บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1434 โชคชะตากำหนด
เกือบสองเดือนกับความคิดถึงอย่างที่สุด จนมาถึงตอนที่ได้เจอกัน ยังรู้สึกว่าเหมือนไม่ใช่ความจริง มีเพียงตอนนี้ ที่ได้กอดไว้แน่น ในใจค่อยรู้สึกมั่นคงปลอดภัย
“ยังรู้สึกเหมือนดั่งฝันไป” หยู่เหวินเห้าพึมพำพูดอยู่ข้างหูของนาง
หยวนชิงหลิงปล่อยเขา แล้วจูบริมฝีปากของเขา มุมปากอมยิ้มอย่างน่าหลงใหล พร้อมพูดขึ้นว่า “แบบนี้รู้สึกถึงความเป็นจริงหรือยัง?”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นด้วยแววตาลึกซึ้งว่า “ยังไม่ค่อยเหมือนความจริง หากสามารถได้…..”
หยวนชิงหลิงเขย่งเท้าขึ้น ใช้ปากประกบริมฝีปากของเขา จนร่างกายหยู่เหวินเห้าร้อนรุ่ม มือข้างหนึ่งอุ้มนางไว้ มืออีกข้างหนึ่งอุ้มนางไปที่ข้างเตียง แล้วก็ปล่อยนางลงอย่างระมัดระวัง ค่อยๆจูบริมฝีปากของนาง
หยวนชิงหลิงที่หลับตา จู่ๆก็ลืมตาขึ้น สายตาฉายแววเสียใจ รีบผลักเจ้าห้าทิ้ง เจ้าห้ายังรั้งไม่ยอมปล่อย หยวนชิงหลิงใช้เท้าถีบเขาตกเตียง
ด้านนอกมีซาลาเปาเสียงดังขึ้นว่า “พ่อ แม่ พวกเราเข้ามาได้ไหม?”
พูดไม่ทันเสร็จ ประตูก็ถูกเปิดออกแล้ว ไม่มีเวลาให้ตอบรับใดๆ
หัวสมองน้อยๆทั้งห้า พากันเข้ามาพร้อมพูดขึ้นว่า “พ่อ แม่ พวกท่านทำอะไรอยู่ในห้อง?”
หยวนชิงหลิงนั่งถือตำราอยู่บนเตียง หยู่เหวินเห้านั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น หายใจเข้า หายใจออก เห็นพวกลูกๆเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้นอย่างอ่อนโยน และพูดขึ้นอย่างค่อนข้างเคร่งขรึมว่า “รู้สึกเมารถ จึงปรับกำลังภายใน”
แม่หยวนชิงหลิงก็อยู่ด้านนอกพอดี ได้ยินลูกเคยพูดเช่นนี้ จึงรีบพูดขึ้นว่า “เมารถหรือ? แม่กำลังทำน้ำผึ้งมา มาดื่มกับคนตัวโตคนนี้คนละแก้ว มา”
สวีอีคนตัวโต ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย พี่ชายของหยวนชิงหลิงช่วยพยุงนั่งลง นอนเอนเอียงอยู่บนโซฟาเหมือนมะเขือม่วงเหี่ยว ได้ยินว่าหยู่เหวินเห้าก็เมารถ ในใจของเขาค่อยรู้สึกดีขึ้น
หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นมา ตอบแม่หยวนชิงหลิงอย่างยิ้มแย้ม แล้วก็ก้มลงมองดูพวกลูกๆ พร้อมถามขึ้นว่า “พวกเจ้าเข้ามามีธุระอะไรหรือ?”
ทังหยวนพูดขึ้นว่า “พวกเราจะคุยกับแม่ ไม่ได้เจอแม่นานแล้ว”
ข้าวเหนียวก็พูดบ่นขึ้นว่า “ใช่ พ่อมาถึงก็เอาแม่ของเราไปซ่อนไว้”
ปกติเจ้าแฝดมักจะขี้เกียจพูด ตรงไปที่เตียงแล้วก็กอดแม่ไว้ ท่าทีเหมือนครอบงำไว้แล้ว หยู่เหวินเย่ลุกขึ้นมากอดของแม่ไว้ พร้อมพูดขึ้นว่า “แม่ ข้าหิวแล้ว”
“พวกเราก็หิวแล้ว” พวกเด็กๆต่างพูดขึ้นพร้อมกัน
หลังจากพ่อมาถึงทะเลสาบจิ้ง คิดแต่เพียงเรื่องที่จะกระโดดลงทะเลสาบจิ้ง ไม่ได้ให้ทานข้าว ให้พวกเขากินเพียงขนมว่างพี่เอามาด้วยนิดหน่อย ทุกคนต่างก็หิวจะแย่อยู่แล้ว
“ทำอาหารเช้าแล้ว เดี๋ยวก็ได้กินแล้ว” แม่หยวนชิงหลิงเอ็นดูอย่างมาก เฮ้อ หลานๆหิวแย่แล้วจะทำอย่างไรดี?
แล้วหยู่เหวินเห้าก็ถูกดึงออกไปดื่มน้ำผึ้ง นั่งอยู่กับสวีอี ทั้งสองคนดื่มลงไปหนึ่งแก้วใหญ่ สวีอียังต้องทานยากระเพาะ หนึ่งเม็ด เพราะเมื่อกี้ตอนที่อยู่บนรถอาเจียนอย่างหนัก ส่งผลกระทบต่อกระเพาะ
หลังจากที่สวีอีดีขึ้นมาหน่อย ก็ถามหยู่เหวินเห้าว่า “องค์ชายรัชทายาท ที่นี่เป็นที่ไหนกันแน่? เป็นที่อยู่ของอาจารย์พระชายารัชทายาทหรือ? คนนั้นข้ารู้จัก เป็นหลานเจ้าพระยาจิ้ง พี่ชายพระชายารัชทายาท”
หยู่เหวินเห้าไม่อยากอธิบายให้เขาฟัง แต่เซียวเหยากงในฐานะที่เป็นคนที่นี่ไปครึ่งหนึ่งแล้ว ค่อนข้างยินดีที่จะอธิบายให้เขาฟังถึงความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนและความแปลกประหลาดของโลกนี้ ก่อนทานข้าว สวีอีก็ถูกเซียวเหยากงลากเข้าไปในห้อง แล้วก็อธิบายให้ฟัง
หลังจากอธิบายเสร็จแล้ว สิ่งที่สวีอีได้รับรู้ก็คือ ที่นี่เป็นบ้านพ่อแม่ของพระชายารัชทายาท ห่างจากทะเลสาบจิ้งเป่ยถังประมาณสิบห้านาที แต่ตรงกลางมีหนอนหนึ่งตัว ในท้องหนอนตัวนี้มีรู พวกเขาออกมาจากรูนี้
ส่วนเจ้าพระยาจิ้ง ก็ไม่ใช่พ่อของพระชายารัชทายาท ซึ่งมียาอย่างหนึ่งมาเกี่ยวข้อง ตามความเข้าใจของสวีอีเอง เป็นยาตัวนี้ที่อาจทำให้เกิดปัญหาในร่างกายมนุษย์ได้ ทำให้เจ้าพระยาจิ้งไม่ใช่พ่อของพระชายารัชทายาท
ถึงแม้เขาจะไม่สามารถเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ แต่สิ่งที่เซียวเหยากงบอกก็คือแบบนี้
แต่ต่อมาเขาก็ยังแอบไปถามหยวนชิงโจว หยวนชิงโจวบอกเขาว่า ที่นี่เป็นบ้านพ่อบุญธรรมของพระชายารัชทายาท เขาไม่ใช่พี่ชายของพระชายารัชทายาท แต่เป็นพี่ชายบุญธรรม
เมื่อพูดเช่นนี้ สวีอีก็เข้าใจแล้ว แล้วก็อดไม่ได้ที่จะมองดูเซียวเหยากงอย่างสงสาร มาตั้งนานขนาดนี้แล้ว ความสัมพันธ์ง่ายแค่นี้ก็ไม่รู้เรื่อง
แต่มีประโยคหนึ่งที่เซียวเหยากงพูด เขาฟังเข้าใจ นั่นก็คือเวลาอยู่ที่นี่ไม่ว่าจะเห็นสิ่งของแปลกอย่างไร ก็ห้ามตะโกนโหวกเหวก จะทำให้คนอื่นเห็นว่าโบราณ ไม่มีความรู้
ดังนั้นเมื่อเห็นหม้อที่ทำกับข้าวได้โดยที่ไม่ต้องใช้ไฟ เขาไม่ถาม
มีน้ำเล็กน้อยในโถส้วมห้องน้ำสีขาวอวบ เขาไม่ถาม
หยวนชิงโจวพาเขาไปล้างหน้าล้างมือ เพียงแค่บิดสิ่งที่เรียกว่าก๊อก น้ำก็จะออกมา เขาก็ไม่ถาม
เห็นพ่อบุญธรรมของพระชายารัชทายาท ถือสิ่งของเล็กน้อยอย่างหนึ่ง แล้วก็พูดกับตัวเอง เขาก็ยังไม่ถาม
แต่ดวงตาโผล่ออกมาเรื่อยๆ
จนพวกเด็กๆเปิดทีวี เห็นคนตัวเล็กคุยกันอยู่ข้างใน ในที่สุดเขาก็อดไม่ไหว กระโดดขึ้นมาถามว่า “คนเข้าไปอยู่ในนั้นได้ยังไง?”
ทุกคนนั่งอยู่เต็มห้องรับแขก จู่ๆก็เงียบขึ้นมา มีแต่เสียงบทสนทนาที่มาจากในทีวี พูดขึ้นว่า “คุณมันบ้า”
ไท่ซ่างหวงลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้ากลับไปพักผ่อนล่ะ”
โสวฝู่กับเซียวเหยากงก็ลุกขึ้นตาม โสวฝู่ยังดึงแม่นมสี่ที่นิ่งอึ้ง แม่นมสี่ไม่แสดงอาการแปลกใจอย่างมาก เพราะทุกครั้งที่เจอสิ่งของอะไร โสวฝู่ล้วนอธิบายให้นางฟัง อธิบายให้ฟังอย่างเข้าใจ
สวีอียังไม่เจอคนที่สามารถอธิบายได้ดีสักคน
ซาลาเปาดึงสวีอีนั่งลง พร้อมพูดขึ้นว่า “ลุงสวีอี นั่งลงก่อน ข้าอธิบายให้ฟัง”
สวีอีนั่งตัวตรง ใบหูตั้งตรง ฟังซาลาเปาพูดอธิบายอยู่อย่างเงียบ
ซาลาเปาพูดอธิบายอย่างชัดเจนเข้าใจง่าย กระทั่งในทีวีปรากฏอะไร ก็อธิบายให้ฟังไปด้วย เผื่อออกไปแล้วเห็นสิ่งของแปลกประหลาดจะได้ไม่ร้องโหวกเหวก
แล้วแบบนี้ หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิง ค่อยมีช่วงเวลาแห่งความสงบ แต่ไม่กล้าไปทำอะไรในห้อง จึงจูงมือกันออกมาเดินเล่น แบบนี้ รับประกันได้ว่าจะไม่มีใครมารบกวน
ได้รู้จากปากหยวนชิงหลิง เรื่องฮ่องเต้ฮุยจง ระดับความตกตะลึงของหยู่เหวินเห้า ไม่น้อยไปกว่าที่สวีอีเห็นทีวี
จนพูดอะไรไม่ออกไปสักพัก อีกอย่างไม่ใช่เพียงฮ่องเต้ฮุยจง แม้แต่องค์ชายรัชทายาทเจี้ยนจงก็ยังมีชีวิตอยู่ เรื่องนี้น่าตื่นตกใจมาก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้หยู่เหวินเห้าตื่นเต้นดีใจมาก
เรื่องที่ถูกขุดขโมยพระศพ สำหรับลูกหลานตระกูลหยู่เหวิน ถือเป็นเรื่องที่ถูกเหยียดหยามอย่างเจ็บปวดที่สุด
“งั้นหลังจากพวกเราพักผ่อนสักพักแล้ว ก็ไปถวายพระพรท่านทั้งสองกันเถอะ” หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างอดทนรอไม่ไหว
หยวนชิงหลิงหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “รอพวกเสด็จปู่พักผ่อนกันก่อน เมื่อคืนเพื่อไปรอรับพวกเจ้า พวกเขาไม่ได้นอนทั้งคืน”
ในใจหยู่เหวินเห้าอบอุ่น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่า ที่บ้านเกิดของเจ้า ตระกูลหยู่เหวินของเรา เกือบห้าชั่วอายุคนอาศัยอยู่ด้วยกัน เจ้าหยวน เจ้ายังคิดว่าเจ้าไปยังเป่ยถัง เป็นเรื่องบังเอิญ ประจวบเหมาะไหม? ข้าคิดว่า โชคชะตาฟ้าลิขิต ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว”
หยวนชิงหลิงยังคงซบแนบอกเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าพูดถูก ไม่ใช่ความบังเอิญ โชคชะตาฟ้าลิขิต ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว”
บางทีอาจเป็นเพราะมีคนวางแผน แต่สำคัญไหม?