บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1431 ออกเดินทางไปยังทะเลสาบจิ้ง
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1431 ออกเดินทางไปยังทะเลสาบจิ้ง
เสด็จพ่อก็มาถึงเมืองหลวงแล้ว เขาออกไปรอรับพร้อมกับเหล่าขุนนาง ส่งฮ่องเต้หมิงหยวนไปถึงในวัง จัดการงานก่อนหลัง ยังต้องจัดการเอกสารรายงานฎีกาที่เขาเอากลับมา เพื่อปรึกษาหารือในที่ว่าราชการพรุ่งนี้เช้า
แต่ความเหน็ดเหนื่อย ก็ไม่ทำให้ความดีใจที่เขาจะได้เจอพระชายารัชทายาทหายไป
นับถอยหลังยังเหลืออีกสามวัน
สิ่งของล้วนซื้อแล้วพอสมควร ภายในจวนก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ถึงตอนนั้นยังต้องออกเดินทางก่อน ดังนั้นพรุ่งนี้หลังจากว่าราชการเช้าเสร็จแล้ว เขาก็เตรียมตัวออกเดินทางแล้ว ยังไงก็พากันไปทั้งครอบครัว จะเร่งรีบไม่ได้ กำหนดเวลาไว้พอดีจะเสียเปรียบ
ถึงตอนนั้นจะพาแม่นมคนหนึ่งไปถึงทะเลสาบจิ้ง แต่หลังจากถึงทะเลสาบจิ้งแล้ว ก็ให้คนส่งนางกลับมา ยังไงไปถึงทางโน้นแล้วมีนมผง ไม่ต้องเอาแม่นมไปด้วย
ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจที่จะพาแม่นมสี่ไปด้วย แต่หลังจากที่ซาลาเปาไปทางด้านนั้นกลับมาบอกว่า ให้พาแม่นมสี่ไปด้วย เขาจึงทำตามคำสั่งทางด้านนั้น
วันเวลาใกล้เข้ามาถึง ภายในใจเขาก็ยิ่งตื่นเต้น ยิ่งรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากว่าราชการเสร็จ ฮ่องเต้หมิงหยวนเรียกเขาไปที่ห้องทรงพระอักษร บอกว่าให้เขาอยู่ร่วมทานอาหารเที่ยง
เดิมเจ้าห้าเตรียมที่จะออกเดินทางตั้งแต่เที่ยง แต่หากทานข้าวเที่ยงเป็นเพื่อนเสด็จพ่อ งั้นก็จะได้ออกเดินทางก่อนพลบค่ำ พาลูกๆไปด้วยไม่ค่อยสะดวก อยากปฏิเสธ แต่เสด็จพ่อเชิญให้เข้าร่วมรับประทานด้วยนั้นน้อยครั้งมาก เกรงว่าจะมีเรื่องสำคัญอะไร จึงเลื่อนการเดินทางออกไปเป็นวันพรุ่งนี้ ยังไงก็ไปทัน
ระหว่างทานข้าว ยังคงเป็นกับข้าวธรรมดามีอาหารเพียงสองสามอย่าง มีบางครั้งหยู่เหวินเห้ารู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้เสด็จพ่อผ่านมาอย่างทุกข์ยากลำบาก ถึงแม้จะเป็นฮ่องเต้ผู้สูงส่ง แต่การดื่มการกินล้วนธรรมดาอย่างมาก ความหรูหรามั่งคั่ง เขาไม่เคยสนใจ
ในใจรู้สึกผิด คิดว่าหลังจากรับเจ้าหยวนกลับมาแล้ว จะเชื่อฟังเจ้าหยวน ต่อไปจะคอยอยู่กับเขามากขึ้น
ทานอาหารเที่ยงเสร็จแล้ว หยู่เหวินเห้าถามขึ้นว่า “เสด็จพ่อ มีเรื่องสำคัญอะไรจะพูดกับลูกหรือเปล่า?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองดูเขา ส่ายหัวพร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไร แต่อยากทานข้าวด้วยกันสองพ่อลูก”
หยู่เหวินเห้าค่อนข้างแปลกใจ
ฮ่องเต้หมิงหยวนเรียกมู่หรูกงกงไปเตรียมน้ำชามา จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ได้ออกไปครั้งนี้ ถึงรู้ว่าพ่อลูกในครอบครัวประชาชนเขาอยู่กันยังไง เราสองพ่อลูกมีกฎระเบียบเยอะเกินห่างเหินกันมาก”
“เสด็จพ่อ ต่อไปลูกจะหาเวลาอยู่กับท่านเยอะๆ” หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นด้วยเสียงเบา
“ดี” ฮ่องเต้หมิงหยวนมองดูเขาอย่างรักใคร่ ช่วงเวลาที่ออกไปข้างนอกนี้ ที่ได้เห็นที่ได้ยิน เชื่อมโยงกับสิ่งที่เขาได้ทำ รู้สึกว่าการที่เขาเป็นพ่อ ทำหน้าที่ในการเป็นพ่อได้ไม่ดีเลย เขาถึงขั้นไม่เคยได้มองลูกชายดีๆเลยสักครั้ง
รูปร่างหน้าตาของเขาหล่อมาก ถึงว่าพวกพระราชนัดดาต่างก็หล่อเหลาน่ารักขนาดนี้
ฮ่องเต้หมิงหยวน ภาคภูมิใจอย่างมาก
“เมื่อไหร่จะออกเดินทางไปรับพระชายารัชทายาท?” ฮ่องเต้หมิงหยวนถามขึ้น
“เดิมวางแผนจะไปวันนี้ ตอนนี้เลื่อนไปเป็นวันพรุ่งนี้” หยู่เหวินเห้าพูดขึ้น
ฮ่องเต้หมิงหยวนหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “คิดถึงพระชายารัชทายาทแล้วใช่ไหม?”
หยู่เหวินเห้าก็หัวเราะ พร้อมพูดยอมรับว่า “ใช่ คิดถึงนางแล้ว อยากเจอนางเร็วๆ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนเห็นหน้าตาไร้เดียงสาของลูกชาย มีเพียงตอนที่พูดถึงพระชายารัชทายา เขาถึงจะเผยให้เห็นถึงท่าทีแบบนี้ จึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ ข้าก็ไม่มีธุระอะไร เจ้าไปเถอะ รีบไปรับพวกเขากลับมา ข้าก็คิดถึงพวกเขาแล้ว”
หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่าวันนี้เสด็จพ่อเปลี่ยนไป จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “เสด็จพ่อ ท่านไม่มีอะไรสำคัญจะพูดกับข้าจริงหรือ?”
“ใช่ว่าข้าจะต้องพูดกับเจ้าแต่เรื่องสำคัญ ไม่ใช่หรือ?” ฮ่องเต้หมิงหยวนถามกลับ
หยู่เหวินเห้าหัวเราะ ลุกขึ้นมาถวายความเคารพ พร้อมพูดขึ้นว่า “งั้นลูกขอทูลลา”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองดูแผ่นหลังของเขา ถอนหายใจเบาๆ ทันใดนั้นก็โล่งอก
มู่หรูกงกงเตรียมน้ำชาเข้ามา องค์ชายรัชทายาทกลับไปแล้ว จึงนิ่งอึ้งพร้อมถามขึ้นว่า “องค์ชายรัชทายาทล่ะ? กลับไปแล้วหรือ?”
“เขาจะไปรับพระชายารัชทายาท” ฮ่องเต้หมิงหยวนเงยหน้าขึ้นมามองดูมู่หรูกงกง พร้อมพูดขึ้นว่า “มู่หรู เจ้าติดตามข้ามากี่ปีแล้ว?”
มู่หรูกงกงวางอุปกรณ์ชาลง พร้อมยิ้มพูดขึ้นว่า “ฮ่องเต้ พริบตาเดียว ผ่านไปตั้งสามสิบปีแล้ว”
ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดขึ้นว่า “เราถือว่ารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก มู่หรู หากวันหนึ่งข้าไปจากวังนี้ องค์ชายรัชทายาทก็คือนายของเจ้า เจ้าจะต้องปรนนิบัติรับใช้องค์ชายรัชทายาทเหมือนกับที่ปรนนิบัติรับใช้ข้า รู้ไหม?”
สีหน้ามู่หรูกงกงเปลี่ยน พร้อมพูดขึ้นว่า “อ่องเต้ ทำไมท่านถึงจะไม่อยู่ในวังล่ะ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองดูเขาอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าพูดว่า หาก”
“นี่ไม่มีว่าหาก”
ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า “ทำไมจะพูดว่าหากไม่ได้? ยังไงข้าก็จะต้องมีวันที่ต้องจากไป”
มู่หรูกงกงรีบคุกเข่าลง พร้อมพูดขึ้นว่า “ฮ่องเต้ ต่อให้มีวันนั้นจริง ยังไงกระหม่อมก็ต้องเป็นคนที่ไปก่อน ต่อให้กระหม่อมยังมีชีวิตอยู่ กระหม่อมก็จะไม่อยู่อย่างเอาตัวรอดไปวันๆ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดขึ้นด้วยเสียงเข้มว่า “เอาล่ะ ที่ข้าพูดมา เจ้าจำไว้ก็พอ”
“กระหม่อม….” มู่หรูกงกงเงยหน้าขึ้น จ้องมองดูฮ่องเต้หมิงหยวนอย่างสงสัย แต่ก็ทำได้เพียงพูดตอบว่า “กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”
เดิมหยู่เหวินเห้าเตรียมออกเดินทางพรุ่งนี้ แต่หลังจากออกมาจากวังแล้ว ก็รู้สึกว่าออกเดินทางไปก่อนดีกว่า แล้วก็ค่อยพักผ่อนระหว่าง
ดังนั้นกลับไปถึงแล้วก็สั่งการ ขบวนเสด็จกองเกียรติยศเดินทางออกจากเมืองหลวง
สวีอีกับทังหยางขี่ม้ามาส่ง พวกเขารู้จักทะเลสาบจิ้ง รู้ว่าก่อนหน้านี้พระชายารัชทายาทหายเข้าไปในทะเลสาบจิ้ง เขาอยากตามไปมาก แต่องค์ชายรัชทายาทบอกว่า ทางด้านนั้นอันตราย ไปแล้วอาจจะไม่ได้กลับมา จะต้องอยู่ทางนั้นไปตลอดชีวิต งั้นเขาจะไปไม่ได้แน่นอน เขายังมีอะซี่กับลูกสาวที่ต้องเลี้ยง
ทังหยางก็ไปไม่ได้ ถึงแม้จวนอ๋องฉู่ไม่มีเจ้านายอยู่ แต่ยังไงก็ต้องมีคนคอยดูแลจัดการ
สภาพจิตใจที่เหมือนกับหยู่เหวินเห้าคือ หยวนชิงหลิงกับโสวฝู่ที่อยู่ในยุคปัจจุบัน
โสวฝู่รู้ว่าเสี่ยวสี่จะมา วันนั้นเขาเพียงแค่พูดไปอย่างนั้น เช้าวันรุ่งขึ้นพระชายารัชทายาทก็มาบอกเขาว่า เสี่ยวสี่จะตามมาด้วย ทำให้เขาดีใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน
เรื่องงานแต่งงาน ภายใต้การจัดการของนายท่านสาม ตกลงจะจัดอย่างใหญ่โตอลังการ
นี่เดิมก็เป็นความตั้งใจของไท่ซ่างหวง แต่ไท่ซ่างหวงกลับไม่ค่อยดีใจ ดูเหงาหงอยติดต่อกันสองสามวัน
โสวฝู่จึงนัดชวนเขาออกไปเดินเล่น ไม่ให้น้องสิบแปดไปด้วย เมื่อไหร่ที่มีน้องสิบแปดอยู่ด้วย ก็จะไม่มีโอกาสได้คุยเรื่องภายในใจ
“งานแต่งงานก็จัดเตรียมตามที่เจ้าต้องการแล้ว ทำไมถึงยังไม่ดีใจล่ะ?” โสวฝู่ถามขึ้น
ไท่ซ่างหวงหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าดีใจ ข้าดีใจอยู่แล้ว”
“เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ดีใจ” โสวฝู่ดึงเขานั่งลง ดูกลุ่มแม่บ้านเต้นออกกำลังกาย ความจริงแล้ว ตอนนี้โสวฝู่ก็เต้นออกกำลังกายเป็น ดูไม่กี่ครั้งก็เป็นแล้ว
ไท่ซ่างหวงถอนหายใจเบาๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไมข้าถึงยืนยันต้องการให้จัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต? เจ้าน่าจะรู้ เพราะข้ารอไม่ถึงตอนที่เขาขึ้นครองราชย์ รอไม่ถึงได้เห็นตอนที่พวกเขาจัดพิธีแต่งตั้งฮองเฮาในเป่ยถัง ข้าอยากเห็น แต่นั่นก็จะต้องรออีกนานหลายปีอย่างมาก ข้าไม่มีทางรอได้ถึงวันนั้น ที่นี่ ยังไงก็ไม่ใช่เป่ยถัง ต่อให้งานแต่งงานใหญ่โตอีกแค่ไหน ประชาชนของเป่ยถังล้วนไม่รับรู้ คนในราชวงศ์ของเป่ยถังก็ไม่สามารถมาร่วมด้วย ขุนนางของเป่ยถังก็ไม่สามารถมาคุกเข่าอวยพร….”
เขาเงียบไปสักพัก แล้วพูดขึ้นอย่างเชื่องช้าว่า “ไม่สามารถร่วมเฉลิมฉลองกันทั้งประเทศ”
โสวฝู่พูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “แต่ยังไงก็จะต้องมีวันนั้น”
ไท่ซ่างหวง พูดขึ้นอย่างโศกเศร้าว่า “แต่ข้าไม่ได้เห็นแล้ว”
โสวฝู่ฟังเขาพูดอย่างอึดอัดใจ ในหัวสมองคิดถึงภาพเหตุการณ์ในตอนนั้น พร้อมพึมพำพูดขึ้นว่า “ตอนนั้น คงจะเป็นงานเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ของเป่ยถัง จะต้องคึกคักอย่างมาก ร่วมฉลองกันไปทั่วแผ่นดิน บนท้องฟ้าก็จะจุดพลุ ประชาชนล้วนร่วมอวยพร จุดโคมไฟเป็นมงคลทั่วทั้งเมืองหลวง”
แทนที่จะพูดว่ารอคอยงานแต่งงานนั้น พูดว่ารอคอยพิธีแต่งตั้งฮ่องเต้ดีกว่า สามารถได้เห็นคนที่พวกเขาเลือกเอง สวมชุดคลุมลายมังกร ขึ้นครองราชย์อยู่ในตำแหน่งสูงสุดนั่น