บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1455 ความเสียดายของท่านชายสี่
ไท่ซ่างหวงมีแผนการแล้วจริง ๆ รอจนฮ่องเต้หมิงหยวนกลับไปด้วยอาการงุนงงสงสัย เขาจึงเรียกให้เซียวเหยากงไปทำเรื่องหนึ่ง นั่นคือไปปรับปรุงซ่อมแซมจวนอ๋องซู่ ซึ่งเคยเป็นที่พำนักเดิมของฮ่องเต้ฮุยจงเสียใหม่ ไม่ต้องซ่อมให้ดีมากก็ได้ แค่ให้อยู่ได้ก็พอ
เซียวเหยากงพูดว่า “เช่นนั้นก็ง่ายมาก ทำความสะอาดสักสองสามวันก็เข้าไปอยู่ได้แล้ว ถ้าไม่ผิดจากที่คิดก็แค่ซื้อเครื่องเรือนเพิ่มเสียหน่อย ทำไมรึ? เจ้าอยากจะย้ายกลับไปที่นั่น?”
“ ย้ายกลับไป พี่เหว่ยก็ย้ายกลับไปด้วย!” ไท่ซ่างหวงตอบ
“เขาจะยอมย้ายกลับไปหรือ? เกรงว่าเขาจะไม่ยอมน่ะสิ?” เซียวเหยากงพูดพลางส่ายหน้า
“เขาจะยอม!” ไท่ซ่างหวงพูดอย่างหนักแน่น
ตอนที่อยู่ในยุคปัจจุบัน เขาเคยบอกว่า จะไม่ล้มเลิกกิจการของหอจัยซิง พูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น และเขาจะพยายามอย่างหนักเพื่อให้เรื่องนี้เป็นจริงอย่างแน่นอน
ก่อนงานแต่งของฮุ่ยเทียนกับฮูหยินเหยา สามผู้นำยักษ์ใหญ่ก็พาอ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยาเข้าไปที่จวนอ๋องซู่ ด้านหลัง มีกลุ่มคนชุดดำที่สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด พร้อมกับบรรดาหญิงชราอีกหลายคนเดินตามเข้าไปเป็นพรวน
ไท่ซ่างหวงยังเชิญหยวนชิงหลิงมาเป็นกรณีพิเศษ ให้นางไปอยู่กับพระชายา เกลี้ยกล่อมให้พระชายายอมอยู่ที่จวนอ๋องซู่ ไท่ซ่างหวงพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่จริงจังอย่างยิ่งว่า “นี่อาจจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบาก แต่มันเป็นภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
หยวนชิงหลิงรู้เรื่องราวของพวกเขาในตอนนั้นอยู่บ้าง และรู้ว่านี่เป็นปมที่ค้างอยู่ในใจของไท่ซ่างหวง อีกทั้งหากไท่ซ่างหวงได้กลับไปอยู่ที่จวนอ๋องซู่ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง ใบไม้ร่วงคืนสู่ราก คนเราพอถึงช่วงบั้นปลายชีวิต ต่างก็อยากได้กลับอยู่ในที่ที่เคยอยู่ในวัยเด็ก ดังนั้นนางจึงรับปาก ทั้งยังสัญญาว่าจะพยายามให้ดีที่สุด เพื่อทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ
ไท่ซ่างหวงถอนหายใจ “พวกเขาขายหมู่ตึกเหมยไปแล้ว แต่ยังต้องเข้าวังไปขอฮ่องเต้ผ่อนจ่ายถึงสามสิบปีเพื่อที่จะซื้อหมู่ตึกเหมยคืน ข้าไม่อาจปล่อยให้พวกเขาอยู่บนภูเขาต่อไปได้ พวกเขาจำเป็นต้องกลับมา แผ่นดินนี้ยังมีที่ภาระหน้าที่ส่วนของพวกเขาอยู่ ”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “ท่านวางใจเถอะเพคะ ข้าจะพูดเกลี้ยกล่อมพระชายาให้เอง ขอแค่พระชายากลับมา ท่านอ๋องก็จะกลับมาด้วยอย่างแน่นอน”
“ อื้ม ข้าก็คิดอย่างนั้น แต่ต้องให้เร็ว ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะออกจากเมืองหลวงไปเสียก่อน”
“อื้ม ได้!” หยวนชิงหลิงตอบรับ
จวนอ๋องซู่ที่ได้รับการซ่อมแซมอย่างเรียบง่าย ให้ความรู้สึกว่าไม่ได้แตกต่างไปจากความทรงจำมากนัก เมื่อเดินเข้าสู่ทางเข้าหลัก เงาผนังที่เปิดอ้าอยู่ มองไม่เห็นประตูของห้องโถงใหญ่ เมื่อมองผ่านเงาของผนังไปก็เห็นต้นไม้สูงตระหง่าน ขั้นบันไดหิน ผนังที่เป็นรอยกระด่างกระดำบางส่วนร่วงหล่นอยู่ที่พื้น เคลือบไปตามระเบียงทางเดิน ใบไม้ที่ร่วงหล่นถูกกวาดไปกองอยู่ที่มุมหนึ่ง ยามเมื่อมีลมพัด พวกมันก็ปลิวกระจายออกไป
เมื่อเดินขึ้นไปจากทางระเบียง ก็จะเข้าไปในลานสวนด้านหลังจวน มีเรือนเดียวปลูกกระจัดกระจายในรูปแบบต่าง ๆ หอจัยซิงเป็นอาคารหนึ่งเดียวที่ตั้งตระหง่านโดดเด่น โดยหันหน้าเผชิญกับผนังของตำหนักหลิงหยุน
หยวนชิงหลิงกับพระชายาชินเฟิงอันกำลังเดินอยู่ เดิมทีนางคิดจะใช้โอกาสนี้เกลี้ยกล่อมพระชายา แต่เพราะพระชายาเอาแต่เงียบงันอยู่ตลอด ไม่ยอมพูดอะไรเลย หากจู่ ๆ ก็พูดเกลี้ยกล่อมนางขึ้นมา มันคงจะดูขวานผ่าซากไปหน่อย จึงเดินไปกับนางเงียบ ๆ
พระชายาชินเฟิงอันยืนอยู่ข้างกำแพงของตำหนักหลิงหยุน มองดูกุหลาบป่าที่งอกออกมาจากด้านบนของกำแพง ดอกกุหลาบผลิบานได้ดีมาก สะบัดแกว่งไกวอยู่ท่ามกลางสายลมที่โชยพัดเอื่อย ๆ
เมื่อเห็นว่านางไม่พูดอะไรเลยอยู่เป็นนานสองนาน หยวนชิงหลิงก็รวบรวมความกล้า ก้าวขึ้นไปข้างหน้า คิดว่าจะพูดอะไรสักสองสามคำ แต่คิดไม่ถึงว่า จู่ ๆ พระชายาก็เงยหน้าขึ้นมองนางด้วยแววตาของคนที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน พูดเบา ๆ ว่า “กำแพงนี้ ข้าเป็นคนก่อมันขึ้นมาเองกับมือเลย”
“หา?” หยวนชิงหลิงตกตะลึง “ท่านก่อมันขึ้นมาเองกับมือเลยรึ?”
พระชายาชินเฟิงอันไม่ตอบ เพียงแค่จ้องไปที่กำแพงนั้นอยู่นาน ผ่านไปครู่ใหญ่ นางก็พูดว่า “พวกเราจะย้ายกลับมา ต้นหญ้าทุกต้นใบไม้ทุกใบของที่นี่ ล้วนมีอดีตที่เราไม่อาจตัดใจได้”
หยวนชิงหลิงถึงกับตกตะลึง นี่คือภารกิจอันยากลำบากที่ไท่ซ่างหวงมอบหมายไม่ใช่รึ? นางยังไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียวเลยนะ?
ตอนที่ออกไปรวมตัวกัน เห็นได้ชัดเจนว่าสามยักษ์ใหญ่ก็ค่อนข้างสับสน พวกเขาเข้าไปก็แค่เดินวนในจวนจนครบรอบหนึ่ง ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเริ่มกล่อม อ๋องชินเฟิงอันก็ตอบตกลงว่าจะย้ายกลับมาแล้ว บอกแค่ว่าเขามีความรู้สึกค่อนข้างลึกซึ้งต่อจวนอ๋องซู่ อย่างไรก็จะต้องย้ายกลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่นี่ให้ได้
เมื่อนำข้อมูลของหลาย ๆ คนมาปะติดปะต่อกัน ก็เอาแต่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
หยวนชิงหลิงไปส่งสามยักษ์ใหญ่กลับตำหนักข้าง พวกเขาทุกคนจำเป็นต้องกลับไปจัดเตรียมข้าวของของตัวเอง
ในตอนที่หยวนชิงหลิงขึ้นรถม้ากลับมาจากตำหนักข้าง ขณะที่ผ่านประตูหน้าจวนอ๋องซู่ ก็เห็นกลุ่มชายชราในชุดดำกลุ่มหนึ่งกำลังขนย้ายข้าวของเข้าไปข้างใน หยวนชิงหลิงสั่งหยุดรถแล้วถามออกไปว่า “ย้ายเข้ามารวดเร็วขนาดนี้เชียวหรือ? ”
เฮยหยิ่งขนของออกจากเกวียนเทียมวัว เงยหน้าขึ้นตอบมาประโยคหนึ่งว่า “จำเป็นต้องเร็ว ไม่อย่างนั้นหากพวกไท่ซ่างหวงเปลี่ยนใจจะทำอย่างไรล่ะ? หมู่ตึกเหมยก็ถูกขายไปแล้ว พวกเราไปพักอยู่ในโรงเตี๊ยมมาหลายวันแล้ว หากยังอยู่ต่อ เงินคงถูกใช้หมดไม่มีเหลือแน่แล้ว ”
พูดจบ เขาก็ไม่แม้แต่จะทักทายหยวนชิงหลิงด้วยซ้ำ พาคนขนย้ายข้าวของเข้าไปข้างในต่อทันที
ชั่วอึดใจนั้น หยวนชิงหลิงก็เข้าใจขึ้นมาทันที ภารกิจอันยากลำบากอะไรกันล่ะ? พวกเขาวางแผนว่าจะย้ายกลับมาตั้งนานแล้วต่างหาก บางทีการไปที่วังแล้วบอกว่าจะขอซื้อหมู่ตึกเหมยคืนแบบผ่อนจ่ายนั่น ก็แค่ต้องการหงายไพ่คนตกยากให้เห็นเฉย ๆ มากกว่า ถ้าคิดจะเล่นมุกคนหัวหมอกับอ๋องชินเฟิงอัน เห็นได้ชัดเลยว่า ไท่ซ่างหวงเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้อย่างหมดรูป
ไม่น่าแปลกใจหรอกที่ไม่ต้องพูดจาโน้มน้าวอะไร พวกเขาก็รับปากว่าจะย้ายกลับมาแล้ว เพราะอันที่จริงพวกเขาวางแผนไว้แต่แรกแล้วนั่นเอง
หยวนชิงหลิงถึงกับหลุดหัวเราะ แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ดีทั้งนั้น ในเมื่อสุดท้ายไท่ซ่างหวงก็ได้บรรลุตามความปรารถนาแล้ว อยู่มาจนถึงบั้นปลายชีวิต ก็ยังมีคนกลุ่มนี้มาคอยส่งเสียงเอะอะมะเทิ่งให้ไม่รู้สึกเหงา จากนี้ไปคงได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแน่ ๆ
เมื่อกลับถึงจวน นางก็เล่าเรื่องนี้ให้เจ้าห้าฟัง
หลังจากที่เจ้าห้าได้ฟังแล้ว ก็พูดอย่างครุ่นคิดว่า “น่ากลัวว่าจะไม่ใช่แค่เพราะจน ไม่มีที่จะอยู่แล้วเลยต้องย้ายกลับมาน่ะสิ แต่กลัวจะเป็นเพราะอยากมาจับตาดูว่า หลังจากที่ข้าขึ้นครองราชย์แล้วจะทำได้ดีแค่ไหนมากกว่า แต่แน่นอนว่า ความจนอาจเป็นสาเหตุหลัก”
หยวนชิงหลิงถามขึ้นว่า “ทำไมพวกเขาถึงยากจนกันขนาดนี้ล่ะ? หลังจากที่พวกเขากลับมาแล้วไม่ได้รับแบ่งที่ดินตามศักดินาหรอกหรือ?”
“ กลับมาแล้วก็ไปซ่อนตัวน่ะสิ แบ่งที่ดินอะไรล่ะ?”
“ทำไมถึงต้องซ่อนตัวด้วยล่ะ?”
หยู่เหวินเห้าตอบว่า “ถึงอย่างไร ก็มีประชาชนกับคนในราชสำนักกล่าวหาว่าพวกเขาคิดจะชิงบัลลังก์ น่าจะเป็นเพราะว่าพวกเขาเคยทำอะไรบางอย่างที่ทำให้คนเข้าใจผิดกระมัง? แต่พวกเขาก็ไม่ยอมอธิบายให้ชัด แต่ก็ช่างเถอะ รอให้ข้าขึ้นครองราชย์แล้ว ข้าจะจัดการเรื่องวุ่นวายของพวกเขาให้เรียบร้อย ให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นเอง”
หลังจากเพิ่งพูดคำนี้ออกไป ก็นึกย้อนไปถึงกลุ่มคนชุดดำที่ได้เห็นที่ทะเลสาบจิ้งกลุ่มนั้น การเลี้ยงดูกลุ่มคนจำนวนมากขนาดนี้ หากพูดกันตามจริงแล้ว ก็เป็นเรื่องที่กินแรงไม่น้อย แต่ช่างเถอะ ค่อยให้เหลิ่งซี่ช่วยส่งเสียแล้วกัน
ติดแค่ว่า ทำไมตลอดหลายปีมานี้ เหลิ่งซี่ถึงไม่เข้ามาช่วยส่งเสียเลี้ยงดูเลยล่ะ?
หยู่เหวินเห้าจดจำคำถามนี้เอาไว้ในใจ รอวันหลังเมื่อได้เจอท่านชายสี่ ค่อยถามดูให้กระจ่าง
“อ้อ พูดถึงท่านชายสี่ ข้ากลับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้พอดี เมื่อวานเจ้าเจ็ดบอกข้าว่า ภรรยาของ ท่านชายสี่ท้องแล้ว” หยู่เหวินเห้าพูด
“…..” หยวนชิงหลิงพูดไม่ออกอย่างถึงที่สุด “ภรรยาของท่านชายสี่คือน้องสาวของเจ้า เจ้าพูดมาเลยว่าหลิงเอ๋อท้องแล้วไม่ได้หรือ? ภรรยาของท่านชายสี่อะไรของเจ้า?”
หยู่เหวินเห้าหัวเราะ “นี่ไม่ใช่เพราะสมองมึนงงสับสนไปแล้วหรอกหรือ? เฮ้อ คิดถึงอาหารที่ท่านแม่ยายทำเสียแล้วสิ แต่ข้าก็ตั้งตารอให้นางมาตลอดเลยล่ะ พอนางมาแล้ว ข้าจะต้องหาเวลาไปเที่ยวกับพวกเขา แต่ติดอยู่ว่าในเมืองหลวงของเราไม่มีอะไรที่แปลกใหม่ หรือที่เที่ยวที่สนุกน่าสนใจอะไร เทียบไม่ได้กับยุคปัจจุบันเลยสักนิด”
“ หลิงเอ๋อท้องกี่เดือนแล้ว?” หยวนชิงหลิงพยายามเปลี่ยนหัวข้อกลับมา เพราะถ้าปล่อยให้เขาลากยาวต่อไป หัวข้อคงจะออกทะเลไปไกลโขแน่ ๆ
“ไม่ได้ถาม” หยู่เหวินเห้าตอบ
“เมื่อหลายวันก่อนยังไม่ได้ยินพวกเขาพูดถึงเลย” หยวนชิงหลิงรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เรื่องน่ายินดีขนาดนี้กลับไม่ยอมบอกนาง หลิงเอ๋อช่างไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรเสียจริง!
“หลายวันก่อนคงยังไม่ท้องกระมัง? เจ้าเจ็ดเพิ่งบอกเมื่อวาน ว่าเขาเองก็ได้ยินจากสาวใช้หน้ากลมพูดมาอีกที”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “วันพรุ่งนี้ข้าจะไปที่นั่นสักหน่อย ช่วงนี้มีเรื่องน่ายินดีมากมายจริง ๆ ท่านชายสี่ก็สมปรารถนาสักที รอให้ลูกคลอดออกมาแล้ว ก็ไปเปลี่ยนหมาป่าหิมะได้แล้วล่ะ” เมื่อคิดถึงความหลงใหลที่ท่านชายสี่มีต่อหมาป่าหิมะ ก็ทำให้อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
“ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ ข้ายังไม่เคยเห็นพระชายาคนไหนมีลูกหมาป่าหิมะมาก่อน” หยู่เหวินเห้าไร้ความสนใจโดยสิ้นเชิง เพราะถึงอย่างไรบ้านเขาก็ไม่ขาดสิ่งนี้
หยวนชิงหลิงก็หัวเราะขึ้นมาด้วยเช่นกัน ชีวิตของท่านชายสี่นั้นสมบูรณ์แบบมาก ก็สมควรจะมีอะไรที่ทำให้รู้สึกเสียดายบ้าง
แต่เขาก็ยังมีกองทัพหมาป่าสีเทา ทั้งยังเลี้ยงหมาฮัสกี้อีกตัวไว้ข้างกายด้วย
หลังคุยกับเจ้าห้าแล้ว หยวนชิงหลิงก็เชิญแม่นมสี่มา เพราะอยากจะส่งสินสอดงานแต่งให้กับฮูหยินเหยาสักหน่อย จึงคิดว่าจะขอคำแนะนำจากแม่นมสี่