่น แววตาค่อนข้างสับสน พร้อมพูดขึ้นว่า “ท่านหมายความว่า กฎระเบียบที่ข้าตั้งขึ้นมา ไม่เหมาะสมกับการพัฒนาเป่ยถังในตอนนี้หรือ?”
อ๋องชินเฟิงอันพยักหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “เป็นเช่นนั้นจริง”
ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดขึ้นอย่างเสียใจว่า “ข้าทำได้ไม่ดีมาตลอด ใช่หรือไม่?”
อ๋องชินเฟิงอันมองดูเขา เอื้อมมือไปตบบ่าของเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ เจ้าช่วยเสด็จพ่อของเจ้าผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดมาได้ การปกครองอย่างเป็นกลางของเจ้า ทำให้เป่ยถังอย่างมั่นคงมาแล้วสิบปี ตอนนี้เป่ยถังถึงเวลาต้องพัฒนาแล้ว เป่ยถังต้องทำมาค้าขายกับประเทศรอบๆ จะปิดประเทศอีกต่อไปไม่ได้ เรื่องนี้ เจ้าไม่สามารถทำได้ ไม่เกี่ยวกับความสามารถของเจ้า พูดได้เพียงว่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าชำนาญ และเรื่องนี้ จะต้องเป็นคนที่มีแรงบันดาลใจ มีทีมงานที่มีความสามารถไปทำ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
อ๋องชินเฟิงอันมองดูพร้อมพูดขึ้นว่า “มีประเทศหนึ่ง……ประเทศนี้อยู่ห่างไกล เจ้าไม่รู้ ประเทศนี้ในทุกๆหลายปี จะเปลี่ยนประมุขหนึ่งครั้ง ประมุขที่มีให้เลือก ต่างมีความสามารถ ประเทศพัฒนาไปถึงระดับอะไร ใช้คนแบบไหน ไม่มีใครหลงใหลอำนาจ เพียงทำเพื่อให้ประเทศชาติกลายเป็นประเทศร่ำรวยที่สุด เจริญรุ่งเรืองที่สุด ให้ประชาชนทั้งหมดมีชีวิตที่ดีขึ้น ข้าพูดเช่นนี้ เจ้าเข้าใจไหม?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนแลดูค่อนข้างตกตะลึง พร้อมพูดขึ้นว่า “มีประเทศเช่นนี้ด้วยหรือ?”
“ใช่ จะทำอะไร ต้องดูว่าในใจของเจ้าคิดอะไร? อำนาจสำคัญที่สุด หรือว่าประชาชนสำคัญที่สุด”
ฮ่องเต้หมิงหยวนนิ่งอึ้งมองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้า……ไม่เคยคิดถึงคำถามเช่นนี้ จึงไม่รู้ว่าจะต้องเลือกอย่างไร”
อ๋องชินเฟิงอันพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ลองคิดดูให้ดี เมื่อคิดดีแล้ว ก็สามารถจัดการวางแผนให้ดี”
ฮ่องเต้หมิงหยวนหยิบกาน้ำชาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า เหมือนดั่งก้อนหินที่หนักอึ้งภายในใจนั้น ราวกับถูกเคลื่อนย้ายออกไปบ้างแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น ฮ่องเต้หมิงหยวนจะไปแล้ว
อ๋องชินเฟิงอันพูดกับเขาเรื่องสุดท้ายว่า “อีกไม่กี่วันข้าก็จะไปแล้ว ป่าดอกไม้นี้ก็ต้องขายออกไป หมู่ตึกเหมยนี้เสด็จป้าของเจ้าปลุกเองมานานหลายปี ข้าไม่อยากขายให้กับคนอื่นจริงๆ หากฮ่องเต้อยากได้ สามารถเสนอราคามาได้ เรามาคุยกัน”
“เสด็จลุงจะขายหมู่ตึกเหมยจริงๆหรือ?” ฮ่องเต้หมิงหยวนประหลาดใจ หมู่ตึกเหมยนี้งดงาม มีชีวิตชีวาทั้งข้างนอกข้างใน เต็มไปด้วยไฟแห่งชีวิต ขายไปแล้วไม่เสียดายแย่หรือ?
“ใช่ มีคนมาดูแล้วหลายคน”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองไปรอบๆสักพัก แล้วพูดขึ้นว่า “ข้าเอา ไม่ต้องขายกับคนอื่น ขายเท่าไหร่?”
มุมปากอ๋องชินเฟิงอันค่อยๆเผยยิ้ม พร้อมพูดขึ้นมา “หนึ่งล้านตำลึง ทั่วทั้งหมู่ตึกเหมย บวกกับภูเขาด้านหน้าด้านหลัง”
“แพงขนาดนี้?” ฮู่เฟยพ่นลมหายใจเย็นออกมา
อ๋องชินเฟิงอันพูดขึ้นว่า “มูลค่าคู่ควร หมู่ตึกเหมยทั้งหมดนี้ ป่าดอกท้อทั้งหมดนี้ ล้วนปลูกมานานแล้ว และทำเลที่ตั้งดีเยี่ยม หันหน้าไปทางถนนทางการ เจริญในความสงบ เป็นสมบัติหายาก ที่สำคัญคือ ภูเขานี้เป็นเหมืองหยก และเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลของข้า ทางราชสำนักเอากลับไปไม่ได้”
“จริงหรือ?”
“ใช่ ข้าเคยไปขุด เปิดปากไว้หนึ่งทาง พวกเจ้ามาดู…..” อ๋องชินเฟิงอันพาพวกเขาเดินไปข้างหน้า เดินอ้อมหน้าบ้านไปตามถนนเล็กไปถึงด้านหลัง เห็นตรงนั้นปกคลุมไปด้วยฟาง อ๋องชินเฟิงอันไปเปิดฟาง แล้วก็เห็นแผ่นหินที่โผล่ออกมาข้างในนั้นเรืองแสงเป็นสีน้ำเงินเข้ม
ฮู่เฟยตกตะลึงพร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่มรกตไหม?”
อ๋องชินเฟิงอันหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องก้อนหินพวกนี้”
“ข้าซื้อ ข้าจะซื้อ” ฮ่องเต้หมิงหยวนรีบพูดขึ้น มรกต ไท่ซ่างหวงกับพระชายารัชทายาทชอบที่สุด
“ดี งั้นก็หนึ่งล้านตำลึง ฮ่องเต้เตรียมให้พร้อม” อ๋องชินเฟิงอันอมยิ้ม
“ได้…..” ฮ่องเต้หมิงหยวนพยักหัว แล้วก็หันกลับไปมอง พร้อมถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “มีเสียงร้องดีใจดังมาจากไหนหรือ?”
อ๋องชินเฟิงอันหันกลับไป เลือกตาใส่ทางด้านสถานที่หนึ่ง แล้วก็หันมายิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ เป็นเสียงลม เป็นเสียงดังมาจากตรงข้ามหุบเขา”
“เป็นแบบนี้นี่เอง งั้นข้าก็ขอกลับก่อน เสด็จลุงส่งแค่นี้ก็พอ” ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดขึ้น
“เดินทางปลอดภัย เดินทางปลอดภัย” อ๋องชินเฟิงอันมองดูเขาหันหน้าไป สายตาค่อยเปล่งประกายความดีใจ
ขบวนเสด็จกองเกียรติยศค่อยๆจากไป พระชายาโล่หมันยืนอยู่ด้านข้างเขา พร้อมพูดขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “เรื่องเหมืองหยกนั่น….” ย้อมสีจะโดนตีไหม?
อ๋องชินเฟิงอันมองดูนาง พร้อมพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “หินหยกขาวก็ถือว่าเป็นเหมืองหยก”
พระชายาโล่หมันพยักหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “อืม เราลืมชื่อเรียกหินหยกขาวอีกชื่อว่าหินอ่อนไป ยังไงหินหยกขาวเป็นเพียงอย่างหนึ่งในหินอ่อน”
ในเมืองหลวง เจ้าห้าจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว รอคอยเดินทางไปยังยุคปัจจุบันเพื่อจัดงานแต่งงานของตนเอง