บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1444 ถ่ายรูปแต่งงาน
หลังจากได้รับการสนับสนุนจากเจ้าห้า เธอก็ค่อยออกมาหารือเรื่องนี้กับทุกคน
แน่นอนว่าทุกคนล้วนเห็นด้วย แม้แต่สามผู้นำยักษ์ใหญ่พอได้ฟังแล้ว ต่างก็ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขาถึงกับคิดว่า ในเมื่อมีความสามารถมากมายเช่นนี้ ย่อมต้องทำเรื่องสำคัญ ๆ ให้มากขึ้นถึงจะดี มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเพศเลย นี่คือจิตสำนึกของคนระดับผู้บังคับบัญชา
คนที่มีความสามารถ ก็ต้องทำอะไรที่มากกว่าคนอื่นหน่อย ด้วยระบบความคิดแบบนี้ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดเป็นนิสัยอันคุ้นชินไปแล้ว
คนที่ดีใจที่สุด ก็คือคุณพ่อคุณแม่และพี่ชายของตระกูลหยวนนั่นเอง ศาสตราจารย์หยวนที่กำลังดีใจจนเนื้อเต้น พูดด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดีว่า “คืนนี้ไม่ต้องทำอาหาร พวกเราไปกินที่ร้านกันดีกว่า!”
เซียวเหยากงมีความสุขที่สุดเมื่อเขาได้ไปร้านอาหาร เพราะถ้าได้ไปกินข้าวที่ร้านในโรงแรม จะสามารถสั่งเหล้าชั้นดีได้มากมายเท่าที่ต้องการ เขาจดรายการสิ่งที่อยากนำกลับไป ก็คือเหล้าชั้นดี เรียกว่าถ้าขนกลับไปได้มากเท่าไหร่ ก็จะขนกลับไปให้ได้มากเท่านั้น
และเมื่อไหร่ที่หยวนชิงหลิงกลับมาทำงาน สิ่งที่จะทำให้เขามีความสุขที่สุดก็คือ นางสามารถช่วยซื้อพร้อมหิ้วมาให้เขาได้ตามต้องการ
วันรุ่งขึ้นเป็นวันถ่ายรูปแต่งงาน
การถ่ายรูปวันแต่งงานยังคงเป็นทุกคนออกไปพร้อมกันหมด ก่อนจะออกบ้าน ไท่ซ่างหวงกำชับทุกคนไปว่า เมื่อออกไปข้างนอก จะไม่มีการคำนึงเรื่องใครเป็นนายใครเป็นบ่าวทั้งสิ้น คำพูดนี้ส่วนใหญ่คือมุ่งเป้าไปที่แม่นมสี่กับสวีอีเป็นหลัก เพราะทั้งสองมักจะยึดตามมารยาทในราชสำนักแม้เวลาออกไปข้างนอก นั่นจะทำให้โดนคนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้
บรรดาทีมงานในสตูดิโอต่างมาบริการพวกเขา เพราะพวกเขาไม่เพียงแค่จะถ่ายรูปแต่งงานเท่านั้น แต่ยังต้องการถ่ายรูปเด็ก ๆ รวมถึงผู้สูงอายุด้วย
มีชุดแต่งงานมากมายในสตูดิโอ แม่นมสี่ถึงกับตาพร่างพราย แต่ก็ยังถามสิ่งที่ค้างคาใจว่า “ทำไมแต่งงานถึงใส่สีขาวได้ล่ะนี่?”
“เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม!” โสวฝู่อธิบาย
แม่นมสี่ลูบคลำสัมผัสชุดแต่งงานเหล่านั้น เกิดความรู้สึกโหยหาเล็กน้อย “ถึงแม้ว่า พวกเราทางนั้นจะไม่มีธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้ แต่นี่ดูไปแล้วช่างงดงามยิ่งนัก”
โสวฝู่เห็นสีหน้าท่าทางของนาง พลันหัวใจเต้นแรง “เจ้าอยากใส่หรือไม่? ไม่สู้พวกเราก็มาถ่ายรูปกันสักใบเถอะนะ?”
แม่นมสี่หน้าแดงก่ำ “จะถ่ายทำไมกัน? นี่มันเป็นเรื่องของคนหนุ่มสาวนะ พวกเราอายุอานามตั้งปูนนี้แล้ว ไม่เอาหรอก ไม่เอา เดี๋ยวคนอื่นหัวเราะเยาะแย่เลย!”
โสวฝู่พูดด้วยท่าทีไม่ยี่หระ “ถ้าเจ้าอยากถ่ายก็ถ่าย ไม่มีใครหัวเราะเยาะเจ้าหรอก ต่อให้มีคนหัวเราะเยาะจริง ๆ ข้าก็จะยอมโดนหัวเราะเยาะเป็นเพื่อนเจ้าเอง”
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาไม่เคยอยู่โดยปราศจากการถูกบีบบังคับให้อยู่ในกรอบเลย มาถึงตอนนี้ โสวฝู่ก็ปล่อยวางทุกอย่างลงไปหมดแล้ว ในชีวิตนี้ บางทีอาจเหลือเวลาแค่ช่วงบั้นปลายสั้น ๆ นี้แล้วก็เป็นได้ ทำไมถึงไม่ใช้มันไปอย่างที่ใจต้องการล่ะ?
คนของสตูดิโอถ่ายรูปได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสอง จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “จริง ๆ แล้วตอนนี้ผู้สูงอายุจำนวนมากก็มาถ่ายรูปแต่งงานด้วยเหมือนกันนะคะ โดยเฉพาะช่วงหลายปีมานี้ ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เลย เป็นเพราะอยากจะชดเชยความรู้สึกเสียดายน่ะค่ะ อาจเพราะเมื่อสมัยยังหนุ่มยังสาว สามีภรรยาหลายคู่ไม่มีความพร้อมตามเงื่อนไข แต่ตอนนี้มีพร้อมตามเงื่อนไขแล้ว ทำไมไม่ทำให้ตัวเองดูสวยดูหล่อสักครั้งในชีวิตล่ะคะ?”
แม่นมสี่ยังค่อนข้างหัวโบราณ แม้ว่าในใจจะคิด แต่กลับไม่กล้าก้าวขึ้นมาถึงขั้นนี้ นางหน้าแดงพลางส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ขอบคุณ!”
หยวนชิงหลิงกำลังแต่งหน้าอยู่อีกด้าน ได้ยินดังนั้น ก็หันไปพูดกับเจ้าห้าที่ก็กำลังแต่งหน้าอยู่ข้าง ๆ ว่า “เจ้าว่าตอนที่เราแต่งงาน พอจะให้โสวฝู่กับแม่นมสี่เดินร่วมในงานพิธีได้หรือไม่? ข้ามักจะรู้สึกว่า การที่ชีวิตนี้พวกเขาไม่อาจอยู่ด้วยกันได้อย่างแท้จริง มันเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก”
เจ้าห้ามีท่าทีไม่อินังขังขอบนัก แต่เพราะเรื่องการแต่งงานต้องดูที่สองฝ่ายต่างมีใจตรงกัน เพราะถึงอย่างไรความสุขของคู่รัก ก็คือการที่คนสองคนที่ต่างก็ชอบกันได้มาอยู่ด้วยกัน ทั้งยังได้อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า ในส่วนของพิธีการก็สำคัญมากเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเห็นด้วยอย่างมาก “ได้สิ ได้แน่นอน”
“ได้ ๆ ดีมากเชียวล่ะ!” ไท่ซ่างหวงกับเซียวเหยากงมองจากด้านหลัง ต่างพูดสนับสนุนขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง
ที่เป่ยถัง พวกเขาไม่มีวันจัดงานแต่งงานได้แน่ มีข้อจำกัดมากเกินไป
แต่ที่นี่ ทำไมจะไม่สามารถเติมเต็มความปรารถนาของพวกเขาได้ล่ะ ?
“ท่านปู่!” หยวนชิงหลิงหันหน้าไปหาไท่ซ่างหวง ส่งสายตาเป็นประกายไปให้ พูดขึ้นว่า “ท่านไปเถอะ ท่านปู่สั่งแม่นมสี่ได้ แม่นมสี่รับใช้ท่านปู่มาตลอดชีวิต คำพูดของท่านนางจะต้องเชื่อฟังแน่ ช่วยไปพูดกล่อมนางให้หน่อย นางจะต้องยอมพิจารณาใหม่อีกครั้งแน่ ”
หลังจากผ่านเหตุการณ์ทำฟันของสวีอีมา หยวนชิงหลิงรู้สึกว่า มีบางเรื่องที่สามารถใช้อำนาจของคนเป็นนายสั่งได้โดยไม่ต้องพูดจาโน้มน้าวอะไร ซึ่งสามารถช่วยประหยัดเวลาไปได้มาก
ไท่ซ่างหวงพยักหน้า เรียกพนักงานคนหนึ่งมา แล้วชี้ไปที่แม่นมสี่กับโสวฝู่ จากนั้นพูดกับพนักงานคนนั้นว่า “ไปเลือกเสื้อผ้าให้พวกเขาสักสองสามชุด ให้พวกเขาถ่ายรูปด้วย พวกเขาถ่ายแค่ในห้องนี้ก็พอ ถ้าไปถ่ายกลางแจ้งคงจะเหนื่อยเกินไป ”
โสวฝู่สามารถทนต่อความลำบากนี้ได้ แต่แม่นมสี่ทำไม่ได้ ไท่ซ่างหวงค่อนข้างใส่ใจในรายละเอียดข้อนี้
เมื่อแม่นมสี่ได้ยินดังนั้น ก็รีบโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ ข้าน้อย… ข้าไม่ถ่ายเจ้าค่ะ”
“ถ่าย!” ไท่ซ่างหวงจ้องตาเขม็ง “เจ้ากล้าขัดคำบัญชารึ? หือ?”
แม่นมสี่ตกใจจนผงะ แทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ไม่ใช่ว่าตอนที่จะออกมาท่านพูดไว้หรอกหรือว่าไม่ต้องคำนึงเรื่องใครเป็นนายใครเป็นบ่าว? ทำไมตอนนี้ถึงมีพระบัญชาออกมาได้ล่ะนี่?
“ถ้าอย่างนั้น… เสื้อผ้าพวกนี้ มันไม่เหมาะกับข้านะเจ้าคะ พวกมันบางราวกับปีกจักจั่น ทั้งยังเปิดเผยเนื้อหนังเช่นนี้ ข้าจะสวมได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ?” แม่นมสี่พูดอย่างร้อนรน
พนักงานยิ้มพลางเปิดม่านอีกโซนนึงออก จึงเห็นว่าที่นั่นมีชุดกระโปรง ชุดกี่เพ้า ชุดที่เย็บด้วยไหมดิ้นทอง ผ้าไหมดิ้นเงินล้วนมีทั้งหมด แน่นอนว่าวัสดุที่ใช้อาจไม่ใช่ของชั้นเยี่ยม แต่รูปแบบล้วนไม่เลว ทั้งยังมีให้เลือกครบครันมาก ชวนให้คนเห็นรู้สึกหูตาพร่างพรายไปพักใหญ่
แม้แต่โสวฝู่ยังอดส่งเสียงอุทานไม่ได้ เพราะเขาได้เห็นชุดแบบที่ผู้ชายสวมด้วยนั่นเอง
เขาหันไปมองไท่ซ่างหวงด้วยความรู้สึกขอบคุณและตื่นเต้นอย่างมาก
ไท่ซ่างหวงส่งสายตาที่สื่อความหมายไปให้เขา ว่าข้าสามารถช่วยได้เพียงเท่านี้แล้ว
โสวฝู่ดีใจจนตัวแทบลอย หันหน้ากลับไปเลือกเสื้อผ้ากับแม่นมสี่ แม่นมสี่ปากก็บอกว่าไม่อยาก ๆ แต่มือกลับเอื้อมไปเลือกเสื้อผ้าที่มีลวดลายแพรวพราวงดงามมาลองไม่หยุด ถือหนึ่งในชุดเหล่านั้นไว้ในมือแน่น จากนั้นก็เอามาทาบลงบนตัว “นี่….. นี่มันช่างน่าอายเหลือเกินแล้ว จนอายุปูนนี้แล้วแท้ ๆ”
ชุดที่นางเลือกมาคือชุดกี่เพ้า เป็นสีแดงเข้ม มีรูปแบบที่เรียบง่าย เป็นชุดแบบปล่อยชายกว้าง นางยิ้มด้วยท่าทีเขินอายพลางมองโสวฝู่ ถามขึ้นว่า “ดูดีหรือไม่?”
โสวฝู่พยักหน้ารัว ๆ ดั่งตอกเสาเข็ม “ดูดี ดูดีมาก!”
แม่นมสี่แววตาแฝงความเบิกบานเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้น… ข้าจะไปลองสักหน่อย เอ๋? ตัวนี้แหวกกว้างมาก โอ้! โธ่เอ๊ย! นี่มันเปิดเผยเนื้อหนังขนาดไหนกันนี่? ไม่ได้ ๆ!”
นางรีบเอากลับไปแขวนที่เดิมอีกครั้ง แต่โสวฝู่กลับไปดึงมันลงมาแทนนางทันที “ไม่เป็นไร ไม่ว่ากัน มันเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดนั่นล่ะ ชุดกี่เพ้า ข้าเคยเห็นในทีวี ตอนนั้นข้ายังคิดอยู่เลยว่าถ้าเจ้าใส่ จะต้องดูดีกว่าคนในทีวีคนนั้นใส่แน่ ๆ ”
พนักงานยิ้มพลางพูดว่า “คุณป้าคะ ถ้าคุณรู้สึกว่ามันเปิดโล่งเกินไป เดี๋ยวดิฉันจะจับคู่ถุงน่องสีเนื้อให้คุณไปด้วย หลังจากใส่ถุงน่องแล้ว เราจะมองไม่เห็นความแตกต่างเลยค่ะ แต่ขาของคุณจะไม่รู้สึกเย็น ๆ โล่ง ๆ อีก”
“ ลองดูเถอะ เสี่ยวสี่ เดี๋ยวข้าจะใส่เป็นเพื่อนเจ้าเอง!” คุณย่าหยวนพูดด้วยรอยยิ้ม
“จริงรึ? ท่านจะใส่เป็นเพื่อนข้า?” อันที่จริง ในใจแม่นมสี่คิดอยากจะใส่มันมาก แต่เพราะรู้สึกอึดอัดขัดเขินไปหน่อย พอตอนนี้คุณย่าหยวนบอกว่าจะใส่เป็นเพื่อน นางก็ดีใจขึ้นมาทันที
“ใช่ ข้าจะใส่มันเป็นเพื่อนให้เอง อีกเดี๋ยวไม่ใช่ว่าก็ต้องถ่ายรูปหมู่หรอกหรือ? ข้าเองก็ต้องใส่ด้วยอยู่แล้วล่ะ!” คุณย่าหยวนหยิบชุดกี่เพ้าปักลายดอกลิลลี่สีเขียวชุดหนึ่งขึ้นมา แล้วดึงตัวแม่นมสี่เข้าไปในห้องลองชุดด้วยกัน
ไท่ซ่างหวงเห็นดังนั้น ก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง รีบเข้าไปพูดกับโสวฝู่ว่า “ข้าจะเลือกให้เจ้าเอง!”
เขารีบพลิกสองมือเลือกเสื้อผ้าของผู้ชายอย่างรวดเร็ว มือหนึ่งหยิบมารวดเดียวสองชุด แล้วพูดว่า “อื้ม ชุดนี้ไม่เลว ชุดนี้ไม่เลว ข้าก็จะลองใส่เป็นเพื่อนเจ้าด้วย”
เขาเลือกเสื้อแบบตัวยาวออกมาสองชุด ชุดหนึ่งเป็นสีเทาอมฟ้า และอีกชุดเป็นสีเทาเงิน เนื้อผ้าธรรมดามาก จะเห็นได้ว่าไท่ซ่างหวงแค่เลือกหยิบมันมาแบบสุ่ม ๆ เท่านั้น
พนักงานยิ้มพลางพูดว่า “ถ้าคุณสองคนต้องการจับคู่ชุดกี่เพ้า ดิฉันคิดว่าบุคลิกของพวกคุณสองคน ถ้าใส่ชุดผ้าทูนิกจะยิ่งดูดีขึ้นนะคะ เพราะรูปร่างของพวกคุณสองคนคือจะสูงแถมแผ่นหลังก็เหยียดตรง ใส่ชุดทูนิกจับคู่กับกี่เพ้า ที่จริงแล้วจะดูเข้ากันกว่า ไม่จำเป็นต้องใส่เป็นเสื้อแบบยาวเหมือนกันก็ได้ เสื้อแบบตัวยาว จะให้อารมณ์ที่ดูสง่ากว่านิดหน่อย พวกคุณสองคนไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ค่ะ”
อันที่จริงเสื้อแบบยาวนั้นถ้าให้โสวฝู่ใส่ก็นับว่าพอไหวอยู่ แต่เพราะหลังจากที่เขาป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย ทำให้ซูบผอมลงไปประมาณหนึ่ง จึงไม่ค่อยเหมาะกับการสวมเสื้อแบบยาว เพราะมันจะทำให้เขาดูเหมือนหมอจับกระดูกตาบอดมาก
ไท่ซ่างหวงยิ่งไม่เหมาะจะใส่เสื้อแบบยาวเลยจริง ๆ ประเด็นหลัก ๆ เลยคือ เขามีออร่าความดุดันทรงพลัง การสวมเสื้อแบบยาวเข้าไป จะทำให้เขามีสภาพที่หัวมงกุท้ายมังกรอย่างยิ่ง
บรรดาคนในครอบครัวหยวน ต่างเข้ามาช่วยพวกเขาสองคนเลือกชุด จนกลายเป็นการทิ้งคู่บ่าวสาวตัวจริงไว้ข้างหลัง เรียกว่าถูกแย่งสิทธิ์การเป็นเจ้าของงานแต่งไปโดยปริยาย