บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1435 ยังไม่ไปหาฮ่องเต้ฮุยจง
พวกไท่ซ่างหวงนอนกันสองชั่วโมงก็ตื่นขึ้นมาแล้ว รอเจ้าห้ากลับมาถามเรื่องฮ่องเต้ฮุยจง เขาคิดไปคิดมา แล้วก็พูดขึ้นว่า “ยังไม่ไป พรุ่งนี้ค่อยไป”
ไท่ซ่างหวงโทรหาฮ่องเต้ฮุยจงทันที ไม่ได้บอกว่าพวกเจ้าห้ามากันแล้ว พูดเพียงว่าพรุ่งนี้จะไปหา ให้เขาเตรียมอาหารดีๆไว้ให้พวกเขา
ฮ่องเต้ฮุยจงรับปาก แล้วก็ถามขึ้นว่า “เสี่ยวอู่กับพวกลูกๆมาหรือยัง?”
“ยังไม่มา” ไท่ซ่างหวงพูดขึ้น
ฮ่องเต้ฮุยจงพูดขึ้นอย่างค่อนข้างผิดหวังว่า “ไหนบอกว่าใกล้จะมาแล้วไม่ใช่หรือ? คืนนี้มาหรือยัง?”
“ยังไม่รู้ ดูสถานการณ์ก่อน” ไท่ซ่างหวงพูดขึ้น
“งั้นคืนนี้ถ้ามาถึงแล้ว ก็พามาหาข้าทั้งคืนเลยนะ ข้าอยากเห็นเด็กๆ” ฮ่องเต้ฮุยจงพูดขึ้น
ไท่ซ่างหวงรับคำ ไม่รู้สึกละอายใจเลยสักนิด แล้วก็วางสาย
เขาไม่อยากเลี้ยงเด็กเองหรือไง?
เขาไม่ได้เจอพวกเด็กๆนานแค่ไหนแล้ว? เขาเพิ่งได้อุ้มน้องฟีนิกซ์กี่ครั้งเอง
น้องฟีนิกซ์เล่นกับคนเฒ่าทั้งสามอย่างมีความสุขมาก แม่หยวนชิงหลิง ซื้อเปลที่นอนเด็กเหมือนอย่างกับเจ้าหญิงมาไว้ให้ล่วงหน้า น้องฟีนิกซ์เปลี่ยนใส่ชุดคลุมหลวมๆ ไม่ห่อตัวด้วยผ้าอ้อม เมื่อทารกถูกปลดปล่อย มองดูคนเฒ่าทั้งสามรอบเตียงตนเอง ชูไม้ชูมือยิ้มร่าเริง
ภายใต้ใต้แสงไฟ ดวงตาสดใสราวกับลูกองุ่นนั่น ผิวเด็กที่เปราะบางอ่อนนุ่มเหมือนดั่งปุยเมฆ ปากเล็กชมพูหน่อยๆ ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากเหมือนมีเวทมนตร์ ทำให้คนเฒ่าทั้งสามจ้องตาเป็นชั่วโมงโดยไม่กะพริบตา
กับความลำเอียงของเสด็จปู่ทวดในตอนนี้ พวกเปาเปาเข้าใจ แต่เฉพาะกับน้องสาวเท่านั้น กับคนอื่นไม่ได้ ยังไงพวกเขาก็รักใคร่น้องสาวอย่างที่สุดเหมือนกัน
หวังอยากที่จะให้ใครๆก็ชอบน้องสาว
แม่หยวนชิงหลิงเปิดชงนมผงมา ให้ไท่ซ่างหวงเป็นคนป้อน น้องสาวที่ไม่เคยดื่มนมผง เมื่อได้ดื่มนมผงก็ไม่ลังเลสักนิด ดื่มจนแก้มทั้งสองข้างบวมขึ้นมา กลืนลงไปอย่างไม่หยุด เหมือนหิวอย่างมาก
ไท่ซ่างหวงดูอยู่อย่างอัดอั้นใจขึ้นมา นี่ไม่ได้กินอะไรมานานแค่ไหนแล้ว? ถึงได้หิวขนาดนี้ เจ้าห้าเหลวไหลจริงๆ
ดื่มนมแล้ว แม่หยวนชิงหลิงพูดว่าสามารถอุ้มขึ้นมาตบหลัง ไท่ซ่างหวงมีประสบการณ์ อุ้มขึ้นมานั่งบนเก้าอี้อย่างระมัดระวัง มือตีหลังให้กับน้องฟีนิกซ์เบาๆ จนน้องฟีนิกซ์เรอ คนเฒ่าทั้งสามเผยยิ้มขึ้นมาในทันที
อุ้มขึ้นมาแล้ว ก็วางไม่ลงแล้ว ราวกับอัญมณีล้ำค่าอยู่ในมือ รักอย่างที่สุด
“ทำไมถึงคลอดออกมาได้น่ารักขนาดนี้?” ดวงตาทั้งคู่ของโสวฝู่อ่อนโยน จับจ้องมองน้องฟีนิกซ์ แล้วก็พูดขึ้นอย่างดีใจว่า “หัวเราะ ดูเด็กคนนี้สิ ยังยิ้มด้วย กินอิ่มแล้วก็ยิ้ม ว่าง่ายมาก ว่าง่ายจริงๆ”
เซียวเหยากงพูดพึมพำว่า “ใช่ น่ารักมากๆ หากคลอดได้สามคน เราจะได้แบ่งกันคนล่ะคน”
“ใช่ ใช่…” ไท่ซ่างหวงพูดเช่นนี้ แล้วก็ตกตะลึง ถลึงตาใส่เซียวเหยากง พร้อมพูดขึ้นว่า “ต่อให้คลอดมาสามคน ก็ให้เจ้าไม่ได้ ไม่คลอดแล้ว แค่นี้พอแล้ว ตอนนี้สมองของนางไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องมีลูกเพื่อประคับประคอง”
ส่วนเรื่องสมองหยวนชิงหลิง ไท่ซ่างหวงฟังอย่างค่อนข้างละเอียด รู้ว่าตอนนั้นเกือบเอาชีวิตไม่รอด โชคดีที่ตั้งครรภ์ เด็กส่งอะไรกลับมาช่วยนาง นางจึงไม่ตาย
แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ยังจะคลอดอะไรอีก? พอแล้ว
เซียวเหยากงพูดขึ้นด้วยเสียงเศร้าว่า “ก็แค่พูดไม่ได้หรือ? พูดไปเรื่อยเองก็ไม่ได้?”
“พูดก็ไม่ได้” ไท่ซ่างหวงอุ้มเด็กขยับไปหน่อย แล้วพูดขึ้นว่า “ปากของเจ้าอย่ามาใกล้แก้มของนาง เจ้าไม่ได้แปรงฟันมาหลายวัน ข้าเห็นอยู่ อย่ามารมนาง”
“เจ้าสูบบุหรี่ไม่ถือว่ารม ข้าไม่แปรงฟันแล้วถือว่ารมหรือ? ทำไมเจ้าไม่มีเหตุผลขนาดนี้?” เซียวเหยากงพูดขึ้นอย่างโกรธจัด
“ข้าไม่สูบบุหรี่แล้ว” ไท่ซ่างหวงพ่นลมหายใจใส่เขา พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าดมดู ไม่มีกลิ่นบุหรี่แล้ว”
“ไอ๋? เจ้ายังฉีดน้ำหอมใส่ปาก?” เซียวเหยากงพูดขึ้นอย่างรังเกียจ
“ไม่ใช่น้ำหอม เขาเรียกว่าหมากฝรั่ง ข้าให้อาโจวซื้อมา”
โสวฝู่ลุกขึ้นเดินไป ไม่แย่งกับสองคนนี้ เขามีเสี่ยวสี่
สวีอีนอนไปสักพักก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เป็นเสียงหัวเราะของห้องด้านข้าง เขาลุกขึ้นมานั่ง ไท่ซ่างหวงพวกเขาก็ไม่เห็นแล้ว น่าจะไปทางโน่นแล้ว
เพราะไม่มีห้องว่างแล้ว พี่ชายบุญธรรมหยวนบอกว่าให้เขาอยู่เฝ้าที่ห้องรับแขกนี้ สามารถปกป้องพวกไท่ซ่างหวงด้วย เขาจึงตอบตกลง โซฟานี้ ยังสบายอีกด้วย
เขากระหายเล็กน้อย อยากไปหาน้ำดื่ม แต่เมื่อไปถึงหน้าประตู กลับทำยังไงก็เปิดประตูไม่ได้ ในใจรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “มีคนอยู่ไหม? มีคนอยู่ไหม?”
ทำไมพระราชนัดดาไม่สอนเขาเปิดประตู?
เขารู้เรื่องรถแล้ว แต่ยังเปิดประตูไม่เป็น
ซาลาเปามาเปิดประตู สวีอีมองเห็นซาลาเปา แล้วก็อยากร้องไห้ขึ้นมา
ซาลาเปาจูงมือของเขา พร้อมพูดขึ้นอย่างใส่ใจว่า “ลุงสวีอี ไม่ต้องกลัว ที่นี่ปลอดภัยมาก มีเรื่องอะไรก็เรียกหาข้า ข้าสามารถได้ยิน”
สวีอีราวกับอยู่ในดินแดนที่ไม่มีผู้คน อยู่ดีๆก็เห็นความหวัง กอดซาลาเปาขึ้นมาพร้อมพูดขึ้นอย่างดีใจว่า “ไม่เสียแรงที่ข้ารักเจ้ามากขนาดนี้”
ซาลาเปากอดคอเขาไว้ พร้อมหัวเราะพูดขึ้นว่า “อืม งั้นต่อไปลุงสวีอียังต้องรักข้า ไป ข้าพาเจ้าไป คุณลุงสั่งชานมให้ข้า ข้าเลี้ยงเจ้าดื่มชานม”
สวีอีวางเขาลง จูงมือเขาแล้วเดินไปด้วยกัน
ทางนั้นกำลังคุยกันถึงเรื่องจัดงานแต่งงานแล้ว สำหรับที่ไท่ซ่างหวงบอกว่าจะจัดอย่างใหญ่โต แล้วมีแขกของฮ่องเต้ฮุยจงมา เจ้าห้าก็พูดขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “งานแต่งงานนี้ ไม่สำคัญว่าจะมีคนมาเท่าไหร่ แต่คนที่เรารักล้วนอยู่ด้วยก็พอแล้ว มีคนที่ไม่รู้จักมามากมายขนาดนั้น ถึงตอนนั้นหน้าแตก….ไม่ใช่ เจ้าหยวนไม่เคยชิน ยังไงทุกคนต่างก็ไม่รู้จัก”
ไท่ซ่างหวงพูดขึ้นว่า “ข้าอยากจัดใหญ่หน่อย แต่ไม่ได้ต้องการให้ฮ่องเต้ฮุยจงจัดใหญ่ขนาดนั้น ที่จริงตอนที่เขาพูด ในใจข้าก็อัดอั้น แต่เขาเป็นบรรพบุรุษ เขาจะเชิญเพื่อนที่สนิทของเขามา เราจะบอกว่าไม่ได้ก็ไม่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นอกตัญญู”
ความอกตัญญู เป็นสิ่งหนักอึ้ง กดอยู่บนหัวพวกเขาที่เป็นคนรุ่นหลังพวกนี้ นั่นจะทำให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
โสวฝู่ก็พูดว่า “ใช่ เดิมพวกเราคิดว่าจัดดีหน่อย แล้วให้พวกคนจนมาทานกัน ทุกคนมีความสุขก็พอ ไม่ต้องจัดอย่างประหยัดเกินไปก็พอ”
สำหรับคนเฒ่าทั้งสาม หากจัดงานแต่งงานทั้งที จัดเลี้ยงเพียงไม่กี่โต๊ะ เท่ากับเป็นการประหยัด
และอยู่ที่เป่ยถัง ตระกูลร่ำรวยเลี้ยงฉลอง เพื่อให้เห็นถึงความมั่งคั่ง ล้วนจัดเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นเชิญประชาชนในละแวกใกล้มาทาน พวกนี้จะแบ่งแยกกัน ไม่ได้ให้มาทานร่วมกับแขกที่เชิญมา
ตรงจุดนี้ พวกเขายังใช้ความคิดธรรมเนียมเดิมที่ผ่านมาหลายสิบปี ธรรมเนียมนี้ รากฐานหยั่งลึกมั่นคง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จัดงานเล็ก เท่ากับประหยัด
“งั้นเมื่อไปเจอฮ่องเต้ฮุยจง เราค่อยคุยกับเขา” หยู่เหวินเห้าก็เห็นด้วยกับพวกเขา เพราะเขาเห็นว่า เชิญเพื่อนบ้านคนในหมู่บ้านใกล้เคียงมาน่าจะไม่มีปัญหา
“พรุ่งนี้ไปกัน” ไท่ซ่างหวงวางแผนเรียบร้อยแล้ว ให้เจ้าห้าเป็นคนพูดกับฮ่องเต้ฮุยจง เขาไม่พูด เขาเป็นลูกกตัญญู ไม่ขัดคำพูดของพ่อ
หยวนชิงหลิงเพียงแค่ฟัง ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ นางคิดเห็นเหมือนกันกับเจ้าห้า งานแต่งจัดใหญ่เล็กไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือญาติพี่น้องคนที่นางรักต่างอยู่ข้างกายก็พอ
และความจริงแล้ว งานแต่งนี้ไม่ว่าจะจัดยังไง ความเสียใจก็ต้องมีอยู่แล้ว นั่นก็คือคนที่นางรัก ไม่ได้อยู่ที่นี่กับนางทั้งหมด ที่เป่ยถัง ก็มีคนที่นางรักมากมาย