บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1447 ทริปฮันนีมูน
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ก็ถึงตาของคุณย่าหยวน ที่ต้องเป็นฝ่ายไล่ตามไปอธิบายให้เขาฟังแล้ว และเธอก็ไม่กล้าใช้สถานะของพี่สาวคนโต ไปเผชิญหน้ากับเขาได้แล้วด้วย
นี่เห็นได้ว่า ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ดอยู่วันยังค่ำ
หลังจากงานแต่งงานเสร็จสิ้น วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นการไปฮันนีมูนแล้ว
ฮ่องเต้ฮุยจงใจกว้างอย่างยิ่ง ถึงกับจัดทริปส่วนตัวสุดหรูให้คู่บ่าวสาวทั้งแก่ทั้งหนุ่ม
เดิมทีคุณย่าหยวนไม่อยากไป แต่เมื่อฮ่องเต้ฮุยจงถาม คุณย่าหยวนกำลังคิดจะพูดปฏิเสธออกไป ไท่ซ่างหวงก็ชิงพูดขึ้นว่า “นางไม่มีทางไปหรอก นางดูถูกพวกเราแทบแย่แล้ว จะยอมไปเที่ยวกับพวกเราได้อย่างไรกัน? ”
คุณย่าหยวนจึงทำได้แค่ต้องกัดฟันตอบไปว่า “ไปสิ ข้าอยากไป”
ด้วยเหตุนี้เอง วันรุ่งขึ้นพวกเขาก็แยกกันออกเดินทาง หยวนชิงโจวรับผิดชอบเป็นผู้นำทริปของกลุ่มผู้สูงอายุ ทริปคู่บ่าวสาวกับทริปกลุ่มผู้สูงอายุไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกัน
หยู่เหวินเห้าไม่เคยล่องเรือที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน หลังจากขึ้นเรือ เขาก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับทุกอย่างที่เห็นเหมือนคนบ้านนอกเข้ากรุง แต่เรื่องที่ทำให้เขามีความสุขที่สุดก็คือ ในที่สุดเขาก็ได้ใช้ชีวิตแบบอยู่ในโลกของเราสองสักที ไม่ต้องถูกคนอื่นรบกวนอีก สามารถเพลิดเพลินกับทริปการเดินทางท่องเที่ยวเจ็ดวันได้อย่างเงียบสงบ
เด็ก ๆ ต่างก็รู้ความกันดีมาก ไม่ได้ร้องงอแงอยากตามมาด้วย ด้านหนึ่งเพราะพวกเขาฉลาดรู้ความ รู้ดีว่าควรให้พ่อกับแม่ได้ไปพักร้อนกันแบบส่วนตัวบ้าง ส่วนอีกด้านคือ เมื่อไม่มีพ่อกับแม่คอยคุมอยู่ข้าง ๆ เช่นนั้นก็นับว่าเป็นอิสระแล้ว ภายใต้ความเอ็นดูและตามใจของฮ่องเต้ฮุยจงกับคุณตาคุณยาย อยากจะทำอะไรก็ทำได้ อยากจะกินอะไรก็กินได้ ฟินสุด ๆ!
ห้องของเรือสำราญมีหน้าต่างและระเบียงยาว คู่บ่าวสาวนอนเล่นอยู่ด้านนอก เพลิดเพลินกับความอบอุ่นของแสงแดดที่สาดส่องมา ปัญหากวนใจทั้งหลายก็ค่อย ๆ สลายหายไปตามเกลียวคลื่น ยามเมื่อเรือสำราญเคลื่อนตัวออกสู่ท้องทะเล
ไม่มีเป่ยถัง ไม่มีเรื่องการเมือง ไม่มีเรื่องน่าเบื่อหน่ายทั้งหลายทั้งปวง มีเพียงการเดินทางที่มีความสุขและน่ารื่นรมย์ สำหรับพวกเขาสองคนในอีกเจ็ดวันข้างหน้า
ลมทะเลค่อนข้างแรง แต่ก็ทำให้ทั้งคู่รู้สึกสบายใจ หยวนชิงหลิงเอนกายพิงไหล่ของหยู่เหวินเห้า มองดูเกลียวคลื่นสีทองในท้องทะเลสีฟ้า ส่องแสงระยิบระยับกระจายตัวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทับซ้อนกัน กระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุดนิ่ง แต่อารมณ์กลับสงบสุขผ่อนคลายอย่างน่าแปลก
“ เจ้าหยวน ช่างไม่ง่ายเลยจริง ๆ นะ ที่พวกเราจะได้ใช้ชีวิตที่มีความสุข ทั้งยังผ่อนคลายสบายใจแบบนี้ได้หลาย ๆ วันโดยไม่ถูกใครรบกวน” หยู่เหวินเห้าพูดพลางถอนหายใจเฮือก
หยวนชิงหลิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ ที่เป่ยถัง ถ้าคิดจะไปล่องเรือเล่นในทะเลสาบ พวกเราไม่อาจวางใจในความปลอดภัยได้เลย”
“ทุก ๆ ปีหลังจากนี้ พวกเราก็แบ่งเวลาสักสองสามวันเพื่อมาพักผ่อนที่นี่กันเถอะ ไว้ถึงตอนนั้น พวกเราก็พาลูก ๆ ของเรามาด้วยได้แล้ว”
“อื้ม ขอเพียงเจ้าแบ่งเวลาได้ พวกเราจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น” หยวนชิงหลิงพูดด้วยท่าทางโอ้อวดนิด ๆ
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “หลังจากขึ้นครองราชย์ บางทีก็อาจจะต้องยุ่งไปอีกครู่ใหญ่ ๆ แต่ก็ยังดี ที่ตอนนี้ประเทศเริ่มมั่นคงมีเสถียรภาพมากขึ้นแล้ว ใต้เท้าเหลิ่งก็ยังหนุ่มแน่น ทั้งยังทรหดอดทน แค่ใช้งานเขาให้หนัก ๆ ก็พอ”
หยู่เหวินเห้าไม่อาจไม่ถอนหายใจ ตอนที่เขาเป็นรัชทายาทเขาเหนื่อยมาก แต่หลังจากที่ขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว เขาก็ไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้องเหนื่อยมากไปกว่าตอนที่เขาเป็นรัชทายาทอีก ก็เพราะหลายสิ่งหลายอย่าง ล้วนสามารถตัดสินได้ด้วยคำสั่งเพียงคำเดียวของเขา บรรดาคนใต้บัญชาก็จะวิ่งกันขาขวิดเพื่อไปทำตามคำสั่งให้เอง
หยวนชิงหลิงเห็นด้วยอย่างยิ่ง ตอนนี้ในประเทศไม่ว่าจะเป็นการผลิต การทำเกษตรกรรม และการค้าล้วนเป็นสิ่งสำคัญภายในประเทศทั้งสิ้น เมื่อไหร่ที่มีคำสั่งโครงการอะไรก็ตามลงไป ขอเพียงมีมาตรการกำกับดูแลการก่อสร้างครบครัน เงินทุนครบถ้วน ทุกอย่างล้วนทำได้หมด
จะหนึ่งปีหรือแค่สิบวันแปดวัน ก็ทำได้ทั้งนั้น
“ ข้าคิดว่า ถ้าปีหน้ามาได้ล่ะก็ น่าจะเรียกจิ้งถิงมาด้วยกันได้ แต่เขากับภรรยาไม่เคยอยู่แยกจากกันเลย .…” น้ำเสียงของหยู่เหยินเห้าฟังดูเศร้า ๆ เล็กน้อย
หยวนชิงหลิงหลุดหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นก็เชิญภรรยาของเขามาด้วยกันเลยสิ จินหนิงจวิ้นจู่นิสัยดีตั้งขนาดนั้น”
“ก็ได้อยู่นะ ถ้ามีภรรยาอยู่ใกล้ ๆ ก็จะได้มีคนคอยคุมได้มากขึ้นหน่อย”
หยวนชิงหลิงตีเขาดังเพี๊ยะ “นี่ จิ้งถิงเขาไม่ได้เป็นของเจ้าเสียหน่อย ทำไมกระทั่งจินหนิงจวิ้นจู่เจ้าก็ยังจะหึงได้อีกล่ะ? ต่อไปในอนาคตเจ้าจะต้องพัฒนาเศรษฐกิจ ต้องทำการค้าแลกเปลี่ยนกับแคว้นต้าโจวนะ อย่างไรก็ขาดความช่วยเหลือจากจินหนิงจวิ้นจู่ไปไม่ได้หรอก”
หยู่เหวินเห้าพูดอ้อมแอ้มว่า “ข้าไม่ได้หึง มีอะไรให้หึงกันล่ะ? แต่เจ้าก็พูดถูกแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นจินหนิงจวิ้นจู่อยู่เป็นเพื่อนเจ้า ข้ากับจิ้งถิงก็จะได้ไปเที่ยวกันตามประสาชายหนุ่มแล้ว”
หยวนชิงหลิงตีเขาไปอีกเพี๊ยะ “ทำไมถึงพูดเหมือนกับว่าข้าชอบยุ่งวุ่นวายกับเจ้านักล่ะ?”
หยู่เหวินเห้ายื่นแขนออกไปกอดเธอ ดวงตาฉายแววอ่อนโยน “แน่นอนว่าเจ้าไม่ยุ่งวุ่นวายเลยสักนิด แต่ทุกวันหลังจากนี้ไป ข้าคงต้องเจอหน้าเจ้าเท่านั้นไปตลอด คงไม่มีโอกาสได้เจอกับจิ้งถิงอีกนาน แต่พูดถึงจิ้งถิง ดูเหมือนว่าลูก ๆ ของบ้านเราจะมีสัญญาหมั้นหมายกับบ้านเขา ดังนั้นพอเรามีลูกสาวแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะต้องแต่งกับหู่โถวน่ะ?”
หยวนชิงหลิงถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?” เป็นห่วงแทนเลยว่า วันหลังเมื่อเด็ก ๆ โตกันหมดแล้ว จะยอมรับสัญญาหมั้นหมายตั้งแต่เด็กของเจ้ากันหรือไม่?
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วมุ่นพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “จริง ๆ แล้ว ข้ารู้สึกว่าหู่โถวไม่ค่อยจะ….ไม่ค่อยจะเหมาะกับลูกสาวของเราเท่าไหร่นะ”
“หืม? พูดอะไรของเจ้า?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ
หยู่เหวินเห้าวิเคราะห์อย่างจริงจังกับเธอว่า “อย่างแรกเลย อายุไม่เหมาะสมกัน หู่โถวแก่กว่าลูกสาวเราหลายปี และประการที่สอง อยู่กันคนละแคว้นสัญชาติแตกต่างกัน ย่อมมีความคุ้นเคยต่อสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน อีกทั้งขนบธรรมเนียมของทั้งสองแคว้นก็ไม่เหมือนกัน ถ้าต้องมาแต่งงานกันข้ารู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่”
หยวนชิงหลิงหัวเราะพลางพูดว่า “เช่นนั้นก็หมายความว่า เจ้าจะผิดคำพูดกับจิ้งถิงพี่ชายที่แสนดีของเจ้าอย่างนั้นรึ?”
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า ” นี่ไม่ถือว่าเป็นการผิดคำพูด ในเมื่อถ้าพูดกันตามจริง ที่เราคุยไว้ในตอนแรกสุดคือเป็นพวกเปาเปาสามคนกับหู่โถว แล้วเราก็ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าท้องที่สามจะต้องจับคู่กันแน่ ๆ ในทางกลับกัน ถ้าตอนนี้ให้เปาเปานับกันเป็นพี่เป็นน้องกับหู่โถวก็ย่อมเป็นไปได้ ซึ่งหมายความว่าหู่โถวก็จะเป็นพี่ชายของกวาจื่อ แน่นอนว่าคนเป็นพี่ชายย่อมไม่มีทางจะแต่งงานกับน้องสาวได้อยู่แล้วถูกหรือไม่? ถูกต้อง! เอาตามนี้นี่ล่ะ!”
มิตรภาพลูกผู้ชายช่างไม่ต่างจากดอกไม้พลาสติกจริง ๆ หยวนชิงหลิงยิ้มเยาะเขาไปหนึ่งที
หลังจากเพลิดเพลินกับแสงแดดไปครู่ใหญ่ ๆ หยวนชิงหลิงก็ถามว่า “หิวหรือไม่? พวกเราลงไปกินข้าวกัน ที่นี่มีอาหารอร่อย ๆ มากมาย จะอาหารจีนอาหารตะวันตกก็ล้วนมีทุกอย่าง เจ้าอยากกินอะไร?”
“ไม่อยากกินอาหารของตะวันตกหรอก ต้องใช้มีดหั่นไปหั่นมา ลำบากยิ่งนัก พวกเรากินอย่างอื่นกันเถอะ” หยู่เหวินเห้าก็รู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อยแล้วเช่นกัน กินข้าวบนเรือ นั่นควรต้องเป็นอิสระมากถึงขั้นใช้มือเปล่าได้ยิ่งดี
ทั้งสองยืนขึ้น พลันได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากที่ไหนสักแห่ง “คุณพระคุณเจ้า บนเรือลำนี้ถึงกับมีทะเลสาบเชียวหรือนี่ ข้าจะกระโดดลงไปเล่นเสียหน่อย”
“ นั่นไม่ใช่ทะเลสาบ มันคือสระว่ายน้ำ ไอ้คนบ้านนอก!”
“แล้วเจ้าไม่ใช่คนบ้านนอกรึ? เจ้ากับข้าไม่ได้มาจากประเทศเดียวกันหรือไร?”
หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงนอนแนบตัวอยู่บนเชิงราวบันไดด้วยอาการตัวสั่น พลางมองลงไปข้างล่าง เห็นแค่เซียวเหยากงที่มีห่วงว่ายน้ำคล้องอยู่รอบเอว วิ่งไปทางสระว่ายน้ำอย่างมีความสุข โสวฝู่กับแม่นมสี่ รวมถึงไท่ซ่างหวงกับคุณย่าหยวนก็เดินตรงไปทางเดียวกัน โดยมีหยวนชิงโจวที่หน้าตาขมขื่นเต็มทีเดินตามมาข้างหลัง แหงนหน้ามองท้องฟ้าในสภาพพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ทั้งสองคนพลันก้มหน้าลง แล้วนั่งยอง ๆ ไปกับพื้น หันมามองหน้าประสานสายตากัน เวรแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นล่ะนี่? ไหนบอกว่าเป็นเรือสำราญคนละลำไม่ใช่เหรอ?
หยวนชิงหลิงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วโทรหาพี่ชายทันที
“มันเกิดอะไรขึ้นคะ? ทำไมทุกคนถึงมาอยู่บนเรือสำราญเกรสต์ครูซล่ะ? พวกพี่ไม่ได้อยู่บนเรือควีนครูซกันเหรอคะ?”
เสียงจนใจทำอะไรไม่ถูกของหยวนชิงโจวดังมาจากอีกฟากหนึ่งของปลายสาย “คือว่าผู้อาวุโสฮุยจงจัดทริปให้เป็นเรือสำราญเกรสต์ครูซ เพราะเรือควีนครูซต้องรออีกหลายวันถึงจะออกเดินทาง ดังนั้น ตั๋วที่ซื้อให้พวกเขาในตอนแรกก็เป็นเรือเกรสต์ครูซนั่นแหล่ะ คือแค่จะหลอกพวกเขา ไม่ให้พวกเขารู้ว่ามันเป็นเรือลำเดียวกันกับพวกน้อง จะได้เลี่ยงไม่ให้พวกเขามารังควานพวกน้อง ถึงได้บอกไปว่าไม่ใช่ลำเดียวกัน พี่เองก็เพิ่งรู้ก่อนที่จะออกเดินทางเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่รู้ว่าพวกเราอยู่บนเรือสินะ?” หยู่เหวินเห้าหันไปถามทางโทรศัพท์
“ ยังไม่รู้หรอก พวกเขาคิดว่าพวกน้องอยู่บนเรือลำอื่นน่ะ” หยวนชิงโจวตอบ
ทั้งสองถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่เรือสำราญลำนี้ใหญ่พอ ขอเพียงพวกเขาส่งซิกกับหยวนชิงโจวได้ไหลลื่นพอ ก็ไม่มีทางได้เจอกันเข้าแน่ๆ