บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1451 ท่านพ่อช่างขี้ประจบสอพลอเสียจริง
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1451 ท่านพ่อช่างขี้ประจบสอพลอเสียจริง
ทุกคนที่ไปทัวร์ในยุคปัจจุบันได้กลับมายังเมืองหลวง เมื่อกลับไปถึงจวนอ๋องฉู่ ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากทุกคน
หรงเยว่จัดกลุ่มคนให้มารอที่จวนอ๋องฉู่ ประจวบกับอ๋องชุนสามีภรรยาก็มาถึงเมืองหลวงพอดี จึงมาพร้อมกันด้วยเลย
หยวนชิงหลิงเพิ่งจะเข้าประตูมาได้ ก็ถูกหรงเยว่คว้าหมับด้วยมือข้างหนึ่ง หรงเยว่เป็นคนที่จัดได้ว่ามีกำลังวังชาไม่ต่างจากผู้ชายตัวล่ำ ๆ เลย การคว้าตัวครั้งนี้ ต่อให้หยวนชิงหลิงอยากดิ้นหนี ก็ดิ้นไม่ได้ ทุกคนแห่เข้ามาถามกันเซ็งแซ่จนแทบฟังไม่ได้ศัพท์
สวีอีพยายามดิ้นรนออกจากฝูงชนอย่างยากลำบาก เมื่อได้เห็นอะซี่ที่อุ้มถังกั่วเอ๋ออยู่ ขอบตาก็พลันร้อนผ่าว วิ่งเข้าไปกอดอะซี่กับลูกแล้วปล่อยโฮออกมาดังลั่น ” อะซี่ ข้านึกว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ได้พบพวกเจ้าอีกแล้ว ”
เดิมทีอะซี่ก็รู้สึกตื่นเต้นมากเช่นกัน แต่พอได้ยินประโยคนี้ ก็ตีเข่าใส่เขาทันที แล้วพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า? ก็แค่ไปรับพระชายารัชทายาทเองไม่ใช่รึ? ทำไมจะไม่ได้เจอกันอีกตลอดชีวิต? พูดจาไร้สาระ!”
“จริง ๆ เลย……”
“อ๋า! ฟันของเจ้า!” อะซี่มองปากของเขาด้วยความประหลาดใจ “ฟันของเจ้าดีเหมือนเดิมแล้วรึ? งอกใหม่แล้วสินะ?”
สวีอียิ้มยิงฟัน “ไม่ใช่งอกออกมาใหม่หรอก เป็นฟันที่พระชายารัชทายาทพาข้าไปทำมาใหม่ ดูดีใช่หรือไม่?”
เขาอุ้มถังกั่วเอ๋อไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง อาศัยจังหวะที่ทุกคนไม่ทันสนใจ แอบขโมยจูบที่แก้มของอะซี่ไปครั้งหนึ่ง สีหน้าสว่างสดใสขึ้นมาในพริบตา ราวกับเด็กที่แอบขโมยกินลูกอมได้สำเร็จ
อะซี่หน้าแดงจิกตามอง ยกมือขึ้นตีเขาแบบโกรธ ๆ ไปเพี๊ยะหนึ่ง “ทะลึ่ง!”
แต่นิสัยใจคอเปลี่ยนไปแล้วหรือนี่? เมื่อก่อนหากมีคนอื่นอยู่ด้วย แค่จับมือก็ยังดูไม่เป็นธรรมชาติเลย แต่ตอนนี้ถึงขั้นกล้าจูบนางในที่สาธารณะแล้ว? ขวัญกล้าเสียจริง
หลังจากเอะอะมะเทิ่งกันอยู่ครู่หนึ่ง เหล่าพี่สะใภ้น้องสะใภ้ก็ปิดประตูคุยกันตามประสาผู้หญิง
พระชายาอ๋องซุนชิงพูดก่อนว่า “แค่เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว ฮุ่ยเทียนคงวางใจได้เสียที ฮูหยินเหยายืนกรานว่าอย่างไรก็ต้องรอให้เจ้ากลับมาก่อน นางถึงจะยอมแต่ง ฮุ่ยเทียนร้อนใจแทบแย่แล้ว ได้ยินเจ้าสองที่บ้านข้าบอกว่า เขาเอาแต่มาหารัชทายาทไม่หยุดเลย มาถามรัชทายาทเกี่ยวกับวันที่เจ้าจะกลับมา นี่ไม่ใช่ว่าสมความปรารถนาแล้วรึ? คนที่รอคอยการกลับมาของเจ้าที่สุด ก็คงไม่พ้นฮุ่ยเทียนนี่ล่ะ!”
นางพูดจบ ยังแสดงท่าทางว่าเหลือจะเชื่อซึ่งดูเกินจริงไปมากออกมา ด้วยการยกมือทั้งสองข้างขึ้นป้องแก้ม
เมื่อหยวนชิงหลิงได้ยินเรื่องแปลกพิลึกพิลั่นที่พระชายาซุนเล่าให้ฟัง ก็หัวเราะจนน้ำตาไหลพรากออกมาเลยทีเดียว
เริ่มแรกหยวนชิงหลิงคิดว่าแค่เพราะหัวเราะเลยทำให้น้ำตาไหล แต่ปรากฏว่าน้ำตานี้ทำอย่างไรก็หยุดไม่อยู่ เมื่อมองดูทุก ๆ ใบหน้าที่แสนคุ้นเคย ทุก ๆ รอยยิ้มที่แสนคุ้นเคย และทุก ๆ น้ำเสียงที่แสนคุ้นเคย นางถึงได้รู้ตัวเอง ทั้งยิ่งรู้สึกซาบซึ้ง ตื้นตันใจ ก่อนที่จะไปก็เคยคิดไว้เหมือนกันว่าหลังจากนี้คงจะกลับมาไม่ได้อีกแล้ว ก็รู้สึกยากจะตัดใจอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้ก็ได้กลับมานั่งพูดคุยกับทุกคนที่นี่อีก ความตื่นเต้นยินดีที่มันปะทุอยู่ในหัวใจตอนนี้ มันไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เลยจริง ๆ
หมันเอ๋อก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน เพราะท่ามกลางคนมากมายเหล่านี้ นางคือคนที่ไม่ได้เจอพระชายารัชทายาทนานที่สุดในนี้แล้ว จึงรีบถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แล้วบอกเล่าเรื่องราวที่หนานเจียงให้ทุกคนได้ฟัง
ทุกคนพูดคุยสรวลเสเฮฮา จู่ ๆ พระชายาฉี หยวนหย่งอี้ก็พูดขึ้นว่า “จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าเสด็จพ่อมีราชโองการให้อ๋องอานสามีภรรยากลับมาเมืองหลวง ไม่รู้ว่าจะมีงานใหญ่อันใดหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่แค่ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชนเท่านั้น ทั้งจะพูดไปก็ไม่ดี จึงทำได้แค่แกล้งสงสัยเหมือนกับคนอื่น ๆ “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ทุกคนต่างคิดว่า พระชายาอานได้กลับมาเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ส่วนที่ว่าอ๋องอานจะกลับมาด้วยหรือไม่นั้น ทุกคนกลับไม่ค่อยจะสนใจนัก
สุดท้ายพระชายาซุนก็เป็นคนพูดเสริมขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ อันที่จริงตอนนี้เจ้าสี่ก็เปลี่ยนไปมากแล้ว เรื่องอะไรที่มันเคยเกิดขึ้นในอดีต เราก็ลืม ๆ มันไปเถอะนะ”
แต่ถึงอย่างไร หยวนชิงหลิงก็ยังหลงเหลือความขุ่นเคืองใจต่ออ๋องอานอยู่ ความขุ่นเคืองใจนี้ไม่อาจนับว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้น แค่เพราะเห็นแก่พระชายาอานได้ แต่ก็เป็นความจริงที่เวลาต่อมา อ๋องอานได้ทุ่มเทใจกายเพื่อราชวงศ์เป่ยถัง ในสงครามครั้งนั้น เขายังเสียแขนไปข้างหนึ่งด้วย ดังนั้น ฉากหน้านางยังพอจะทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องหมองใจอะไรต่อกัน แต่ในใจกลับไม่มีวันนับถือว่าเขาเป็นพี่น้องกับเจ้าห้าได้โดยเด็ดขาด
แต่เรื่องที่เสด็จพ่อมีราชโองการให้เขากลับมาเมืองหลวง กลับทำให้นางรู้สึกเหนือคาดไม่น้อย
ไม่ใช่เพราะนางกังวลว่าอ๋องอานจะทำตัวเป็นก้างมาขัดขวางเจ้าห้าอันที่จริงเวลานี้ อ๋องอานไม่มีความสามารถจะทำอะไรได้อีกแล้ว การที่ทรงมีรับสั่งให้เขากลับมาดูเจ้าห้าขึ้นครองราชย์ คงจะเป็นเหมือนการต่อยเรียกสติเขาแบบเจ็บ ๆ สักหมัดหนึ่งมากกว่า บัลลังก์ฮ่องเต้ที่ตัวเองใฝ่ฝันอยากได้มาครอบครองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน สุดท้ายกลับไม่ได้มา ทั้งยังต้องยืนดูคนอื่นก้าวขึ้นไปนั่งด้วยตาตัวเองอีก วิธีนี้นอกจากจะฆ่าตัวให้ตายแล้ว ยังทำลายหัวใจให้ป่นปี้อีกด้วย!
แต่คิดว่า เสด็จพ่อก็คงจะมีแผนของพระองค์เองอยู่
หลังคุยกันไปได้ซักพัก หยวนชิงหลิงก็แจกของขวัญให้ทุกคน ของขวัญเหล่านี้สวยงามมาก เป็นของพวกเครื่องสำอาง ลิปสติก รองพื้น และเครื่องประดับศีรษะและจี้อันวิจิตรประณีต ทำแบบงานฝีมือในยุคปัจจุบัน เมื่ออยู่ในยุคปัจจุบัน ย่อมไม่ใช่ของที่มีราคาค่างวดอะไรแน่นอน
แต่เมื่ออยู่ที่นี่ มันจะกลายเป็นของหายากทันที โดยเฉพาะลิปสติกกับรองพื้น หลังจากที่ทุกคนได้ลองแล้ว ต่างก็หลงรักมันโดยถ้วนหน้า
หยวนชิงหลิงมองทุกคนด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข รู้สึกว่าในอนาคต เส้นทางการเป็นตัวแทนรับหิ้วของ จะต้องมีลูกค้าแห่แหนมาสั่งซื้อกันอย่างล้นหลามแน่ ๆ
หลังจากรวมตัวกันประมาณหนึ่งชั่วยาม หยู่เหวินเห้าก็ส่งคนมาแจ้งนางว่า ได้เวลาเข้าวังแล้ว
หยวนชิงหลิงเพิ่งฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า หลังจากออกไปข้างนอกนาน ๆ แล้วกลับมา ก็ควรเข้าวังไปเพื่อน้อมทักทายได้แล้ว
ทุกคนก็ไม่ยอมกลับ บอกว่าจะรอนางกลับจากวังมากินข้าวด้วยกัน หยวนชิงหลิงใช้น้ำเสียงปลื้มอกปลื้มใจที่ได้รับความรักพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ข้ากลายเป็นที่นิยมมากขนาดนี้แล้วรึ?”
“ ไร้สาระ ตอนเจ้าไม่อยู่ ต่อให้ทุกคนอยากมารวมตัวกัน ก็ไม่มีที่ให้รวมตัวต่างหาก” หรงเยว่พูดด้วยรอยยิ้ม
คำพูดนี้ของหรงเยว่ ทำให้ทุกคนอดถอนหายใจไม่ได้ คนก็ยังเป็นคนเดิม ๆ แต่ทำไมพอพระชายารัชทายาทไม่อยู่ ทุกคนถึงรวมตัวกันไม่ได้นะ? นี่เห็นได้ว่ากระดูกสันหลังที่ยึดเกี่ยวทุกคนเข้าไว้ด้วยกัน อย่างไรก็เป็นพระชายารัชทายาท
หยวนชิงหลิงเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ค่อยให้แม่นมสี่ช่วยหวีวิกผมให้เป็นมวยแบบง่าย ๆ อีกหลายเดือนจากนี้ วิกผมเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจโยนทิ้งได้เลยจริง ๆ
เจ้าห้าก็เหมือนกัน หลังจากที่เขาไปถึงที่นั่นก็ตัดผมจนสั้นลงไปพอสมควร ตอนนี้ไม่สามารถสวมมงกุฏได้ ยังต้องใช้วิกผมไปพลาง ๆ ก่อน แต่นายท่านทั้งสามกลับไม่สนใจสายตาใครที่ไหนทั้งสิ้น สนแค่ใส่ผมแบบสั้น ๆ แต่สวมหมวกแบบทรงทันสมัย
สองคนสามีภรรยาพาเด็ก ๆ ขึ้นไปบนรถม้า ในตอนที่รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไปช้า ๆ จู่ ๆ หยู่เหวินเห้าก็ถอนหายใจเฮือก “ช้าเหลือเกิน รถม้าวิ่งได้ช้าเหลือเกิน ข้าไม่ชินกับมันเสียแล้ว!”
ในยุคปัจจุบัน ออกบ้านเมื่อไหร่ก็ขับรถไปตลอด ตอนที่รถไม่ติด ขับได้เร็วปรื๋อราวเหาะได้ แค่ไม่กี่นาทีก็ถึง ตอนนี้ ถ้ารถม้าวิ่งเร็วก็จะสั่นไหวแกว่งไกวไปตลอดทาง แต่ถ้าวิ่งช้า ก็รู้สึกว่าเสียเวลาเกินไปอีก
ผลตกค้างของการกลับมาจากท่องเที่ยวในยุคใหม่ ครั้งแรกยังไม่มี เพราะเวลาน้อยเกินไป แต่ครั้งนี้ได้ไปอยู่ครึ่งเดือนกว่า เริ่มจะคุ้นชินกับทางนั้นแล้ว พอจู่ ๆ ได้กลับมาเลยรู้สึกว่ามันน่าอึดอัดไปหมด
“ท่านพ่อ ไปครั้งหน้าข้าจะเอาจักรยานมาให้!” ซาลาเปาพูดอย่างใส่ใจ
“ขี่ไม่เป็น!” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างเศร้าโศก เจ้าของเล่นนั่น เขาเคยขี่ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน เขาขี่ไม่เป็น
ซาลาเปาพูดว่า “ขี่จักรยานไม่เป็น แต่สามล้อพ่อต้องปั่นได้แน่นอน รถสามล้อไม่มีทางล้มหรอก แค่ปั่นไปเรื่อย ๆ ก็พอ”
“….” หยู่เหวินเห้ามองลูกชายคนโต “โดยพื้นฐานแล้วคนที่จะปั่นสามล้อ คือพวกอากงอาม่าทั้งนั้น ข้าไม่ปั่นเด็ดขาด!”
“นั่นไม่ใช่เรื่องของเวลาหรือ?” ซาลาเปาย้อน
หยู่เหวินเห้ากุมมือของหยวนชิงหลิง “ได้แก่เฒ่าไปด้วยกันกับแม่ของพวกเจ้า ก็ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งเช่นกัน ถูกหรือไม่แม่ไอ้หนู?”
หลังกลับมาจากการเดินทางไปสมัยใหม่ คำบอกรักแบบทันสมัยก็มีมาให้ได้ยินทุกครั้งที่เขาอ้าปากพูดไม่เคยขาด
หยวนชิงหลิงหัวเราะร่า “อื้ม ใช่แล้ว มีความสุขมาก!”
“ ท่านแม่ของข้าไม่มีวันแก่หรอก ท่านแก่ไปคนเดียวเถอะ!” ซาลาเปาพึมพำ
หยู่เหวินเห้าได้ยินไม่ชัด “อะไรนะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าบอกว่าในใจข้าท่านแม่ไม่มีวันแก่ไปตลอดกาล ” ซาลาเปารีบเสริมเข้าไปอีกประโยคอย่างร้อนตัว
หยู่เหวินเห้าหันไปมองหยวนชิงหลิง แล้วพูดแบบปากหวานเอาใจว่า “ใช่ ในใจของข้า ภรรยาก็ไม่มีวันแก่ไปตลอดกาลเช่นกัน”
เด็ก ๆ พากันหันไปมองหยู่เหวินเห้าเป็นตาเดียว พูดพร้อมกันในใจว่า ท่านพ่อช่างขี้ประจบสอพลอเสียจริง!