บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1454 เกี่ยวกับเหมืองนั้น
เหลิ่งจิ้งเหยียนรั้งอยู่ไม่นานนักก็กลับไปเช่นกัน เหลือแค่หยวนชิงหลิงกับหยู่เหวินเห้าที่ได้แต่หันมองหน้ากัน แล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ สองคนจูงมือกันเดินไปตามระเบียงทางเดินตรงไปยังตำหนักเซี่ยวเยว่
หงเย่เปรียบเสมือนตัวอย่างอ้างอิงที่ชัดเจนตัวอย่างหนึ่ง ที่ทำให้พวกเขาตระหนักขึ้นมาได้อีกครั้งว่าพวกตนมีความสุขมากแค่ไหน
วันรุ่งขึ้น หงเย่ถึงค่อยพาเจ้าลิงกลับมา เจ้าลิงยืนบนไหล่ของเขา เหมือนกับตอนที่ยืนอยู่บนไหล่ของหยวนชิงหลิง
บนใบหน้าของเขาไม่มีแววโศกเศร้าใด ๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยความยินดี เขายืนตรงหน้าหยวนชิงหลิงในลักษณะนั้น พูดกับเจ้าลิงว่า “เป็นโชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากพระชายารัชทายาท พวกเราถึงได้พบกันอีกครั้ง คำขอบคุณนี้ อย่างไรก็จะขาดไปไม่ได้ .”
จากนั้น เขาก็ประสานมือคำนับหยวนชิงหลิง พูดอย่างซาบซึ้งว่า “ขอบคุณ!”
เจ้าลิงกระโดดขึ้นไปบนไหล่ของหยวนชิงหลิง ยื่นมือออกไปกอดศีรษะของนางเบา ๆ ใช้แขนเล็ก ๆ โอบจนรอบ จนเหมือนนางสวมที่คาดหน้าผากเอาไว้เลยทีเดียว
หยวนชิงหลิงยื่นมือออกไปกอดมันไว้ เจ้าลิงเวลาอยู่ต่อหน้านางกับหงเย่ จะมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เวลาอยู่ต่อหน้านางมันจะซุกซนขี้เล่น แต่เวลาอยู่ต่อหน้าหงเย่ กลับดูสงบเคร่งขรึมขึ้นมาก
บางทีวันเวลาที่พวกเขาได้เผชิญมาด้วยกัน คงเป็นวันเวลาที่ทุกข์ยากลำบากมากกว่าความสุขแน่
“ไม่เป็นไร มันเป็นสิ่งที่ข้าควรทำ อย่างไรเสียที่เจ้าลิงดีขึ้นได้ครั้งนี้ ก็ไม่ใช่ผลงานของข้า ถ้าวันหน้ามีโอกาส จะพาเจ้าไปพบผู้มีพระคุณตัวจริงก็แล้วกัน” หยวนชิงหลิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ ได้ ข้าต้องไปพบอย่างแน่นอน!” แววตาของหงเย่ดูอ่อนโยนขึ้นมาก เมื่อก่อนเวลาที่เขายิ้ม ในดวงตาจะเหมือนมีสระน้ำที่ลึกจนไร้ก้นบึ้งซ่อนอยู่ แต่ตอนนี้ ทั้งหมดกลับแตกต่างออกไป
ทั้งสองพาเจ้าลิงเข้าไปข้างใน พอดีกับที่หยู่เหวินเห้าก็เพิ่งเดินออกมา เมื่อเห็นหงเย่เขาก็เลิกคิ้ว “โย่ว มาเช้าขนาดนี้เชียว?”
“ อื้ม มาขอบคุณพระชายารัชทายาท!” หงเย่พูดพลาง ยื่นมือออกไปอุ้มเจ้าลิงกลับมา พระชายารัชทายาทนั้นไม่มีรังสีคุกคาม แต่รัชทายาทมี จึงควรต้องระวังทางรัชทายาทไว้สักหลายส่วน
หยู่เหวินเห้าเดินเข้ามานั่งลง แล้วพูดขึ้นว่า “ขอบคุณไม่ใช่แค่คำพูดเท่านั้นก็จบกันไป แต่เป็นการลงมือทำเพื่อแสดงความขอบคุณต่างหาก”
หงเย่ไม่ตอบคำ
แต่หยู่เหวินเห้าไม่ปล่อยให้เขาแกล้งทำเป็นตีเนียนเบลอผ่านเรื่องนี้ได้เด็ดขาด ถามว่า “เจ้าตัดสินใจอย่างไรต่อจากนี้? ยังคิดจะไปจากเมืองหลวงหรือไม่? ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อนนะว่า หากเจ้าไปจากเมืองหลวง เจ้าลิงจะไปด้วยไม่ได้หรอก เพราะเจ้าลิงยังต้องกินยาต่อเนื่อง ถ้าไม่กินยาล่ะก็หัวสมองอาจจะระเบิดได้”
หยวนชิงหลิงเห็นว่าสีหน้าของหงเย่เปลี่ยนไปอย่างมาก ก็ตำหนิเจ้าห้าทันที “พูดจาเหลวไหล ไม่มีอะไรแบบนั้นสักหน่อย อย่าทำให้เขาตกใจสิ”
เมื่อเจ้าห้าเห็นหงเย่ตกใจจนหน้าซีด จึงรู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป รีบประสานหมัดขึ้นแล้วกล่าวคำขอโทษทันที
หงเย่เพิ่งจะวางใจลงไปได้ไม่ทันไร ก็ได้ยินหยวนชิงหลิงพูดขึ้นอีกว่า “แต่ยังต้องกินยาต่อเนื่องไปอีกสักระยะจริง ๆ ต้องกลับไปตรวจร่างกายประเมินผลประจำปีปีละครั้ง สามหรือห้าปีให้หลัง หากสถานการณ์มีความเสถียรดีแล้ว ก็ไม่ต้องกลับไปอีก”
“ทำไมถึงต้องกินยาด้วยล่ะ?” หงเย่ร้อนใจขึ้นมาแล้ว อุ้มเจ้าลิงชึ้นมาพินิจดูอย่างละเอียด “มันยังไม่หายดีใช่หรือไม่?”
หยวนชิงหลิงตอบว่า “ไม่ใช่ จะอย่างไรมันก็ได้รับการผ่าตัดใหญ่มา จำเป็นต้องสังเกตอาการระยะหนึ่ง ส่วนที่ต้องกินยา เป็นเพียงการเสริมสารอาหารสำคัญที่ร่างกายขาดไป ทำให้มันมีสุขภาพที่ดีขึ้นเท่านั้น”
หงเย่รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แต่ก็ยังอดถามไม่ได้ว่า “ถ้าเช่นนั้น เขาไม่เป็นไรแล้วจริง ๆใช่หรือไม่?”
“โดยพื้นฐานก็ไม่เป็นไรแล้ว” หลังจากที่หยวนชิงหลิงตอบ ก็ถามเรื่องที่เจ้าห้าอยากถามแบบตรงประเด็นแทนว่า “แล้วจากนี้เจ้าตัดสินใจอย่างไร? จะให้ดีที่สุดคือเจ้ายังไม่ควรออกจากเมืองหลวงเป็นการชั่วคราว”
หงเย่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วค่อย ๆ ปล่อยออกมา บนใบหน้าปรากฏแววสงบนิ่งซึ่งไม่สามารถปกปิดได้ “ไม่ไปแล้วล่ะ อยู่เมืองหลวง ข้าไม่ได้กินเงินเดือนหรือบรรดาศักดิ์ใด ๆ จากราชสำนักของพวกเจ้า แต่เจ้าต้องจัดหางานการบางอย่างให้พวกเราเลี้ยงตัวได้ ถึงจะถูกต้อง!”
หยู่เหวินเห้ายิ้มอย่างสดใสออกมาทันที “มาเถอะ พวกเราเข้าไปคุยกันในห้องหนังสือดีกว่า เจ้าอยากทำงานด้านอะไร? ข้ามีตัวเลือกมากมายที่นี่ พวกเราค่อย ๆ คัด ค่อย ๆ เลือก”
พูดพลาง มือก็ดึงคนไปทันที
ด้วยสภาพนี้ เจ้าห้าที่เป็นฝ่ายกระตือรือร้นเข้าหา กับฝ่ายหงเย่ที่แบ่งรับแบ่งสู้ หลังจากก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องหนังสือแล้ว น่ากลัวว่าก็คงไม่อาจหนีพ้นจากเงื้อมมือของเจ้าห้าได้เป็นแน่
ทางฮ่องเต้หมิงหยวน วันนี้กำลังจะไปที่ตำหนักข้าง หลังจากหารือราชกิจยามเช้าเสร็จแล้ว ก็สั่งขุนนางแยกย้าย ค่อยให้คนไปเตรียมรถม้า โดยมีกู้ซือกับมู่หรูกงกงติดตามไปด้วย ออกเดินทางแบบไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ
การไปตำหนักข้างในครั้งนี้ ช่างรู้สึกใจคอกระสับกระส่ายเสียจริง
แต่ก็ยังมีความมุ่งมั่นหนึ่งที่จะตัดใจทำต่อไปให้สำเร็จ เขาคิดว่า บางทีหลังจากที่ตนสละราชบัลลังก์แล้ว คงจะค่อย ๆ ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับเสด็จพ่อกลับมาได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาอยากพักผ่อนแล้วจริง ๆ เขาทุ่มเทสุดชีวิต เพียรพยายามทำหน้าที่ของรัชทายาทกับฮ่องเต้ให้ดี ไม่ว่าจะทำได้ดีหรือไม่ นั่นก็ต้องฝากไว้ให้คนรุ่นหลังได้วิพากษ์วิจารณ์ต่อแล้ว
เขาไม่ได้สั่งให้คนมาแจ้งไท่ซ่างหวงล่วงหน้าว่าเขาจะมา แค่ปรากฏตัวที่ประตูหน้าตำหนักข้างทั้งอย่างนั้นเลยตรง ๆ
หลังลงจากรถม้าแล้ว ก็พากู้ซือกับมู่หรูกงกงเข้าไป คนเฝ้าประตูรีบไปรายงานต่อไท่ซ่างหวงทันที ไท่ซ่างหวงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะหากยึดตามนิสัยของฮ่องเต้ที่ผ่าน ๆ มา หากเป็นเรื่องสำคัญขนาดนี้มักต้องมีการรายงานให้เขารู้ก่อน หรือไม่ก็ต้องถามเขาก่อนว่ามีความคิดเห็นประการใด มักต้องพิจารณาก่อนอย่างน้อย ๆ ก็สามวัน
เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ปัจจุบันทันด่วนมาก เห็นได้ชัดว่าเขาตัดสินใจแบบเด็ดขาดแล้วจริง ๆ
หลังสั่งให้คนเชิญเขาเข้าไปรอในห้องหนังสือแล้ว หลังจากดื่มชาหมดไปถ้วยหนึ่ง จึงค่อยไปพบเขาที่ห้องหนังสือ
ก่อนจะออกไป โสวฝู่ก็พูดกับเขาว่า “พูดกันดี ๆ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ”
อันที่จริงโสวฝู่มีความรู้สึกว่า การที่ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์ อาจไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีเสมอไป ไม่ใช่เพราะเขาคิดว่าฮ่องเต้ทำได้ไม่ดี แต่เมื่อราชวงศ์เป่ยถังจะเริ่มก้าวเดินบนเส้นทางแห่งการพัฒนา ด้วยนิสัยที่หัวโบราณชอบระมัดระวังไปหมดของฝ่าบาท จะทำให้พระองค์มีแต่เหนื่อยล้า และขุนนางเองก็จะเหนื่อยล้าไม่ต่างกัน
สองคนพ่อลูกคุยกันในห้องหนังสือกว่าสองชั่วยาม
นอกจากเรื่องการสละราชบัลลังก์แล้ว ยังมีอีกเรื่องที่ฮ่องเต้หมิงหยวนหารือกับไท่ซ่างหวง นั่นคือ เมื่อวานตอนช่วงพลบค่ำ อ๋องชินเฟิงอันได้เข้าไปที่วัง แล้วถามว่าเขาจะสามารถซื้อหมู่ตึกเหมยกลับไปได้หรือไม่
ไท่ซ่างหวงรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที “เรื่องนี้ทำไมเจ้ายังต้องถามข้าอีก? เจ้าตัดสินใจเองก็ได้แล้ว”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมีท่าทีลำบากใจ กล่าวว่า “ติดที่ว่า เขาจะขอซื้อมันกลับไปในราคาเดิม แต่ขอแบ่งจ่ายเป็นเวลาสามสิบปี เขาบอกว่าสิ่งนี้เรียกว่าการผ่อนชำระ ที่สำคัญที่สุดคือ ข้าวางแผนว่าหลังจากสละราชบัลลังก์แล้ว จะไปอาศัยอยู่ที่สวนเหมย หากปฏิเสธไปก็ดูจะไม่กตัญญู เสด็จพ่อทรงมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
“จ่ายแบบสามสิบปี?” ไท่ซ่างหวงรู้สึกว่า ระดับความหน้าด้านไร้ยางอายของพี่ใหญ่นั้น ได้ไต่ขึ้นไปจนถึงขั้นสุดแล้วจริง ๆ สามสิบปีหลังจากนี้ เขาจะยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ?
“ ใช่ สามสิบปีไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงเขาให้ข้าขุดแร่มรกตที่อยู่ใต้ดินได้ เงินก้อนนี้จะอย่างไรก็ได้ทุนเดิมคืน แต่เกรงว่าหลังจากที่เขากลับไปอยู่ที่นั่นแล้ว จะไม่ให้ข้าขุดอีก” ฮ่องเต้หมิงหยวนเองก็กังวลในจุดนี้เช่นกัน จะอยู่ที่ไหนล้วนไม่ใช่ปัญหา หมู่ตึกเหมยนั้นสามารถไปเที่ยวพักร้อนเป็นครั้งคราวก็พอได้อยู่ วันธรรมดาก็ไปอาศัยอยู่ที่ตำหนักข้าง หรือไม่ก็ไปอยู่ในวังสักระยะ เพราะสุดท้าย ถ้าเจ้าห้าขึ้นครองบัลลังก์ ในใจลึก ๆ เขาเชื่อว่าไท่ซ่างหวงจะกลับไปอยู่ที่วังแน่ ๆ
ไท่ซ่างหวงมองเขา หน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาทันที “ในรัศมีหนึ่งร้อยลี้จากเมืองหลวง ไม่มีเหมืองแร่มรกตหรอก เจ้าไม่รู้หรือ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนรีบค้านขึ้นว่า “ข้าเคยเห็น มันมีจริง ๆ ”
“ไม่มี!” ไท่ซ่างหวงยืนกราน
ฮ่องเต้หมิงหยวนตกใจจนผงะ “แต่ข้าเคยเห็นมาก่อนจริง ๆ อีกทั้งผิวมรกตก็เผยออกมาให้เห็นเลย ข้ามองไปที่ผิวหินสีเขียวเข้มนั้น หากขุดมันขึ้นมาแยกส่วนขาย ราคาของมรกตที่อยู่ในนั้นเกรงว่าจะประเมินค่ามิได้เลยด้วยซ้ำ”
ไท่ซ่างหวงหันมามองเขา “ในแวดวงอาชีพอะไร ก็ต้องมีความเชี่ยวชาญในอาชีพนั้น ๆ หากหลังจากนี้ เจ้าต้องการทำอะไรในด้านการลงทุน อย่างไรก็ควรต้องหาผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ไว้สักคน ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน!”
“ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน?”
ไท่ซ่างหวงนวดคลึงที่ข้างขมับ “ลูกเขยของเจ้า เหลิ่งซี่!”
“โอ้…” ฮ่องเต้หมิงหยวนเข้าใจขึ้นมาทันที แต่แล้วก็พูดอีกว่า “เขารู้เรื่องการซื้อหมู่ตึกเหมย เขายังให้เงินด้วย”
ไท่ซ่างหวงถอนหายใจเบา ๆ พลางตบไหล่ของเขา “อื้ม เจ้าเก็บหมู่ตึกเหมยไว้เถอะ ถ้ามีเวลาว่างก็ไปขุดแร่เสียหน่อย อย่างไรก็เป็นเรื่องที่ดี ส่วนเรื่องที่ว่าในอนาคต เสด็จลุงของเจ้าจะอยู่ที่ไหน ในใจข้าก็พอจะมีแผนการเอาไว้แล้วล่ะ”