บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1441 ชุดสูทรองเท้าหนังที่หล่อเหลาเหมาะเจาะ
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1441 ชุดสูทรองเท้าหนังที่หล่อเหลาเหมาะเจาะ
สวีอียิ้มร่าเปิดปากกว้าง จากนั้นจึงเริ่มวางยาชา
หลังจากวางยาชา ลิ้นก็เริ่มมีอาการแลบออกมาข้างนอกคล้ายควบคุมไม่ได้ มีสภาพเหมือนหมาปั๊ก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บนใบหน้ายังมีรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาประดับอยู่
หยวนชิงหลิงรู้สึกยากจะทนมองนิดหน่อย สวีอีเจ้าคนซื่อบื้อคนนี้ บางครั้งก็ทำให้คนอื่นพลอยรู้สึกสงสารเห็นใจเสียจริง
การถอนฟันแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรก ยาสลบใช้ได้ดีและแทบไม่มีอาการเจ็บปวดใด ๆ สวีอีให้ความร่วมมือดีมาก แม้ว่าจะมีการนำอุปกรณ์ทำฟันทั้งหลายเข้าไปในปาก แต่เขาก็เชื่อฟังคำของพระชายารัชทายาทโดยตลอด ปิดตาสนิทไม่มองดู รู้แค่ว่ามีของบางอย่างที่มีขนาดใหญ่เข้าไปในปากตัวเอง แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
เมื่อถึงส่วนที่สอง เขาก็เริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว เห็นได้ว่ายาชาที่ให้ยังนับว่าเบาไปหน่อย เขาขมวดคิ้ว มีเสียงดังฟู่ ๆ ฟ่อ ๆ ออกมาจากปากเหมือนงูสักตัวที่ถูกกดจุดเจ็ดนิ้วไว้ ได้แต่บิดตัวกับสองเท้าไปมา
แต่ความเจ็บปวดแค่นี้ นับว่ายังพอทนได้ แต่สิ่งที่ยากจะทนรับได้ที่สุดคือ การที่เขารู้สึกว่าหมอได้เอาเลื่อยเข้าไปในปาก แล้วเลื่อยจนเกิดเป็นเสียงดัง “ครืดคราด ๆ ๆ” มีรสชาติหนึ่งที่เหมือนกับโลหะกระจายอยู่ในปาก ซึ่งเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก น่ากลัวจนแทบทนไม่ไหวอยากจะกระโดดหนีไปให้ไกล ๆ เลยทีเดียว
หมอพูดว่า “ฟันข้างบนของเขาบิดเบี้ยวไม่เข้าที่ จำเป็นต้องกรอหน่อย อย่าขยับล่ะ อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว!”
“สวีอี อดทนหน่อย อย่าขยับ!” หยวนชิงหลิงคอยให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ “เจ้าทำได้ เจ้าต้องทำให้ถังกั่วเอ๋อภูมิใจในตัวเจ้า!”
ตอนนี้ ลูกสาวกลายเป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาไปแล้ว เขาฝืนระงับความหวาดกลัวลง ไปทีละเล็กทีละน้อย รู้สึกแค่ว่าความเจ็บปวดนี้มันช่างยาวนานเหลือเกิน
เพราะเป็นการเดือยฟัน ดังนั้นจึงต้องใช้เวลานาน ทุก ๆ นาที ทุก ๆ วินาทีที่ผ่านไปนั้นยากลำบากสำหรับสวีอีมาก เดิมคิดว่าอาการเมารถเป็นความเจ็บปวดที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่า สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคือการเดือยฟันนี่ล่ะ
ท่ามกลางความเจ็บปวดนี้ สวีอีใช้ความอดทนที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง ทนรับกระบวนการทั้งหมดจนเสร็จสิ้น ในตอนที่หมอบอกว่าเขาสามารถลุกขึ้นได้แล้ว เขาก็รู้สึกว่าตัวเขาไม่ใช่สวีอีคนเดิมในอดีตอีกต่อไป เขาได้ประสบกับสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตคนมาแล้ว รู้สึกว่าประสบการณ์ที่เขาได้พบเจอนี้ มันครบถ้วนสมบูรณ์จนถึงจุดพลิกผันของชีวิตเลยทีเดียว
หมอแนะนำว่า “ภายในสามเดือนนี้ ห้ามพูดเสียงดัง อย่ากินอาหารที่แข็งจนระคายเคืองฟัน อย่าเคี้ยวของแข็งด้วยฟันใหม่ และช่วงนี้ยังไม่ต้องแปรงฟัน หนึ่งสัปดาห์จากนี้ให้กลับมาอีกครั้ง ถ้ามีการอักเสบหรือเกิดอาการบวมแดง ให้โทรหาหมอทันที ”
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ!” หยวนชิงหลิงพูดขอบคุณด้วยรอยยิ้ม
เธอช่วยพยุงสวีอีให้ลุกขึ้นมา สวีอีมีสภาพเหมือนคนเป็นอัมพาตทั้งตัวอย่างสมบูรณ์ แขนขาอ่อนแรงไม่มีกำลัง เขาจ้องมองหยวนชิงหลิงด้วยความขุ่นเคือง “คนหลอกลวง จากนี้ข้าจะไม่มีวันเชื่อคำพูดของท่านอีกแล้ว”
หยวนชิงหลิงหยิบกระจกเงาบานหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นส่งให้เขา “เจ้าดูสิ ดูเองเลย มันคุ้มค่าหรือไม่ที่เจ้ายอมทนกับความลำบากเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้?”
สวีอีมองดูตัวเองในกระจก แม้ว่ารากฟันของเขาจะยังเปียกโชกไปด้วยเลือด แต่ฟันหน้าที่หายไปล้วนได้รับการซ่อมแซมจนคืนสภาพแล้ว เขาดูหล่อเหลาขึ้นมากจริง ๆ
ด้วยความที่ฟันเขาหลอไปนานมาก จนลืมไปแล้วว่าตอนที่มีฟันหน้า ตัวเองมีหน้าตาเป็นอย่างไร พอได้เห็นปุ๊บ ก็รู้สึกว่าดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากเลยทีเดียว
ในใจเขามีความสุขมาก แต่เมื่อนึกถึงคำพูดหลอกลวงของพระชายารัชทายาท เขาก็ผลักกระจกบานนั้นออกไป “ข้าไม่ดู ข้าไม่ดู ท่านหลอกข้า”
“ได้ ไม่ดูก็ไม่ดู พวกเรากลับบ้านกันเถอะ!” หยวนชิงหลิงพูดด้วยรอยยิ้ม
สวีอีใช้มือยันกำแพงพยุงตัวเดินออกไป ในใจตัดสินเป็นแม่นมั่นว่านับจากนี้ เขาจะไม่มีวันไว้ใจพระชายารัชทายาทอีก แล้วก็จะไม่ไว้ใจใครก็ตามอีกแล้วทั้งนั้น
หยวนชิงหลิงได้รับออร่าความขุ่นเคืองใจจากสวีอี จึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ แค่มาเดือยฟันแค่นี้ ถึงกับเทิร์นดาร์คเลยเหรอ? สวีอีเจ้าคนซื่อบื้อเอ๊ย!
ตลอดทางกลับ ความเจ็บปวดนั้นรุนแรงอย่างมาก สวีอีไม่สามารถหุบปากได้ น้ำลายไหลไปสุดทาง เมื่อเขากลับไปถึงบ้าน ทุกคนยังไม่กลับมา ในบ้านว่างเปล่าวังเวง
“ เจ้าไปนอนก่อนเถอะ ข้าจะออกไปหารัชทายาท!” หยวนชิงหลิงพูดกับเขา
“ ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่คนเดียว ข้าอยากไปด้วย!” สวีอีกลัวการอยู่คนเดียวมากที่สุด ที่นี่รอบด้านมีแต่กำแพงล้อมรอบสี่ด้าน อีกทั้งเขาก็ทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง
“ ไม่ได้ เจ้าออกไปวิ่งเพ่นพ่านไม่ได้ เพิ่งจะเดือยฟันมาใหม่ ๆ แล้วนิสัยเจ้าก็ชอบทำอะไรไม่ระวัง ถ้าออกไป…..”
“ พาข้าไปด้วยเถอะ ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่!” หลังจากเทิร์นดาร์คไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขาก็กลับมาขอร้องอ้อนวอนพระชายารัชทายาทอีกแล้ว
เมื่อหยวนชิงหลิงเห็นหน้าตาที่น่าสงสารของเขา ก็ทำได้แค่พูดว่า “ก็ได้ พาเจ้าไปด้วยก็ได้ แต่อย่าวิ่งเพ่นพ่านสะเปะสะปะล่ะ”
สวีอีพึมพำอย่างหดหู่ “ข้ามีหรือจะกล้าวิ่งเพ่นพ่าน?”
ตอนที่หยวนชิงหลิงออกไป เธอก็โทรหาพี่ชายก่อน พวกเขายังอยู่ในร้าน ดังนั้นเธอจึงไปเอารถแล้วพาสวีอีไปที่นั่น
เนื่องจากตอนนี้ชุดสูทแบบสั่งทำต้องใช้เวลานาน จึงทำได้แค่ซื้อชุดสูทสำเร็จรูปเท่านั้น โชคดีที่มีชุดสูทสำเร็จรูปอยู่เป็นจำนวนมาก ตอนที่พวกเขามาถึง พอได้เห็นเข้าก็ถึงกับลายตากันเลยทีเดียว
สามผู้นำยักษ์ใหญ่ต่างก็อยากลองสวมสูทกันหมด พวกเขาถูกตาต้องใจชุดทักซิโด้สีดำ ตอนที่หยวนชิงหลิงมาถึง พวกเขากำลังลองสวมชุดอยู่ในห้องลอง โดยมีหยวนชิงโจวคอยดูแลบริการให้ทั้งสามคนอยู่คนเดียว
เหนื่อยสุด ๆ!
“แม่!” เด็ก ๆ วิ่งเร็วจี๋ราวกับเหาะได้เข้ามาหา จากนั้น ก็ไปเบียดกันดูสวีอีอย่างพร้อมเพรียง
สวีอีเดินตามหยวนชิงหลิงมาข้างหลัง สีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง สาเหตุเพราะมีความแค้นอยู่ในใจ เขาแทบไม่สนใจอาการเมารถเมื่อครู่ตอนที่มาที่นี่เลย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาถูกโจมตีจากความทุกข์ทรมานมากขนาดไหน
“ ลุงสวี ฟันของลุงหายดีแล้วรึ?”โค้กมองสวีอีอย่างตื่นเต้นระคนแปลกใจ “ลุงสวี ลุงดูดีจริง ๆ ”
“จริงด้วย ที่แท้ลุงสวีก็หน้าตาดีขนาดนี้เชียวนะ” เด็ก ๆ พูดชมกันไม่ขาดปาก
คำชมที่อวยจนตัวแทบลอยของเด็ก ๆ เป็นอะไรที่สวีอีชอบใจอยู่ไม่น้อย เดิมทีเวลานี้เขาเจ็บมากจนแทบทนไม่ไหว แต่หลังจากได้ยินคำชมจากเด็ก ๆ เขากลับยิ้มแป้น ปล่อยน้ำลายไหลย้อยจนเปียกโชกเต็มพื้น
หยู่เหวินเห้าก็เข้ามาดูด้วย สุดท้ายก็ยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “อื้ม เป็นแบบตอนนี้ดีตั้งเท่าไหร่? อันที่จริงตอนที่เจ้าไม่มีฟันซี่นี้ ก็ไม่ได้ขาดทุนอะไรเลยนะ ยังอุตส่าห์ได้เมียมาง่าย ๆ ตั้งคนหนึ่ง”
รอยยิ้มของสวีอีเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจื่อน ๆ ทันที รัชทายาท ท่านช่างไม่รู้จักพูดคำพูดอะไรที่ทำให้อบอุ่นหัวใจสักประโยคสองประโยคบ้างเลยรึ?
ทุกคนต่างพากันพูดชมสวีอีคนละคำสองคำ ก็ถือได้ว่าเป็นการปลอบโยนเล็ก ๆ สำหรับความทุกข์ยากลำบากของเขา
ประตูห้องลองเสื้อผ้าเปิดออก สามผู้นำยักษ์ใหญ่เดินออกมาพร้อมกัน
ชุดสูทสีดำกับรองเท้าหนัง เปล่งประกายความดูดีมีระดับ ทำให้ใครก็ตามที่ได้เห็นถึงกับดวงตาพร่างพราย ร่างกายของพวกแม่ทัพบู๊ที่เคยกรำศึกมานาน ยังคงสูงใหญ่งามสง่าแม้ล่วงเข้าสู่วัยชรา รูปร่างแบบนี้จะดูดีเป็นพิเศษเมื่ออยู่ในชุดสูท แม้ว่าทั้งสามจะเป็นผู้มาเยือนจากคนละกาลเวลา แต่ความยิ่งใหญ่ของผู้ที่อยู่เหนือคน กลับไม่เคยจางหายไปเลยแม้แต่น้อย มาตอนนี้พอได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่สวมชุดที่ใหญ่โตเทอะทะเหมือนที่เคยใส่แต่ก่อน จึงดูมีเสน่ห์ดึงดูดเป็นพิเศษ
ทั้งสามคนเดินเข้ามาพร้อมกัน ย่างก้าวมั่นคงทรงพลัง รูปร่างแข็งแรงงามสง่า ในระยะทางสั้น ๆ ที่พวกเขาเดินออกมานี้ ช่างให้ความรู้สึกเหมือนการประกวดบนเวทีT-stage ผู้สูงวัยจริงๆ บรรดาพี่สาวผู้แนะนำสินค้าที่อยู่ในร้าน ต่างก็มองดูจนเคลิบเคลิ้มใจละลายไปตาม ๆ กัน
หยวนชิงหลิงแอบพูดพึมพำเบา ๆ ว่า “เสน่ห์ไม่ลดน้อยลงเลยนะเนี่ย!”
โสวฝู่เดินไปตรงหน้าแม่นมสี่ เชิดหน้าขึ้นด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจ เอ่ยถามว่า “ดูดีหรือไม่?”
นัยน์ตาของแม่นมสี่ เป็นระกายด้วยความตื่นเต้นระคนประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด นางเอื้อมมือออกไปช่วยจัดคอเสื้อให้เรียบร้อย ยกยิ้มอย่างสดใส “ดูดีมาก ช่างดูดีเหลือเกิน รูปลักษณ์ที่ดูดีที่สุดในชีวิตของท่าน ก็คือตอนนี้นี่ล่ะ”
ไท่ซ่างหวงก็เดินไปหยุดตรงหน้าของหยวนชิงหลิงกับพวกเด็ก ๆ แล้วหมุนตัวหนึ่งรอบ รู้สึกจิตใจแจ่มใสมาก ยิ้มจนใบหน้าปรากฏริ้วรอยเหี่ยวย่นขึ้นมาเลยทีเดียว
อันที่จริง เซียวเหยากงคือคนที่ดูดีที่สุด เพราะเขามีรูปร่างสูงใหญ่ ทั้งยังเกษียณออกไปเร็ว จึงค่อนข้างปลอดโปร่งใจไม่มีเรื่องให้ต้องกังวล ไม่เคยหย่อนยานการฝึกวรยุทธ์ เขาฝึกฝนจนมีรูปร่างที่สง่างามมาก เจ้าตัวเดินอกผายไหล่ผึ่งไปอยู่ตรงหน้าคุณย่าหยวน แล้วถามว่า “จูตี้ เป็นอย่างไรบ้าง? นับว่าใช้ได้หรือไม่?”
ไท่ซ่างหวงได้ยินคำเรียกนั้นถึงกับหันขวับไปทันที รีบพุ่งเข้าไปใช้สะโพกเบียดเขาออกไปให้พ้น “ไอ้เฒ่าจอมหลงตัวเอง นางเป็นญาติในครอบครัวของข้า ไม่ใช่ของเจ้า!”
เซียวเหยากงยังคงท่าทีไม่ยี่หระ หันหน้าไปถามเด็ก ๆ ปรากฏว่าพวกเด็ก ๆ ต่างไว้หน้าเขามาก พากันพูดชื่นชมยกยอว่า “ท่านกั๋วกงดูดีอย่างยิ่ง หล่อเหลาที่สุดเลย”
เซียวเหยากงจับ ๆ คอปกเหนือข้อมือ พูดด้วยน้ำเสียงติดจะเย่อหยิ่งว่า “ซื้อสักหลาย ๆ ชุด ข้าจะนำกลับไปด้วย