บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1433 ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าแล้ว
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1433 ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าแล้ว
แสงสว่างของตัวรถสาดส่องมา พวกแฝดสามต่างโบกมือร้องเรียกว่า “อยู่ที่นี่ อยู่ที่นี่”
รถสองคัน เคลื่อนมาตรงหน้า ไฟหน้ารถส่องสว่างรอบๆขึ้นมาอย่างกะทันหัน สวีอีเพิ่งถูกองค์ชายรัชทายาทผลักทิ้ง แล้วก็มองเห็นแสงสว่างจ้าสาดส่อง ขาอ่อนแรงในทันใด จนนั่งลงกับพื้น แล้วก็ร้องไห้ขึ้นมา
หยวนชิงหลิงลงจากรถก่อน ได้ยินเสียงร้องของสวีอี นางยกมือนวดขมับ ไม่สนใจเขา รีบมองหาเจ้าห้ากับเสี่ยวกวาจื่อ แต่พวกแฝดสามกับเจ้าแฝดวิ่งมาก่อน นางคุกเข่าลงกอดพวกเขาไว้ เสียงร้องเรียกแม่ดังจนแก้วหูสั่นสะเทือน
น้ำตาไหลลงอย่างอดกลั้นไม่ไหว ในขณะที่น้ำตาไหลพราก ก็มองเห็นเจ้าห้าอุ้มลูกสาวเดินมา พวกลูกๆต่างถอยหลังให้แม่ลุกขึ้นมาอย่างรู้ความ
หยู่เหวินเห้าใช้มือข้างหนึ่งอุ้มลูกสาว มืออีกข้างหนึ่งเช็ดน้ำตาให้กับหยวนชิงหลิง จ้องมองดูนางด้วยสายตาอ่อนโยน แล้วก็พูดขึ้นด้วยดวงตาแดงว่า “ผมสั้นสวยพริ้มเพรา น่ารัก”
หยวนชิงหลิงใส่วิกผมปลอมไว้ แต่เส้นผมก็ออกมาแล้ว สั้นเท่านิ้วมือ กลัวว่าแม่นมสี่กับพวกลูกๆตกใจ ดังนั้นจึงใส่วิกผมปลอม แต่ผมก็สั้นเท่าหู แลดูสวยพริ้มเพราอย่างมาก
เช็ดน้ำตาแล้ว แต่ก็ยังไหลออกมาอีก ไหลอาบใบหน้าสวยพริ้มเพรา
นางพูดขึ้นด้วยเสียงแหบว่า “เจ้าผอมไปแล้ว”
“ไม่มีเจ้าอยู่ข้างกาย ไม่เคยชิน” หยู่เหวินเห้ายิ้มพูดขึ้นอย่างสะอึกสะอื้น ยกลูกสาววางในมือของนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ดูลูกสาวเรา”
เสี่ยวกวาจื่อลืมตาขึ้น มองดูหยวนชิงหลิงอย่างบริสุทธิ์อ่อนหวาน แล้วก็ยื่นมือยื่นแขนขึ้นมาอย่างดีใจ เหมือนกับรู้จักเป็นอย่างดี
หยวนชิงหลิงไม่สามารถหยุดน้ำตาได้ ลูกสาวที่ต้องทิ้งมาตั้งแต่ยังไม่ทันครบเดือน ตอนนี้สองเดือนกว่าแล้ว คิ้วเข้ม ดวงตาคล้ายเจ้าห้า งดงามมาก
“อ้า เจ้าคือพระชายารัชทายาทหรือ?”
ในบรรยากาศที่โศกเศร้า ถูกทำลายด้วยเสียงร้องตกใจของสวีอี เขาเอามือปิดปาก มองดูหยวนชิงหลิงอย่างตกตะลึง มองตั้งแต่หัวจรดเท้า คือพระชายารัชทายาท แล้วก็เหมือนไม่ใช่พระชายารัชทายาท
สวมเสื้อผ้าอะไร?
“หุบปาก” หยู่เหวินเห้าทนเขาไม่ไหวแล้วจริงๆ เวรกรรมแท้ๆ ทำไมจะต้องเอาเขามาด้วย?
สวีอีหันไปมองแม่นมสี่ แม่นมสี่กลับจำได้แล้ว ตื่นเต้นดีใจอย่างมาก หันไปมองรอบๆ ในที่สุดก็มองเห็นรถคันใหญ่ด้านหลัง มีคนที่นางอยากเห็นกำลังเดินลงมา
เสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่เหมือนเดิม ทรงผมไม่เหมือนเดิม แต่นางแค่มองก็จำได้ทันที
โสวฝู่อมยิ้ม แล้วก็รีบเดินไปหา
แม่นมสี่เห็นเขาเดินมาด้วยตนเอง ฝีเท้ามั่นคง ดวงตาเป็นประกาย เขาหายดีแล้ว เขาสามารถมองเห็นแล้ว
โสวฝู่ยืนอยู่ตรงหน้าของนาง มองดูนางร้องห่มร้องไห้ โสวฝู่สูดลมหายใจเข้า แล้วก็โอบกอดนางแนบอก
แม่นมสี่ตกใจอย่างมาก รีบยื่นมือผลัก พร้อมพูดขึ้นว่า “ทำแบบนี้ไม่ได้ มีคนตั้งมากมายขนาดนี้?”
โสวฝู่ปล่อยนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “เสี่ยวสี่ สถานที่นี้ไม่เหมือนกัน คนที่นี่ขอเพียงเป็นสิ่งที่ชอบ ก็สามารถกอดได้ ไม่ว่าจะมีคนอยู่มากขนาดไหน”
แม่นมสี่ตกตะลึง พร้อมพูดขึ้นว่า “อ๋า?”
“ต่อให้อยู่ที่เป่ยถัง แล้วยังไง?” โสวฝู่จับมือของนางไว้พร้อมพูดขึ้นว่า “ชีวิตคนเรานั้นสั้น ไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร ตนเองพอใจก็พอ”
หยวนชิงหลิงก็กอดท่านย่า ทั้งครอบครัวเก้าคนยืนอยู่ด้วยกัน ต่างมองดูแม่นมสี่กับโสวฝู่ ถึงแม้หยวนชิงหลิงจะรู้ว่าโสวฝู่จะเปลี่ยนไปบ้าง แต่คิดไม่ถึงว่าเพิ่งได้เจอหน้ากัน เขาก็พูดความในใจกับแม่นมสี่แล้ว
ไท่ซ่างหวงกับเซียวเหยากงเดินลงมาจากรถ ไท่ซ่างหวงตะโกนพูดว่า “กลับไปแล้วค่อยคุยกัน ในป่านี้ค่อนข้างเย็น เดี๋ยวจะไม่สบายกัน”
พูดเสร็จ เขาก็หันมาพูดกับหยวนชิงหลิงว่า “อุ้มน้องฟีนิกซ์ของข้ามา”
หยู่เหวินเห้าเห็นไท่ซ่างหวงอยู่ด้านนั้น ก็รีบจะคุกเข่าถวายความเคารพ ไท่ซ่างหวงแตะเข่าเขาหนึ่งที พร้อมพูดขึ้นว่า “ลุกขึ้นมา”
เขาอุ้มน้องฟีนิกซ์ พร้อมพูดขึ้นด้วยความดีใจว่า “งดงามอย่างมาก”
น้องฟีนิกซ์ก็ชอบเสด็จปู่ทวด ยิ้มหวานอารมณ์ดี ยิ่งทำให้ในใจไท่ซ่างหวงอ่อนระทวย
เซียวเหยากงเปิดประตูรถ พร้อมพูดขึ้นอย่างค่อนข้างภาคภูมิใจว่า “ขึ้นรถ พวกเราซื้อรถใหม่ สวยไหม?”
“นี่คือรถ?” สวีอีเดินไปข้างหน้าก่อน แปลกใจที่เห็นรถคันใหญ่จนน่าตกใจ นี่สามารถนั่งได้กี่คนหรือ? ใช้อะไรลากรถ? ลูกตาสวีอีแทบหลุดออกมา
รถคันนี้ ไม่ใช่คันที่หยวนชิงโจวซื้อ เป็นรถบัสท่องเที่ยวที่ซื้อตอนคุยเรื่องงานแต่งงาน ความจริงแล้ว ก็ไม่ใช่เซียวเหยากงซื้อ นายท่านสามเป็นคนซื้อ บอกว่าเมื่อทุกคนมาถึง เวลาออกไปเที่ยว ก็ไม่ต้องใช้รถหลายคัน รถคันเดียวก็สามารถนั่งได้หมด
วันนี้ออกมารับพวกเขา เดิมพี่ชายของหยวนชิงหลิงมาคนเดียวก็พอแล้ว แต่พวกเขาจะตามมาด้วยให้ได้
และเดิมหยวนชิงหลิงจะไปรอทางด้านจุดชมวิว แต่พอไปถึงครึ่งทางแล้วได้รับสายหยางหรูไห่ บอกว่าน่าจะมาที่ภูเขาเมฆขาว จึงให้นางกลับรถ ดังนั้นจึงมีรถมาทางนี้สองคัน
ไม่สนใจสวีอี เซียวเหยากงเริ่มเรียกคนขึ้นรถ ไท่ซ่างหวงก็ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ มองดูท่านย่าหยวนอย่างยิ้มหวาน พร้อมพูดขึ้นว่า “จูตี้ ข้าเห็นลูกชายของเจ้าแล้ว”
ท่านย่าหยวนพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า “ใช้ได้ไหม?”
“เยี่ยมมาก” ไท่ซ่างหวงเอื้อมมือเชื้อเชิญ พร้อมพูดขึ้นว่า “คุณผู้หญิงขึ้นก่อน”
ละครไม่ได้ดูเปล่า
ท่านย่าหยวนยิ้มร่า
แล้วคนทั้งหมดก็ถูกพามายังในซอยบ้าน หากสวีอีไม่ยื่นหัวออกไปอ้วกตลอดทาง ดูวิวทิวทัศน์ตลอดเส้นทาง ดูวัฒนธรรมท้องถิ่นของที่นี่ แสดงสิ่งที่ได้เรียนรู้ที่นี่ ก็ถือเป็นความเพลิดเพลินระดับหนึ่ง
ไท่ซ่างหวงบ่อนกับหยู่เหวินเห้าว่า “ทำไมถึงพาเจ้านี่มาด้วย?”
“เขาตกลงมาเอง” หยู่เหวินเห้าเองก็เหนื่อยหน่าย
“ยังสามารถตกลงมาได้? ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ” ไท่ซ่างหวงแอบเหลือบมองสวีอีแวบหนึ่ง หลังจากเขาลงรถแล้ว ก็ยืนอยู่ที่โรงรถมองซ้ายมองขวาอยู่ตลอด เหมือนอย่างกับคนบ้า ไม่เคยเห็นรถเยอะขนาดนี้หรือ?
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างปวดหัวว่า “ช่างเถอะ ไม่พูดถึงเขาแล้ว เสด็จปู่ อยู่ที่นี่พอคุ้นเคยไหม? อาการป่วยของโสวฝู่หายดีหรือยัง?”
“เคยชิน เคยชินอย่างมาก ข้าก็เพิ่งรู้ว่าเจ้าก็เคยมา ใช่ ก่อนหน้านี้เจ้าเคยมาที่นี่ ขับรถเป็นหรือยัง?” ไท่ซ่างหวถามขึ้นอย่างค่อนข้างภาคภูมิใจ
“ขับรถ? คือ….” เขาแอบเหลือบมองดูเจ้าหยวนแวบหนึ่ง เจ้าหยวนอุ้มลูกไว้แล้วก็ยิ้ม พร้อมส่ายหัวอย่างจนใจ
ใช่ พวกเขาไปสอบใบขับขี่แล้ว ภาคแรกนอกจากโสวฝู่ อีกสองคนไม่ผ่าน แต่เรียกร้องจะฝึกขับรถ ช่วงนี้หยวนชิงโจวถูกรบกวนอย่างมาก จนบ่นร้องขอความช่วยเหลือแล้ว
“ข้าพอเป็นบ้าง เรียนอีกไม่กี่วัน ก็น่าจะพอได้ ถึงตอนนั้นข้าขับรถพาเจ้าไปเที่ยว” ไท่ซ่างหวงพูดขึ้นอย่างดีใจ
หยู่เหวินเห้าไม่กล้าปฏิเสธ แต่ในใจแอบคิด ว่าจะไม่นั่งเด็ดขาด เมื่อก่อนเขาเคยมา รู้ว่าขับรถไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น
แต่เขาก็ค่อนข้างตกตะลึง เพราะเดิมคิดว่าพวกไท่ซ่างหวง จะไม่คุ้นเคยที่นี่ กลับคิดไม่ถึงว่าเวลาช่วงสั้นๆไม่ถึงสองเดือน ก็เหมือนกลายเป็นคนที่มีไปแล้วกว่าครึ่ง ไม่เลวจริงๆ
สวีอีถูกหยวนชิงโจวประคองเข้าไปในลิฟท์ เมื่อเข้าไปสวีอีก็อยากอ้วกอีก หยวนชิงโจวพูดขึ้นอย่างน่าสงสารว่า “ช่างเถอะ เจ้าไปเดินขึ้นบันไดกับข้าเถอะ”
เมารถก็ช่างเถอะ ยังจะเมาลิฟท์อีก สู้แม่นมสี่ก็ไม่ได้ อย่างน้อยแม่นมสี่ก็ไม่เมารถ
ในใจสวีอีเต็มไปด้วยประโยคคำถาม แต่ว่าตอนนี้ไม่มีแรงแล้ว ทุกคนเรียกอาการเวียนหัวคลื่นไส้นี้ว่าเมารถ เขาคิดว่า การเมารถเป็นสิ่งที่ทรมานที่สุดในโลก
เมื่อมาถึงบ้าน เขาล้มลงนอนบนโซฟา แล้วก็หลับตา พร้อมพูดขึ้นอย่างหมดแรงว่า “ใครก็ห้ามแตะต้องข้า”
ทุกคนต่างก็หัวเราะขึ้นมา
หลังจากหยู่เหวินเห้าทักทายพ่อตาแม่ยายเรียบร้อยแล้ว ก็รีบดึงหยวนชิงหลิงไปในห้อง ประตูปิดลง ก็โอบกอดนางไว้แน่น อัดอั้นใจจนน้ำตาไหล