บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1450 พวกเขากลับมาแล้ว
พระชายาชินเฟิงอันสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดังทั้งตัว บนคอแขวนสร้อยคอทองคำขนาดใหญ่ กลับมาจากเป่ยถัง เพิ่งได้ใช้เวลาไปกินดื่มเที่ยวเล่นเต็มที่ได้แค่สองสามวัน กำลังเพลิดเพลินกับสายลมแสงแดดของช่วงฤดูใบไม้ผลิอันสงบสุข กลับต้องตกใจเมื่อได้ยินข่าวร้าย อึดใจนั้นดวงตาพลันแห้งแล้งดั่งอากาศในฤดูใบไม้ร่วง
ในหัวใจหนาวเยือก ขณะตอบกลับคำพูดของอ๋องชินเฟิงอันว่า “ถ้าอย่างนั้น เจ้าไม่ลองกลับไปคุยกับหลานชายคนโตของเจ้าดูสักหน่อยล่ะ ว่าพอจะให้เราเช่าอยู่ก่อนได้หรือไม่? ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องไปพึ่งเหลิ่งซี่แล้วล่ะ ”
อ๋องชินเฟิงอันนึกถึงเงินหนึ่งล้านตำลึงนั้นขึ้นมาได้ทันที พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ไม่เป็นไร ครั้งนี้เมื่อเรากลับไปก็ไม่ถึงขั้นยากจนหรอก ไม่ใช่ว่าเรายังมีเงินหนึ่งล้านตำลึงนั่นอยู่หรอกหรือ?”
พระชายาพูดอย่างไม่ได้มองโลกในแง่ดีนักว่า “ลืมไปได้เลย เงินหนึ่งล้านตำลึงนั่น พอกลับไปแล้ว หนึ่งล้านตำลึงนั่นมันจะยังอยู่อีกรึ? มันเป็นไปไม่ได้หรอก”
ทางนี้โศกเศร้ารันทด แต่ทางนั้นทุกคนทำตามคำแนะนำของหยางหรูไห่ มาถึงเขาซีเฉียว เพื่อจะกลับไปโดยใช้ทะเลสาบบนภูเขา
หลังจากที่หยวนชิงโจวไปส่งถึงบนภูเขาแล้วก็กลับลงมา เพราะถึงยังไง ก็แยกจากกันแค่ชั่วคราว ไม่นานพวกเขาก็จะได้พบกันแล้ว
กระเป๋าสัมภาระมากมาย กระเป๋าใบใหญ่ใบเล็ก รวมถึงลิงอีกหนึ่งตัว ทั้งกลุ่มยกโขยงข้ามผ่านอุโมงค์เวลากลับมาที่ทะเลสาบจิ้ง มองเห็นท้องฟ้าของเป่ยถัง ทิวทัศน์ของเป่ยถัง แล้วสูดอากาศของเป่ยถังจนเต็มปอด ทุกคนรู้สึกเหมือนได้กลับจากสวรรค์ มาสู่แดนมนุษย์ปถุชนอย่างไรอย่างนั้น เกิดความรู้สึกผ่อนคลายที่เท้าได้เหยียบลงบนพื้นดิน
ยุคปัจจุบันนั้นดีมาก แต่ที่นี่ต่างหากถึงจะเป็นบ้าน
ทุกคนพักผ่อนกันครู่หนึ่ง ตัดสินใจว่าจะนำสิ่งของไปที่วัดเต๋าก่อนแล้วกินข้าวกันสักมื้อ แต่กลับเห็นคนสองคนปีนขึ้นมาจากทะเลสาบ
“พี่เหว่ย พี่สะใภ้?” ไท่ซ่างหวงตกใจจนผงะ “ทำไมพวกท่านถึงกลับมากันแล้วล่ะ?”
อ๋องชินเฟิงอันมองเขาด้วยแววตาเปี่ยมความรักและเมตตา “น้องหก พี่ชายคนนี้ยากจะตัดใจแยกจากพวกเจ้า ถึงได้กลับมาใช้เวลาอยู่กับพวกเจ้าให้มากขึ้นอีกหน่อย”
“โอ้ วิเศษไปเลย !” ไท่ซ่างหวงรู้สึกประทับใจเล็กน้อย ในช่วงสองปีมานี้ พี่เหว่ยยิ่งนับวันก็ยิ่งเป็นเหมือนพี่ชายมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสิ
เซียวเหยากงเพิ่งจะเลือกหยิบของของตัวเองขึ้นมา ก็รีบวางมันลงกับพื้นแล้ววิ่งตึง ๆ ๆ เข้าไปหาพระชายา พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านอาจารย์ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านไม่อาจตัดใจทิ้งข้าไว้ได้”
พระชายาฝืนยิ้มอย่างไม่เต็มใจ “อื้ม ใช่แล้ว”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร ก็เห็นกลุ่มชายชราในชุดดำกลุ่มหนึ่งเหินลงมาจากวัดเต๋า ผู้นำกลุ่มเป็นเฮยหยิ่ง แม่ทัพผู้ชื่นใต้บังคับบัญชาของอ๋องชินเฟิงอัน เมื่อเขามาถึงก็พูดเสียงดังว่า “บุญคุณความแค้นส่วนตัว ใครไม่เกี่ยวข้องโปรดถอยไป!”
ทุกคนต่างหันมามองหน้ากัน หยู่เหวินเห้าตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว คว้าตัวเด็ก ๆ ไว้แล้วพูดว่า “พวกเราไปกันเถอะ เด็ก ๆ ไม่ควรดู!”
ฉากต่อสู้นองเลือด ไม่ควรให้เด็กดู
เสด็จปู่ใหญ่ทำเรื่องให้คนขุ่นเคืองใจตั้งมากมายขนาดนั้น เมื่อมีคนตามมาแก้แค้น พวกเขาย่อมไม่ผสมโรงเรื่องวุ่นวายเรื่องนี้แน่นอน
เซียวเหยากงรู้ว่าคนพวกนี้เป็นใคร แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เข้าไปทำลายความสามัคคีกลมเกลียวระหว่างอาจารย์กับคู่ปรับ อีกทั้งข้าวของพวกนี้ก็ค่อนข้างล้ำค่า อุตส่าห์ลำบากขนกลับมาจากแดนไกล เกิดถ้าสู้กันจนโดนลูกหลงแตกหักเสียหายขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ? ดังนั้น จึงรีบหยิบขึ้นมาแล้วจากไปทันที
ตอนที่ทั้งกลุ่มออกไป ถึงพบว่ากลุ่มคนชุดดำได้ล้อมรอบทะเลสาบจิ้งเอาไว้จนเกือบหมดแล้ว หยู่เหวินเห้าตกใจไปเฮือกหนึ่ง เดิมทีเขาคิดว่ามีแค่พวกที่กระโดดลงไปแค่นั้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีมากมายขนาดนี้ ต้องชุบเลี้ยงคนตั้งเยอะขนาดนี้ จะจนก็ไม่น่าแปลกใจหรอก
ขณะออกจากทะเลสาบจิ้ง มีเสียงใครบางคนคำรามขึ้นมาว่า “ตกลงกันแล้วว่าทำสัญญาทำงานตลอดชีวิตแบบตายฝังยังเลี้ยงแท้ ๆ ทำไมตอนนี้ถึงโยนเศษเงินให้แค่นิดหน่อยแล้วก็หนีไป นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ”
หยู่เหวินเห้าถามไท่ซ่างหวงด้วยความสงสัยว่า “สัญญาจ้างแบบตายฝังยังเลี้ยงคืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ไท่ซ่างหวงหัวเราะแล้วตอบว่า “ในตอนนั้นคนที่ติดตามรับใช้เขา ต่างได้ทำสัญญาไว้ว่า เงินสองตำลึงต่อหนึ่งเดือน ครอบคลุมถึงการเลี้ยงดูในระหว่างที่ยังมีชีวิต และหากตายจะทำพิธีฝังศพให้ ดังนั้น เวลาต่อมาพวกเขาจึงเรียกตัวเองว่าคนงานรับจ้างแบบตายฝังยังเลี้ยง ”
หยู่เหวินเห้าขบเขึ้ยวเคี้ยวฟัน ครุ่นคิดอย่างระมัดระวัง “สัญญาแบบตายฝังยังเลี้ยงนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ระบบราชการของราชวงศ์เป่ยถังสามารถยืมมาใช้ได้ หากเป็นเจ้าหน้าที่ที่ไม่ได้กระทำผิด ราชสำนักก็สามารถยึดตามยศของพวกเขา ทำตามระบบตายฝังยังเลี้ยงได้!”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ หยวนชิงหลิงก็แอบขำกับตัวเองทันที ช่างทุ่มเททำงานหนักมากจริง ๆ ทันทีที่กลับจากเที่ยวพักผ่อน เขาก็เริ่มคิดถึงเรื่องของประเทศแล้ว
เขายิ่งนับวันก็ยิ่งทำตัวสมฐานะมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
เจ้าห้าอุ้มลูกสาวไว้ในอ้อมแขน ส่วนหยวนชิงหลิงมีลิงอยู่บนไหล่ ทั้งสองเดินเคียงข้างกัน ทิ้งกลุ่มคนที่เอะอะมะเทิ่งไว้ข้างหลัง ทุกคนคุยกันเจี๊ยวจ๊าว เพิ่งจะเริ่มแยกย้ายกันพวกเขาก็เริ่มคิดถึงอาหารเลิศรส รถยนต์ ทีวี และแม้กระทั่งชักโครกในห้องน้ำแล้ว
ส่วนสถานการณ์ทางด้านทะเลสาบจิ้งนั้น ไม่มีใครอยากรู้ เพราะถึงอย่างไร คนมากเรื่องก็มากตาม จะอ้างว่าเป็นญาติก็ไม่ดี จะอ้างความกตัญญูก็ไม่สมเหตุสมผล
หลังจากพักผ่อนกันครู่สั้น ๆ ในวัดเต๋าแล้ว พวกเขาก็เตรียมออกเดินทาง สวีอีเห็นว่าเซียวเหยากงแบกของหนักดูแล้วลำบากมาก แล้วเขาก็มีแค่กระเป๋าเดินทางใบเดียวที่ใส่ของขวัญจากคุณแม่หยวน เป็นอะไรที่สบายเกินไป จึงบอกว่าจะช่วยเขาแบกของเอง
เซียวเหยากงมีท่าทางไม่พอใจ “เจ้ามือหยาบเท้าหยาบ อย่ามาแบกข้าวของของข้าให้เสียหาย ลงเขาไปก็มีรถม้าวิ่งแล้ว ไม่ต้องการความช่วยเหลือของเจ้า”
เมื่อน้ำใจที่หยิบยื่นให้กลายเป็นหมัน สวีอีก็แค่ยักไหล่ ยังคงมีท่าทางผ่อนคลายสบายดี
ข่าวการกลับมาของพวกเขารายงานไปยังสำนักเหลิ่งหลังเป็นอันดับหนึ่ง พวกเขาเดินทางไปเมืองหลวงด้วยความรวดเร็วราวเหาะได้
แวดวงราชนิกูลในเมืองหลวงเอะอะอึกทึกเหมือนกับระเบิดลง โดยเฉพาะอะซี่ที่ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ เดิมก่อนหน้านี้คิดว่ามันเป็นแค่การส่งพวกเขาไปที่นั่น แต่คิดไม่ถึงว่าพอทังหยางกลับมาบอกว่าสวีอีก็ตามไปที่นั่นด้วย ทำให้นางหดหู่ไปพักใหญ่ สวีอีทำอะไรไม่ค่อยจะน่าเชื่อถือเสียด้วย
ท่านชายสี่ยังไปบอกกับหงเย่ด้วยตัวเองถึงข่าวการกลับมาของพวกเขา ทั้งยังบอกว่ามีข่าวดีข่าวหนึ่งมามอบให้เขาด้วย
หงเย่ก็มีความสุขเช่นกัน เขาคิดไปได้อย่างไรนะว่ารัชทายาทพาตัวลูกสาวบุญธรรมของเขาไป? ดังนั้นเมื่อได้ยินท่านชายสี่เหลิ่งบอกว่าพวกเขากลับมาแล้ว ทั้งยังมีข่าวดีด้วย เขาจึงพูดว่า “แน่นอนว่าต้องมีข่าวดีแน่ ลูกสาวบุญธรรมของข้ากำลังจะกลับมาแล้ว”
ท่านชายสี่รู้สึกว่าเรื่องน่ายินดีเช่นนี้ ให้เขาได้เห็นด้วยตาตัวเองคงจะเป็นการดีกว่า ถ้าเปิดเผยให้รู้ล่วงหน้าหมดคงจะน่าเบื่อแย่ ดังนั้นจึงไม่พูดอะไรมาก ทำแค่ยิ้มจนตาหยีแล้วมองหงเย่นิ่ง ๆ
อันที่จริงคนที่มีความสุขที่สุดไม่ใช่อะซี่ แต่น่าจะเป็นฮุ่ยเทียน เมื่อเขาได้ยินข่าวนี้ ฮุ่ยเทียนก็รีบวิ่งไปหาฮูหยินเหยา แล้วพูดอย่างตื่นเต้นยินดีว่า “พระชายารัชทายาทจะกลับมาแล้ว”
ฮูหยินเหยาได้รู้ข่าวจากทางหรงเยว่ก่อนแล้ว นางจึงไม่แปลกใจ พูดว่า “อื้ม ข้ารู้แล้วล่ะ!”
“เจ้ารู้แล้วรึ? รู้แล้วก็ดี!” ฮุ่ยเทียนผู้เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ไม่ได้รับการตอบสนองที่กระตือรือร้นกลับมา จึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ความผิดหวังนั้นก็อยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น เขาหันไปมองฮูหยินเหยา แล้วพูดแบบมีนัยยะว่า “แค่กลับมาก็ดีแล้ว พอกลับมาก็จะมีเรื่องมงคลแล้วล่ะ”
ฮูหยินเหยามองดูใบหน้าหยาบกระด้าง ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นของเขา นึกถึงเรื่องงานแต่งที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ ใบหน้าก็แดงก่ำขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ “เจ้าจะรีบร้อนไปทำไมกัน?”
พูดจบก็ทำท่าจะเดินเข้าไปข้างใน
ฮุ่ยเทียนยืนขวางนางที่หน้าประตู แล้วจ้องนางด้วยดวงตาที่เป็นประกายวาววับ “เจ้าถามข้าว่า ข้าจะรีบร้อนไปทำไมอย่างนั้นรึ? หากข้ายังไม่รีบอีกล่ะก็ เมื่งเยว่ก็คงจะแต่งออกไปก่อนแล้วล่ะ”
ฮูหยินเหยาถึงกับหลุดหัวเราะคิก “เหลวไหลน่า ยังเร็วเกินไป”
ฮุ่ยเทียนจ้องมองนาง “ดีจริง ๆ ข้าแทบจะเชื่อไม่ลงเลยว่า ความปรารถนาจะเป็นจริงได้ ในชีวิตนี้ข้าไม่เคยโชคดีขนาดนี้มาก่อนเลย”
ใบหน้าของฮูหยินเหยาแดงเรื่อ หลุบสายตาลงไม่เอ่ยคำใด
ฮุ่ยเทียนถามว่า “ที่แล้วมาข้าไม่เคยถามเจ้าเลย ว่าเจ้ายินดีแต่งกับข้าหรือไม่? ข้ามาถามเอาตอนนี้ มันจะสายเกินไปหรือไม่?”
การแต่งงานครั้งนี้ เป็นข้อตกลงระหว่างเขากับฮ่องเต้ แต่ก่อนจะทำข้อตกลงกัน เขาไม่เคยได้ถามฮูหยินเหยาเลยว่านางยินดีหรือไม่
ฮูหยินเหยาเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หากข้าไม่ยินดี ไม่ว่าใครก็ไม่อาจบังคับข้าได้”
ฮุ่ยเทียนยิ้มกว้าง ยื่นมือออกไปรวบนางเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน ฮูหยินเหยาดิ้นรนขัดขืนสองครั้ง ในใจคิดว่าวันแต่งงานก็ใกล้เข้ามาแล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องมานั่งทำหน้าซื่อใจคดอีก จึงโอบกอดเขากลับอย่างเงียบๆ
สองเดือนมานี้ หัวใจที่เต้นกระหน่ำจนขึ้นมาแขวนห้อยอยู่ที่ลำคอ ในที่สุดก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลงไปได้เสียที เขากลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว!