บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1453 หงเย่กับเจ้าลิง
เมื่อเดินผ่านถนนชิงหลวน มีคนคนหนึ่งขี่ลาผ่านหน้ารถม้าของพวกเขาไป พอดีกับที่หยู่เหวินเห้าก็ยกม่านรถม้าขึ้นมองออกไปข้างนอก เขาไม่ได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแห่งนี้มานานพอสมควรเลยทีเดียว
เมื่อสายตากวาดมองไปเห็นคนที่กำลังขี่ลาผ่านไป เขาก็ถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ถ้าเขาไม่ได้ตาฝาดล่ะก็ นั่นคืออ๋องชินเฟิงอัน? เอิ่ม รถสปอร์ตที่เขาขับในยุคปัจจุบันนั้นทั้งหรูหราสง่างามตั้งเท่าไหร่ ทำไมถึงกลับมาขี่ลาได้ล่ะนี่?
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่พูดไม่ได้เลยว่า เจ้าลาตัวนี้ก็ดูไม่เหมาะกับเขาเลยจริง ๆ คนที่รูปร่างสูงใหญ่อย่างเขา พอมาอยู่บนหลังลา มันจะให้ความรู้สึกหนึ่งประมาณว่า เขาเป็นคนใจร้ายที่รังแกลาตัวเล็ก ๆ อยู่ตลอดเวลา
“เป็นเสด็จปู่ใหญ่หรือ?” หยวนชิงหลิงถามออกไปประโยคหนึ่ง พลางเหลือบตามอง ดูเหมือนว่าจะใช่จริง ๆ
“อื้ม น่าจะกำลังเข้าวัง” หยู่เหวินเห้าตอบ เส้นทางนี้เป็นทางเข้าวัง ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับสวนที่หมู่ตึกมา ไม่รู้ว่าจะไปหารือกับเสด็จพ่อหรือไม่?
กลับมาถึงจวน ทุกคนก็มารวมตัวกันจนแน่นขนัดแล้ว เหลือแค่เหลิ่งจิ้งเหยียนกับหงเย่ที่ยังมาไม่ถึง เหลิ่งจิ้งเหยียนไปจัดการธุระที่นอกเมือง ส่วนหงเย่กำลังช่วยกรมอาญาจัดการคดีหนึ่ง นี่เป็นงานที่เหลิ่งจิ้งเหยียนเชิญให้เขามาช่วยทำ คดีนี้เป็นคดีที่แปลกมาก กรมอาญารับทำโดยตรง หลังจากทำไปได้หลายวันล้วนไม่มีความคืบหน้า จึงไปขอความช่วยเหลือจากโสวฝู่ให้ช่วยชี้แนะ เหลิ่งโสวฝู่จึงได้ส่งหงเย่ไป
แต่ได้สั่งคนไปแจ้งให้เขารู้แล้ว เพียงแค่รอให้พวกเขากลับมา
กู้ซือพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ไม่เป็นไรหรอก ให้พวกเขาใช้เวลาของพวกเขาไป พวกเราก็มาเพลิดเพลินกับความสุขของคนมีครอบครัวไปพลาง ๆ ก่อน เพราะถึงอย่างไร พอจะคุยถึงเรื่องลูก ๆ พวกเราก็คุยกับพวกเขาไม่ได้!”
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่มีหัวข้อที่เหมือนกันพอจะเอามาชวนคุยได้!
จวนอ๋องฉู่ในยามนี้ กลายเป็นโรงเรียนอนุบาลไปแล้ว กู้ซือเป็นพ่อคนได้อย่างราบรื่นดีมาก เขานับว่ามีประสบการณ์เลี้ยงลูกที่ดีที่สุดในบรรดาผู้ชายมากมายเหล่านี้ ไม่จำกัดแค่การเปลี่ยนผ้าอ้อม แต่ทำได้ทั้งป้อนข้าว เช็ดอึเช็ดฉี่ สอนสั่งอบรม เวลาไหนต้องดุเวลาไหนต้องปลอบ
ทุกคนพูดคุยเกี่ยวกับลูก ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก็คุยกันถึงเรื่องฟันของสวีอีต่อ
แม้แต่อ๋องฉีก็ยังพูดว่า “ไม่พูดไม่ได้เลยว่า หลังจากที่สวีอีมีฟันหน้าแล้ว บุคลิกของเขาก็เปลี่ยนไปเลย ดูกล้าหาญกว่าแต่ก่อน ที่สำคัญที่สุดคือ เขาไม่ได้ดูเซ่อซ่าซื่อบื้อขนาดนั้นแล้ว ตอนแรกข้ากับเจ้าอ้วนต่างก็ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมอะซี่ถึงไปต้องตาสวีอีได้ พวกเราสามีภรรยาขบคิดกันจนหัวแทบแตก ก็ยังหาข้อดีของสวีอีไม่เจอเลยจริง ๆ”
หยวนหย่งอี้ได้ยินคำพูดนี้ ก็กลอกตามองบนใส่เขาทันที “เจ้าเองต่างหากที่คิดหัวแทบแตก ข้าคิดมาตลอดว่าสวีอีเป็นคนที่ดีมาก ทั้งซื่อสัตย์ ทำดีกับคนอื่น ไม่มีแผนร้ายในใจ ไม่ใช่ข้าว่าพวกเจ้านะ ในบรรดาผู้ชายทั้งหมดในห้องโถงนี้ ข้าคิดว่าคนที่ดีที่สุด ก็คือสวีอีนี่ล่ะ”
คำพูดนี้ เรียกได้ว่าตีแสกหน้าพวกเจ้าห้าอ๋องหวยทั้งหมดแบบจัง ๆ ว่าใครก็เทียบกับสวีอีไม่ได้ทั้งนั้น
พระชายาซุนกำลังคิดว่าจะพูดหักล้างสักหน่อย แต่แล้วนางก็นึกขึ้นได้ว่า ที่พระชายาฉีพูดแบบนี้ เป็นเพราะนางคำนึงถึงความรู้สึกของอะซี่ เด็กสาวจากตระกูลหยวนที่ยอมลดตัวมาแต่งงานกับองครักษ์จวนอ๋อง แม้ว่าตอนนี้จะได้เป็นแม่ทัพ แต่ชาติกำเนิดก็ยังเป็นเพียงองครักษ์คนหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะในโอกาสเฉกเช่นวันนี้ เมื่อมีคนระดับสูงมากมายมารวมกัน หยวนหย่งอี้คงจะกลัวว่าอะซี่อาจเกิดความรู้สึกต้อยต่ำในแง่ของสถานะ ดังนั้น ถึงได้พูดจายกย่องสวีอีแบบนี้
แน่นอนว่าอะซี่รู้ความหมายของพี่สาวดี นางหันไปมองสวีอี ยกยิ้มเล็กน้อย “คนอื่นอาจไม่รู้ แต่ในใจของข้า สวีอีนั้นดีที่สุด ในความเป็นจริง ในหัวใจของภรรยาทุกคน สามีของตัวเอง ย่อมดีที่สุดเสมอ ”
คำพูดนี้ของอะซี่ ทำให้หลายคนในนั้นถึงกับจิตใจหวั่นไหว
แต่จู่ ๆ ก็มีใครบางคนพูดขึ้นมาอย่างเศร้า ๆ ว่า “ไม่หรอก มีภรรยาบางคนที่ทำลายชื่อเสียงของสามีตัวเองเวลาออกไปข้างนอกด้วยเช่นกัน น่าอายได้แค่ไหนก็พูดออกไปได้แค่นั้นเลยล่ะ”
อ๋องซุนปรายตามองพระชายาซุนด้วยสายตาราบเรียบ พระชายาซุนเอียงหน้าหนีไปเล็กน้อยด้วยความรู้สึกผิด ถูกต้องแล้ว นางก็คือผู้หญิงที่เอาแต่ทำลายชื่อเสียงสามี เวลาที่ออกไปนอกบ้านคนนั้นนั่นเอง
ต่างคนต่างหัวเราะโดยไม่พูดอะไร ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ล้วนมองกันคนละด้าน มีความคล้ายกันแต่ก็ไม่อาจเป็นเหมือนกัน
ฟ้ามืดแล้ว เหลิ่งจิ้งเหยียนกับหงเย่ยังไม่มา ทุกคนต่างก็หิวแทบแย่แล้ว พวกผู้ใหญ่ยังไม่เป็นไร แต่เด็ก ๆ ไม่ควรปล่อยให้ท้องหิว ในเมื่อไม่มีทางอื่น จึงทำได้แค่ไม่รอพวกเขาแล้ว พอพวกเขากลับมาดึก ๆ ค่อยจัดเหล้ามาดื่มสังสรรค์กับพวกเขาแล้วกัน
ทุกคนจึงเริ่มกินข้าวกันทั้งแบบนี้ ด้านนี้ทุกคนหัวเราะสังสรรค์เริงรื่น แสดงมิตรภาพที่ไม่มีวันสิ้นสุดระหว่างพี่น้อง
ทางด้านนั้นเป็นห้องสำหรับเด็ก ๆ ที่คุยกันเจื้อยแจ้ว อวดพ่อแม่ตัวเองอย่างไม่ยอมน้อยหน้า
บนท้องฟ้าเหนือจวนอ๋องฉู่ ก้อนเมฆที่พาดทับกันต่างค่อย ๆ ถูกพัดกระจายหายไป ความชื้นของฤดูใบไม้ผลิได้อำลาไปอย่างสมบูรณ์ อากาศของต้นฤดูร้อนก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น
เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลง ทุกคนก็ทยอยกล่าวคำลากลับไปทีละคนสองคน ตอนนี้เป็นยามไฮ่แล้ว ค่อยได้ยินคนเฝ้าประตูเข้ามารายงานว่า เหลิ่งจิ้งเหยียนกับหงเย่มาถึงแล้ว
ทั้งสองสวมชุดพรางตัวสีดำ เข้ามาอย่างเร่งรีบ เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่น
หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงยืนรอต้อนรับพวกเขาอยู่ใต้ระเบียงทางเดิน เจ้าลิงเกาะอยู่บนไหล่ของหยวนชิงหลิง ในตอนที่หงเย่เข้าประตูมา เจ้าลิงก็เริ่มส่งเสียงร้องดังเจี๊ยก ๆ น้ำเสียงร้อนรนกระวนกระวายเล็กน้อย
เมื่อเห็นหงเย่หมุนตัวเข้ามา เจ้าลิงก็กระโดดลงไป วิ่งยาว ๆ หลายก้าวแล้วกระโจนเข้าไปกอดหมับเข้าที่หัวของหงเย่ตรง ๆ จากนั้นก็ส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้นยินดี
ตอนที่หงเย่เข้ามา แสงไฟส่องสลัวตลอดทาง เห็นแค่อะไรบางอย่างพุ่งทะยานเข้ามาหา เดิมคิดว่าคงจะเป็นสุนัข แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะกระโจนเข้ามาใส่หน้า แล้วกอดหัวของเขาตรง ๆ แบบนี้ จึงร้องสั่งอย่างโกรธ ๆ ว่า ” รีบลงมาเดี๋ยวนี้ ผมของข้า!”
เขาคว้าที่หางลิงได้ กำลังจะโยนมันทิ้งไปอีกด้าน แต่ลิงตัวนั้นกลับกอดคอเขาแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความปีติยินดี จ้องมองหงเย่ตาไม่กระพริบ
หงเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อย ๆ ลดมือลง มองเจ้าลิงน้อยอย่างตกตะลึง
ลิงตัวนี้ ไม่มีทางเป็นลิงที่อยู่ในความทรงจำของเขาอย่างแน่นอน แต่ความคุ้นเคยในแววตาที่มองมานั้น กลับทำให้จิตวิญญาณส่วนลึกของเขาสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เขาหันไปมองหยวนชิงหลิงอย่างทำอะไรไม่ถูก ในดวงตาเหมือนมีหมอกค่อย ๆ ลอยขึ้นมา ร้องขอในคำตอบ แต่กลับไม่กล้าถาม เพราะกลัวว่าคำตอบจะไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดอยากให้เป็น
หยวนชิงหลิงก้าวขึ้นไปข้างหน้า มองหงเย่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ใช่แล้ว เป็นเจ้าลิงที่เจ้ารอคอยมาเป็นเวลานานตัวนั้นนั่นล่ะ!”
ริมฝีปากของหงเย่สั่นระริก ดวงตาเหมือนถูกเมฆหมอกปกคลุมอย่างรวดเร็ว ไม่อาจแยกแยะระหว่างคนกับอะไรที่อยู่ตรงหน้าได้แล้ว มือข้างหนึ่งกอดเจ้าลิงแน่น พยายามจะมองให้ชัดขึ้นอีกนิด แต่น้ำตายังคงไหลออกมาไม่หยุด จนทำให้ภาพตรงหน้าเลือนราง เขามองได้ไม่ชัด รู้สึกแค่ว่าหัวใจค่อย ๆ ปวดหนึบขึ้นมา แล้วเปลี่ยนเป็นเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างกะทันหัน ภาพฉากทั้งหมดที่เจ้าลิงถูกใส่ลงไปในโลงน้ำแข็งนั้น หวนกลับไปกลับมาในใจไม่หยุด เจ็บปวดจนหัวใจแทบจะแหลกสลายให้ได้ เขากอดเจ้าลิงแล้วทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น น้ำตารินไหลเอ่อท้นดวงตา อ้าปากอยากจะร้องไห้ให้สมกับความเจ็บแทบขาดใจ แต่เสียงร้องไห้กลับติดอยู่อย่างนั้น กระทั่งเขาแทบจะขาดอากาศหายใจแล้ว เสียงร้องถึงค่อยหลุดออกมาจากลำคอในที่สุด
ที่แล้วมาไม่เคยเห็นหงเย่เป็นแบบนี้มาก่อน เดิมทีหยวนชิงหลิงคิดว่าเขาคงจะตื่นเต้นยินดีมาก กระทั่งรู้ด้วยว่าเขาจะต้องร้องไห้แน่ แต่กลับไม่รู้ว่าเขาจะร้องไห้จนมีสภาพเป็นแบบนี้ กระทั่งพฤติกรรมจะต่างจากปกติถึงขนาดนี้ ราวกับว่าความเจ็บปวดที่ลืมไม่ลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเป็นเพราะไม่มีใครสนใจ มันจึงถูกกดลงไปในส่วนที่ลึกสุดของก้นบึ้งหัวใจ จนมาถึงช่วงเวลานี้ค่อยเกิดการปะทุขึ้นมาในพริบตา ความเจ็บปวดของเขาจึงเหมือนว่ามีทางได้ระบายออกไปในที่สุด เสียงร้องไห้ของเขามีคนสนใจแล้ว
หยวนชิงหลิงเบือนหน้าไป โผตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเจ้าห้า แล้วร้องไห้อย่างสุดจะกลั้น ภาพฉากตรงหน้านี้ มันเกินกว่าที่ใครจะทนรับได้
ทั้งหยู่เหวินเห้ากับเหลิ่งจิ้งเหยียนต่างก็หันหน้าไปอีกทาง ต่างก็ทำใจทนมองเขาที่เป็นแบบนี้ไม่ได้
ทังหยางยืนอยู่ที่ปลายระเบียงทางเดิน ได้เห็นฉากนี้ ก็ยังกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาไม่ได้
หลังจากที่หงเย่ร้องไห้ เขาก็อุ้มเจ้าลิงแล้วยืนขึ้น เดินออกไปข้างนอกช้า ๆ ไม่มีใครตามเขาไป ในเวลานี้ พวกเขาไม่ต้องการคำพูดอะไรจากบุคคลภายนอกทั้งนั้น
เมื่อมองไปที่เงาแผ่นหลังของเขา หยู่เหวินเห้าอดพึมพำขึ้นมาไม่ได้ว่า “เฮ้อ คิดไม่ถึงเลยว่าเหล่าหงจะถือว่าลิงเป็นครอบครัวของตัวเองแล้วจริง ๆ”