บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1437 เขาหนีกลับมาแล้ว
ถึงแม้จะไม่ได้ไปกับพวกพระชายารัชทายาท แต่ได้ไปนั่งเรือสำราญก็ดีใจแล้ว เซียวเหยากงเห็นด้วย
หยู่เหวินเห้าไปท่องเที่ยวหลังแต่งงานเป็นเรื่องดี แต่แค่ทานข้าวกับคนที่บ้านสักมื้อก็พอแล้วหรือ? นี่ธรรมดาเกินไป ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นว่า “เสด็จปู่ทวด งานแต่งงานนี้ข้าเห็นว่า ควรที่จะจัดใหญ่โตนิดหนึ่ง”
“ข้าจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว” ฮ่องเต้ฮุยจงพูดขึ้น
“เจ้าจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว?” หยู่เหวินเห้าอึ้ง แต่เรื่องนี้ ไม่ควรที่จะเป็นเขาตัดสินใจหรือ? เจ้าหยวนเคยบอกว่า ที่นี่ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เจ้าบ่าวเจ้าสาว ไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งพ่อแม่
“งานแต่งงานของเจ้า ข้าตัดสินใจไม่ได้หรือ?” ฮ่องเต้ฮุยจงถามกลับ
ไท่ซ่างหวงหรี่ตาลง พร้อมคิดว่ามีปัญหา
สามารถทำให้เสด็จพ่อเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้ แทบไม่มีใครสามารถทำได้ นอกจากคนคนเดียว นั่นก็คือพี่เหว่ย
เขาเดินไปข้างหน้า ถามเรื่องเรือสำราญ ว่าบนเรือสำราญมีอะไรสนุกบ้าง
ฮ่องเต้ฮุยจงเคยมีช่วงเวลาหนึ่งไปเที่ยวรอบโลก เรื่องเรือสำราญถือเป็นสิ่งที่ชอบและรู้ดีที่ดี จึงพูดขึ้นว่า “เยอะแยะมากมาย เจ้าอยากทำอะไรก็ได้ กิน ดื่ม เล่น มีไวน์จากทั่วทุกมุมโลกให้ได้ลิ้มลอง ภาพยนตร์ นวดผ่อนคลาย ยังไงก็ไม่ทำให้เจ้าเบื่อหน่าย”
“อืม? สามารถดูภาพยนตร์ได้ด้วยหรือ?”
ฮ่องเต้ฮุยจงพูดอย่างน้ำไหลไฟดับว่า “ใช่ แต่ข้าชอบนั่งบนระเบียงชมทะเลมากกว่า ผู้ชายควรที่จะไปดูทะเล และล้วนน่าจะชอบทะเล คลื่นยักษ์ในทะเล เกลียวคลื่นม้วน บางครั้งก็เหมือนสัตว์ดุร้าย เปรียบเหมือนการผจญภัย การผจญภัยบนเส้นทางชีวิต และเมื่อมีช่วงเวลาสงบเพียงน้อยนิด ก็ดูเหมือนจะหายาก…..”
แล้วไท่ซ่างหวงก็ถามแทรกขึ้นว่า “เสด็จพ่อ พี่เหว่ยมาใช่ไหม?”
“มา….” ฮ่องเต้ฮุยจงรีบเงยหน้ามองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “ใคร? ใครมา? พี่เหว่ยของเจ้า? อยู่ที่ไหน?”
ไท่ซ่างหวงหรี่ตาลง พี่เหว่ยจะต้องมาแน่ เห็นได้จากการตื่นตกใจอย่างกะทันหันของเสด็จพ่อ ก็สามารถมองออกแล้ว
เขาลุกขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “เสด็จพ่อ ขอคุยด้วยหน่อย”
ชั่วชีวิตนี้ ฮ่องเต้ฮุยจงอยู่ภายใต้การครอบงำของลูกชายคนโต และก็ไม่รู้ความคิดที่แท้จริงของลูกชายคนเล็ก ไม่ว่ายังไง ทั้งโตทั้งเล็กล้วนครอบงำเขาได้
จากแววตาที่เป็นประกายของเจ้าหก เขารู้ว่าเจ้าหกรู้อะไรเข้าแล้ว ที่พูดปดถูกจับได้แล้ว จึงรีบเรียกเขาเข้าไปในห้องเล็กด้านหลัง
“พี่เหว่ยอยู่ที่ไหน?” ไท่ซ่างหวงถามขึ้นตรงๆ
ฮ่องเต้ฮุยจงพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้ เมื่อคืนมาแปบหนึ่ง บอกว่างานแต่งงานไม่ต้องจัดอย่างใหญ่โต ค่อยกลับไปจัดที่เป่ยถัง รับคนที่บ้านพระชายารัชทายาทก็ได้แล้ว”
ในใจไท่ซ่างหวงเต้นแรง พร้อมพูดขึ้นว่า “กลับไปจัดงานแต่งงานอะไร? จัดงานแต่งงานในสถานะอะไร?”
ฮ่องเต้ฮุยจงส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้ เขาพูดเช่นนี้ ยังไงข้าก็เห็นว่าไม่เป็นไร ทำตามที่เขาบอกเถอะ”
ไท่ซ่างหวงพูดขึ้นอย่างโกรธจัดว่า “เสด็จพ่อ จักรพรรดิเซียนมองอยู่บนสวรรค์นะ พูดความจริงได้ไหม? นี่เกี่ยวข้องกับอนาคตหลายหมื่นพันปีของเป่ยถัง จะปิดบังข้าทำไม?”
จักรพรรดิเซียนเป็นพ่อของฮ่องเต้ฮุยจง ลูกชายอ้างพ่อของตนเองมาสั่งสอนเขา ถึงแม้ในใจเขาจะรู้สึกไม่ค่อยดี แต่ก็ยังหลีกเลี่ยง เมื่อคิดไปคิดมาแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่ควรที่จะปิดบัง จึงพูดขึ้นว่า “พี่เหว่ยของเจ้ามา แต่ไปไหนแล้วข้าก็ไม่รู้จริงๆ แต่เขาพูดอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ ลูกชายของเจ้ามีความคิดที่จะสละราชบัลลังก์ คาดว่าหลังจากที่องค์ชายรัชทายาทกลับไป เขาก็จะสละราชบัลลังก์อย่างเป็นทางการ องค์ชายรัชทายาทขึ้นครองราชย์ ก็จะสามารถจัดงานแต่งงาน ไม่จำเป็นต้องจัดที่นี่อีกครั้ง อีกอย่าง….”
“อีกอย่างอะไร?” ไท่ซ่างหวงมองดูเขา หัวร้อนจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว ไฟแห่งความโกรธเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ฮ่องเต้ฮุยจงพูดขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า “อีกอย่าง เขาตำหนิข้าว่า มีคนโบราณจำนวนมากอยู่ที่นี่ ยังจะเชื้อเชิญคนที่ชื่อชอบของโบราณมางานเลี้ยง อยากที่จะทำให้ที่นี่เดือดร้อนหรือ?”
ถึงแม้ไท่ซ่างหวงจะโกรธจัด กลับก็ต้องยอมรับว่าพี่เหว่ยพูดถูก เสด็จพ่อเป็นคนที่ไม่ชอบใช้ความคิด
แต่เรื่องที่ฮ่องเต้หมิงหยวนจะสละราชบัลลังก์ ยังคงทำให้เขาโกรธโมโหอย่างมาก พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้ารู้ไหมว่าพี่เหว่ยอยู่ที่ไหน เจ้าโทรหาเขา บอกว่าข้าจะคุยกับเขา”
ฮ่องเต้ฮุยจงโดนลูกชายหลอก เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรออกอย่างเงียบๆ
อ๋องชินเฟิงอันขับรถมาด้วยตนเอง แล้วก็รับไท่ซ่างหวงออกไปคุยกัน
รถสปอร์ตสุดเท่ห์ ตอนที่มาเสียงรถดังสนั่นฟ้า จนทุกคนออกมาดูอย่างแปลกใจ เห็นคนที่นั่งด้านคนขับ มั่นใจว่าเป็นอ๋องชินเฟิงอันแน่นอน
ไท่ซ่างหวงเดินลงไปขึ้นรถ อ๋องชินเฟิงอันโบกมือ ถือเป็นการบอกลากลุ่มคนที่กำลังตกใจอยู่ แล้วเขาก็ขับรถออกไป
ขับรถมาถึงริมหาด ไม่รอให้ไท่ซ่างหวงถาม อ๋องชินเฟิงอันก็พูดขึ้นว่า “เขามีความคิดที่จะสละราชบัลลังก์แต่แรกแล้ว และเขาเป็นฮ่องเต้อยู่อย่างเหน็ดเหนื่อย ให้เขาสละบัลลังก์เถอะ”
ไท่ซ่างหวงพูดขึ้นอย่างโกรธจัดว่า “นี่ถือเป็นการไม่มีความรับผิดชอบ เจ้าจำได้ไหมว่าตอนนั้นเจ้าพูดกับข้ายังไง? ข้าบอกว่าข้าไม่มีความสามารถ ไม่สามารถรับภาระหนักนี้ได้ เจ้าบอกว่านี่ล้วนเป็นคำแก้ตัว ความสามารถของคนเราไม่มีที่สิ้นสุด บีบบังคับแล้วก็จะสามารถประสบความสำเร็จ เราเคยบีบบังคับเขาแล้ว ทำไมเขาจะทำไม่ได้?”
อ๋องชินเฟิงอันมองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าหก หลายปีมานี้ เจ้าเหนื่อยไหม?”
“ทำไมจะไม่เหนื่อย? แต่เจ้าก็เคยพูดไม่ใช่หรือ? ความเหนื่อยถือเป็นเรื่องปกติของชีวิต ข้าเหนื่อยได้ เขาก็ต้องเหนื่อยได้ เป็นคนของตระกูลหยู่เหวิน ล้วนต้องเหนื่อย”
สายตาอ๋องชินเฟิงอันฉายแววเสียใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่ ตอนนั้น เป็นคนของตระกูลหยู่เหวินล้วนต้องเหนื่อย เพราะแผ่นดินไม่สงบ มีความกังวลภายในและการดูถูกจากภายนอก พื้นที่ส่วนใหญ่ยากจน เกิดภัยพิบัติปีแล้วปีเล่า แต่ตอนนี้ ค่อยๆสงบมั่นคงแล้ว เจ้าห้ามีความสามารถ เข้าดำรงตำแหน่ง เจ้าไม่ต้องเฝ้าดูเขา ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลทั้งวันทั้งคืน ไม่จำเป็นต้องส่งคนไปคอยจับตาดูนี่จับตาดูนั่น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวาย หลังจากเจ้าสละราชบัลลังก์ ยังต้องเหนื่อยยิ่งกว่าตอนที่ดำรงตำแหน่ง แต่ทั้งหมดนี้ จะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเจ้าห้าขึ้นครองราชย์ เจ้าสามารถถอยออกมาได้อย่างแท้จริง ใช้ชีวิตตามที่ตนเองต้องการ จำตอนนั้นที่เราสองพี่น้องคุยกันในเมืองหลวง ข้าใช้ให้เจ้าไปทำสิ่งที่เจ้าไม่เคยทำก่อนหน้านี้ ตอนนั้นข้าก็คิดจะอยากให้เขาสละราชบัลลังก์ แล้วให้เจ้าห้าขึ้นครองราชย์ เพราะมีเพียงเจ้าห้าขึ้นครองราชย์ เจ้าถึงจะสามารถถอยออกมาได้อย่างแท้จริง”
ไท่ซ่างหวงฟังคำพูดพวกนี้แล้ว ถึงแม้ในใจจะอบอุ่น แต่ยังไงก็เป็นห่วงหลาน จึงพูดขึ้นว่า “เขายังอายุน้อยขนาดนี้ ก็จะยกภาระแผ่นดินให้กับเขา เจ้าทำได้ลง แต่ข้าทำไม่ลง”
อ๋องชินเฟิงอันพูดขึ้นว่า “สำหรับเจ้าห้า ไม่ถือว่าเหนื่อยหรือไม่เหนื่อย ตอนที่เจ้าเป็นฮ่องเต้นั้นเหนื่อย เพราะมีปัญหาทั้งภายในและภายนอกค่อนข้างเยอะ ฮ่องเต้ในตอนนี้เหนื่อย เพราะเขามีความสามารถไม่เพียงพอ ไม่สามารถใช้คนได้อย่างเหมาะสม ไม่สามารถกำหนดวางยุทธศาสตร์ แต่เจ้าห้าไม่ใช่ เจ้าหากมีคนของตนเอง เขารู้ที่จะใช้คนพวกนี้อย่างไร และที่สำคัญที่สุด เขาสนใจที่จะบริหารประเทศ เขามีความกระตือรือร้น มีอุดมคติ เขารู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงเป่ยถัง ให้เป็นประเทศแบบไหน เขาต้องมีอำนาจอย่างเด็ดขาด ถึงจะสามารถกระทำพวกนี้ได้ เจ้ากับข้าควรที่จะวางมือ”
ชั่วชีวิตนี้ ไท่ซ่างหวงผ่านความยากลำบากมามากมาย เหนื่อยเหมือนอูฐในทะเลทราย จนถึงบั้นปลายชีวิต ก็ไม่เคยได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง ย้ายไปยังพระที่นั่ง ดูเหมือนวางมือแล้ว ในราชสำนักยังมีคนช่วยเขาเฝ้าดูอยู่ เขาปล่อยวางไม่ได้จริงๆ
แต่ตอนนี้พี่เหว่ยพูดว่า สามารถวางมือได้แล้ว ควรวางมือได้แล้ว เขารู้สึกบนบ่าและในใจ โล่งขึ้นมาในทันใด
สักพัก กลับมองดูอ๋องชินเฟิงอันพร้อมพูดขึ้นว่า “พี่เหว่ย ทำไมเวลาเจ้าพูดหลักการ มักพูดได้อย่างเป็นหลักเป็นการ ทำให้คนอื่นไม่สามารถเถียงได้?”
อ๋องชินเฟิงอันยิ้มพูดขึ้นว่า “เพราะที่ข้าพูดคือความจริง”
“ยังมีอีกหนึ่งคำถาม ตอนนั้นทำไมเจ้าไม่เป็นฮ่องเต้? ทำไมจะต้องให้ข้าเป็น?”
รอยยิ้มอ๋องชินเฟิงอันแข็งทื่อเล็กน้อย พร้อมพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้….โทรศัพท์ข้าดัง พี่สะใภ้ของเจ้าตามหาข้าแล้วแน่”