บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1445 มีรางวัลให้
หยู่เหวินเห้ารู้สึกหึงขึ้นมาเล็กน้อย “สรุปว่าใครแต่งงานกันแน่ล่ะนี่?”
ทางด้านนั้นดูคึกคักมีชีวิตชีวาเหมือนมีมหรสพ ส่วนทางนี้ช่างเหงาวังเวงเหมือนกระท่อมหลังน้อยอันห่างไกล ช่างแตกต่างกันอย่างยิ่ง
หยวนชิงหลิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเรามักชอบอวดความรักหวานชื่นใส่คนอื่นบ่อย ๆ ถึงเวลาต้องถอยบ้างแล้วล่ะ”
หยู่เหวินเห้าหันไปมองเธอ “เดิมทีพวกเราก็รักกันอยู่แล้ว มันไม่เกี่ยวอะไรกับการอวด พวกเรารีบทำให้เสร็จเร็ว ๆ เถอะ จะได้ไปดึงสติพวกเขาให้มาสนใจพวกเรามากขึ้นสักที”
ช่างแต่งหน้าฟังบทสนทนาของพวกเขา ก็ถามด้วยความสงสัยว่า “คุณสองคนเป็นดาราเหรอคะ? ไม่ทราบว่าถ่ายละครเรื่องอะไรกันเหรอ? หลัก ๆ เน้นแสดงแนวย้อนยุคกันใช่ไหมคะ? ดิฉันได้ยินพวกคุณคุยกัน เห็นใช้ภาษาโบราณเจ้า ๆ ข้า ๆ กันตลอดเลย”
หยวนชิงหลิงถึงกับหลุดหัวเราะ “ใช่ค่ะ พวกเราเป็นแค่นักแสดงประกอบบทเล็ก ๆ แต่เราแสดงละครย้อนยุคมานานหลายปี” ที่สำคัญคือ ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานด้วย
ช่างแต่งหน้าพูดว่า “พวกคุณสองคนมีทักษะการแสดงที่ดี แถมหน้าตาก็ดี จะต้องได้เล่นบทนำอย่างแน่นอนค่ะ สู้ ๆ นะคะ!”
“ขอบคุณค่ะ!” หยวนชิงหลิงตอบรับด้วยรอยยิ้ม
หลังจากแต่งหน้าเสร็จ เด็ก ๆ ที่ต่างก็แต่งหน้าแต่งตัวเสร็จแล้วเหมือนกันก็เดินออกมา ทุกคนสวมชุดสูทสีขาวตัวเล็ก ๆ ผูกหูกระต่าย มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง ยืนเบียดกันอยู่ด้านหลังพวกเขาพลางส่งเสียงเรียกว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่!”
ไม่ต้องหันหลังกลับไปมอง ก็เห็นหน้าตาหล่อเหลาของพวกเขาผ่านทางกระจกได้ ไม่รอให้หยวนชิงหลิงได้มองอย่างละเอียด ๆ พนักงานเกือบทุกคนก็เดินเข้ามาล้อมรอบตัวเขา ต่างก็รู้สึกตกตะลึงมาก ตอนที่เด็ก ๆ กลุ่มนี้มา ก็ทำให้พวกเขารู้สึกชอบมากแล้ว มาตอนนี้พวกเขาสวมชุดสูทเล็ก ๆ หวีผมที่เพิ่งตัดมาใหม่ขึ้นไป ยิ่งทำให้น่ามองจนไม่รู้จะบรรยายยังไงเลยทีเดียว
พนักงานแต่ละคน ต่างก็หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโออย่างพร้อมเพรียง
อีกด้านหนึ่ง แม่นมสี่กับคุณย่าหยวนใส่ชุดกี่เพ้าเสร็จก็เดินออกมา โสวฝู่กับไท่ซ่างหวงก็เปลี่ยนเป็นชุดเสื้อทูนิกสไตล์จีน สองคู่ต่างมองหน้าประสานสายตากัน ดวงตาของโสวฝู่กับแม่นมสี่เต็มไปด้วยความรักอันลึกซึ้งเข้มข้น ในสายตามีเพียงกันและกัน ไม่มีอะไรอื่นทั้งสิ้น
ไท่ซ่างหวงกลับมีท่าทีค่อนข้างภูมิใจไม่น้อย “จูตี้ ชุดของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
คุณย่าหยวนยิ้ม “ดูดีมาก ดูดีอย่างยิ่ง”
ไท่ซ่างหวงมองดูคุณย่าหยวน มองพินิจอยู่หลายครั้ง ก็พูดยืนยันหนักแน่นว่า ” เจ้าเองก็ดูดีมากเช่นกัน”
คุณย่าหยวนปกติก็มีท่าทางที่สง่างาม ดูภูมิฐาน เมื่อใส่ชุดกี่เพ้าจึงดูเหมาะกับเธอมาก ในบรรยากาศที่ดูทรงภูมิสง่างาม เหมือนว่าจะเพิ่มบรรยากาศของหนอนหนังสือเข้าไปด้วยเล็กน้อย เธอแสดงท่วงท่าเหล่านี้ออกมา แต่ก็ไม่สูญเสียกิริยาเข้มงวดทรงพลัง ไท่ซ่างหวงยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่างดงามนัก จึงเอ่ยขึ้นว่า ชุดนี้ของเจ้าก็เอากลับไปด้วยเถอะ วันหลังก็ใส่บ่อย ๆ หน่อย”
คุณย่าหยวนยิ้มพลางพูดว่า “ข้าจะกลับหรือไม่กลับไป ก็ยังไม่แน่หรอกนะ?”
ไท่ซ่างหวงตกใจจนผงะ “เจ้าไม่กลับไปรึ? ทำไมถึงไม่กลับไปล่ะ? ถ้าไม่กลับไป แล้วสำนักแพทย์จะทำอย่างไร?”
“ มีคนที่สามารถรับช่วงต่อได้ ก่อนจะกลับมาที่นี่ข้าก็คัดเลือกเอาไว้แล้ว” คุณย่าหยวนมองดูกระจก รู้สึกพอใจมาก แต่ก็ยังรู้สึกเย็น ๆ นิดหน่อย เธอหันหน้าไปถามขอเสื้อกั๊กตัวเล็ก ๆ สักตัวจากพนักงาน แล้วเอามาคลุมไว้ที่ไหล่ ยิ่งขับเน้นให้ดูหรูหรามีสไตล์ขึ้นมาหลายส่วน
ไท่ซ่างหวงพูดอย่างร้อนใจว่า “จะให้เจ้าบอกเองว่าได้ มันก็จะได้ตามนั้นได้อย่างไรกัน? ตำแหน่งนี้สำคัญอย่างยิ่ง จำเป็นต้องมีการประเมินอย่างเข้มงวด”
คุณย่าหยวนพูดว่า “ข้าบอกว่าได้ก็คือได้ ข้าเป็นมืออาชีพในด้านนี้ เจ้าต้องเชื่อข้า!”
“ ไม่ได้ ข้าบอกว่าไม่ได้!” ไท่ซ่างหวงค้านอย่างหนักแน่น
คุณย่าหยวนมองเขา แล้วขมวดคิ้วมุ่น น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง ““อย่าก่อปัญหา! องค์ลงอะไรของเจ้าน่ะ จู่ ๆ ก็โวยวายเอาแต่ใจอะไรขึ้นมา?”
ไท่ซ่างหวงรีบแย้งว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่เคยพูดถึงมาก่อนเลย เจ้าจะอยู่ดี ๆ ก็โยนภาระหน้าที่ที่สำคัญขนาดนี้ไปง่าย ๆ ไม่ได้”
คุณย่าหยวนไม่สนใจเขา หยิบดินสอเขียนคิ้วมาวาดคิ้วให้ตัวเอง เมื่อตอนที่เธอยังสาว เธอเป็นคนที่มีรูปโฉมงดงามโดดเด่นมาก มาตอนนี้แม้จะมีอายุเข้าสู่วัยชรา แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าแก่มากนัก ก็แค่คิ้วดูจางลงไปนิดหน่อยเท่านั้น
หลังจากวาดคิ้วเสร็จ ไท่ซ่างหวงก็ยังคงมีท่าทางเดือดปุด ๆ พลางจ้องมองเธออย่างโกรธเคืองอยู่ข้างหลังไม่เลิก คุณย่าหยวนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าล้อเจ้าเล่นหรอก ข้าไม่มีทางโยนสำนักแพทย์ทิ้งอย่างไม่สนใจไยดีอยู่แล้ว ข้าต้องพยายามจนเลือดตาแทบกระเด็นขนาดไหน จะอยู่ดี ๆ ก็โยนทิ้งไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน?”
“แล้วทำไมเมื่อครู่เจ้าต้องพูดเสียจริงจังขนาดนั้นด้วยล่ะ?” ไท่ซ่างหวงถาม
“ล้อเล่นน่ะเข้าใจหรือไม่? เจ้าช่างขาดอารมณ์ขันเสียจริง จุดนี้เจ้าสู้เซียวเหยากงไม่ได้เลยจริงๆ” คุณย่าหยวนถอนหายใจเฮือก “เอาเถอะ เจ้านั่งลง เดี๋ยวข้าจะช่วยแต่งหน้าให้ อีกครู่เดียวก็จะเริ่มถ่ายรูปหมู่กันแล้ว”
ไท่ซ่างหวงนั่งลง ปากก็พึมพำว่า “ขาดอารมณ์ขันอะไรกัน? อารมณ์ขันมันกินแทนข้าวได้หรือไร? ข้าเป็นผู้ใหญ่ที่มั่นคงหนักแน่นต่างหาก”
ถึงกับเอาเขาไปเปรียบเทียบกับน้องสิบแปด น้องสิบแปดนับเป็นอะไรได้ ? เขาเหลือบมอง เซียวเหยากงผ่านทางกระจกแวบหนึ่ง เซียวเหยากงกำลังหยิบชุดกี่เพ้าชุดหนึ่งมาพินิจดูอย่างสนอกสนใจ เจ้าสิ่งนี้ ดู ๆ ไปแล้วก็เรียบ ๆ ธรรมดามาก แต่ทำไมพอใส่ขึ้นมาถึงได้ดูดีขนาดนั้นนะ? เขาอดรู้สึกใจเต้นไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมีแบบของผู้ชายหรือไม่?
เขารู้ว่าในโลกฝั่งนี้สามารถทำตัวไร้ยางอายได้ ดังนั้นเขาจึงถามออกไปตรง ๆ ว่า “มีที่ข้าใส่ได้บ้างหรือไม่?”
คำถามนี้ ทำให้พนักงานทุกคนตกใจไปตาม ๆ กัน
ศาสตราจารย์หยวนรีบวิ่งเข้ามาทันที “ล้อเล่นน่ะครับ แค่ล้อเล่น”
พนักงานหัวเราะพลางพูดว่า “อ๋อ คุณลุงมีอารมณ์ขันดีจังเลยนะคะ!”
เซียวเหยากงรู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจเล็กน้อย แต่ศาสตราจารย์หยวนไม่ปล่อยให้เขาถามคำถามอีก ลากตัวเขาออกไปดื้อ ๆ แล้วจัดชุดเสื้อทูนิกสไตล์จีนให้เขาใส่ด้วยอีกคน
ไท่ซ่างหวงนึกสงสัยขึ้นมา นี่หรือที่เรียกว่าอารมณ์ขัน? อารมณ์ขันคือต้องทำตัวปัญญาอ่อนอย่างนั้นรึ?
ในที่สุด ทุกคนก็แต่งตัวเรียบร้อย แต่งหน้าเสร็จสรรพ เพราะทุกคนต่างก็เฝ้ารอการถ่ายรูปหมู่ ดังนั้น จึงจัดคิวถ่ายรูปหมู่ก่อน แล้วค่อยไปถ่ายรูปแต่งงานของหยวนชิงหลิงทีหลัง
ภาพถ่ายกลุ่มใหญ่นี้ต้องใช้พื้นที่มากจริง ๆ แบล็กกราวด้านหลังมีคนยืนจนเต็มพื้นที่ คุณย่าหยวนกับแม่นมสี่นั่งอยู่ข้าง ๆ สามผู้นำยักษ์ใหญ่ ศาสตราจารย์หยวนสามีภรรยายืนอยู่ตรงกลางในตำแหน่งด้านหลังพวกเขา หยู่เหวินเห้าสามีภรรยากับพี่ชายยืนขนาบซ้ายขวา มีสวีอีเพิ่มเข้ามาอีกคน ยืนอยู่ข้างพี่ชายของหยวนชิงหลิง ส่วนพวกเด็ก ๆ ต่างนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้นตรงแถวหน้าสุด
ยกเว้นเสี่ยวกวาจื่อ เสี่ยวกวาจื่อมีไท่ซ่างหวงที่เป็นคนอุ้มไว้ เดิมทีคุณย่าหยวนจะเป็นคนอุ้ม แต่ไท่ซ่างหวงบอกว่าการถ่ายภาพหมู่นั้นค่อนข้างเป็นทางการ ควรให้เขาเป็นคนอุ้มจะดีกว่า คุณย่าหยวนขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับคนแก่ที่ชอบงอแงเป็นเด็ก ๆ จึงต้องยอมถอยให้เขา
คนจำนวนมาก ๆ มาอยู่รวมกัน จะให้ยิ้มพร้อมๆ กันย่อมเป็นเรื่องยากไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับกล้อง สามผู้นำยักษ์ใหญ่กับสวีอีต่างอดรู้สึกประหม่าขึ้นมาไม่ได้ แต่สวีอียังนับว่าพอไหว ตอนนี้เขามีฟันแล้ว ไม่ว่าเวลาไหนเขาก็อยากจะยิ้มกว้างอยู่ตลอด จะได้อวดฟันใหม่สองซี่ที่ขาวเป็นพิเศษนั่นให้โลกรู้
กลับกันเมื่อสามผู้นำยักษ์ใหญ่ยิ้มไปได้สองสามครั้ง สีหน้าของพวกเขาก็ค่อย ๆ แข็งทื่อ จนถึงขั้นเรียกได้ว่าน่าสยดสยอง
หลังจากเอะอะมะเทิ่งไปได้อึดใจใหญ่ ๆ ในที่สุดก็เสร็จสิ้นลงเสียที
ทุกคนต่างถอนหายใจโล่งอก
ต่อมาเป็นการถ่ายรูปแต่งงานของคู่บ่าวสาว เริ่มถ่ายในสตูดิโอก่อน มีการจัดท่วงท่าสารพัดในแต่ละจุดแต่ละมุมของห้อง เด็ก ๆ ต่างก็ได้ปรากฏในเฟรมด้วยบ่อย ๆ ไท่ซ่างหวงก็มาร่วมวงเล่นสนุกด้วยเป็นครั้งคราว แต่ก็ดูมีความสุขที่ได้มาร่วมด้วย
ช่างภาพเป็นคนที่เคยได้รับรางวัลด้านการถ่ายรูป มีความเป็นมืออาชีพมาก ทุกรูปที่ถ่ายออกมาล้วนงดงามเป็นพิเศษ อีกทั้งยังดูไม่เหมือนรูปถ่ายแต่งงานส่วนใหญ่ที่จงใจสร้างภาพให้เหมือนอยู่ในความฝัน ช่างภาพคนนี้สามารถจับภาพอารมณ์ที่แท้จริงได้ครบทุกชอต โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองมีบรรยากาศของความรักแผ่ออกมา ออร่าที่ปรากฏในชั่วพริบตานั้น เขาสามารถเก็บมันไว้บนกล้องถ่ายรูปได้ในเสี้ยววินาที
หลังจากถ่ายภาพในสตูดิโอเสร็จแล้ว เมื่อดูภาพอริจินอล ช่างภาพเองก็ยังแนะนำว่า ไม่จำเป็นต้องทำการรีทัชอะไรเพิ่มเติมแล้ว แบบนี้แหล่ะที่ดูดีกว่า
เขาเงยหน้าขึ้น มองหยวนชิงหลิงแวบหนึ่ง แล้วพูดชื่นชมว่า “ผิวของคุณหนูหยวนดีมาก ๆ เลยครับ ทั้งขาวทั้งเนียนละเอียด แค่แต่งหน้าบาง ๆ ก็สามารถดึงผลลัพธ์ที่ดีขนาดนี้ออกมาได้ ช่างน่าทึ่งจริง ๆ พื้นฐานผิวดีมาก!”
เขาไม่ลืมหันไปพูดชมหยู่เหวินเห้าด้วย “คุณห้าเองก็หล่อมากเหมือนกันนะครับ พวกคุณสองคนเป็นคู่สวรรค์สร้างมาให้ได้ครองคู่กันจริง ๆ เลย”
หยู่เหวินเห้าจับมือหยวนชิงหลิง ประสานสายตามองกันและกันอย่างภาคภูมิใจ “พูดได้ดี มีรางวัลให้!”