บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1457 เตรียมสละราชบัลลังก์
นางเดินออกไปหาหรงเยว่ ให้หรงเยว่ไปเชิญจิ้งเหอมา ให้เหตุผลว่า “งานที่น่ายินดีขนาดนี้ พวกเราควรจะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าสิ”
หรงเยว่พูดว่า “ได้ ข้าจะไปที่นั่นด้วยตนเองสักครั้ง ถ้านางไม่มา ต่อให้ต้องจับมัดข้าก็จะจับมัดแล้วเอาตัวนางมาให้ได้!”
หรงเยว่ลงสนามด้วยตัวเอง ย่อมไม่มีงานไหนที่ทำไม่สำเร็จ เพียงไม่นานนางก็พาจิ้งเหอมาถึง
ในลานสนามที่มืดมิด หรงเยว่ดึงข้อมือจิ้งเหอเดินเข้ามา เมื่อเห็นทุกคนยืนอยู่ที่ประตูเพื่อต้อนรับนาง ในหัวใจของนางพลันรู้สึกอบอุ่น ดวงตาสีเข้มกวาดมองออกไปรอบ ๆ ยิ้มแย้มพลางเดินเข้าไปพร้อมกับหรงเยว่
จวิ้นจู่ทั้งสองก็แต่งตัวงดงามเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เมื่อถึงเวลาก็จะเดินทางไปพร้อมกัน
จวิ้นจู่ในเวลานี้ไร้ซึ่งความขุ่นข้องหมองใจโดยสมบูรณ์ ถึงขั้นแสดงสีหน้ามีความสุขอย่างยิ่ง เห็นได้ว่าฮุ่ยเทียนต้องดีมากจริง ๆ จนได้รับความไว้วางใจและความเคารพจากพวกนาง
วันรุ่งขึ้นช่วงขบวนญาติมาต้อนรับ บรรดาพี่น้องร่วมสำนักเหลิ่งหลังของฮุ่ยเทียน ต่างมารวมตัวกันอย่างครบถ้วน ทุกคนยินดีปรีดา คึกคักครื้นเครงอย่างยิ่ง ขบวนต้อนรับมีคนเข้าร่วมไม่ต่ำกว่าร้อยคน ดูยิ่งใหญ่อลังการมาก
บรรดาพี่สะใภ้น้องสะใภ้ยืนจับมือกันอยู่ใต้เฉลียง มองดูฮูหยินเหยาที่มีชี่เหนียงประคองเดินออกไปช้า ๆ
ดวงตะวันส่องแสงเจิดจ้า ฮุ่ยเทียนในชุดเจ้าบ่าวนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนม้าตัวสูงใหญ่ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสุขและความซาบซึ้ง ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึงสักที นับตั้งแต่วันที่มีพระราชโองการลงมา เขาก็เฝ้าตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันนี้ ในที่สุดก็มาถึงแล้วจริง ๆ
เขาฮุ่ยเทียน จะได้แต่งงานกับผู้หญิงที่รักสุดหัวใจ จะได้ใช้ชีวิตทั้งชีวิตร่วมกับนาง นับจากนี้จะร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ว่าอยู่หรือตายไม่ขอแยกจาก
ฮูหยินเหยาถูกคลุมด้วยผ้าคลุมหน้าสีแดง มองเห็นเพียงรองเท้าผ้าปักสีแดงของตัวเอง แต่ยังรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาอย่างร้อนแรงของฮุ่ยเทียน ระหว่างที่จะขึ้นเกี้ยว นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา ชั่วพริบตานั้น พลันรู้สึกได้ชัดมากว่ามีใครบางคนมาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า มือของเขาจับรอบข้อมือของนาง ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนของเขาพูดขึ้นว่า “ข้าจะช่วยประคองเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวเอง!”
จมูกของนางพลันแสบร้อน ชั่วขณะที่ขึ้นไปบนเกี้ยวเจ้าสาว น้ำตาก็รินไหลลงมาจากใต้ผ้าคลุมหน้า หยาดหยดลงบนหลังมือของฮุ่ยเถียน
ฮุ่ยเทียนจับมือนาง สายตาเต็มไปด้วยความรักใคร่หวงแหน “หลังจากนี้ไป เจ้าจะไม่ต้องร้องไห้อีกแล้ว”
คำพูดประโยคนี้ ทำให้ฮูหยินเหยาซาบซึ้งมาก ทั้งยังทำให้บรรดาพระชายาที่ตามมาต่างก็รู้สึกซาบซึ้งไปด้วย
เกี้ยวเจ้าสาวเริ่มเคลื่อนตัว เสียงฆ้องและกลองก็ดังสนั่น
ในฐานะญาติฝ่ายเจ้าสาว เดิมทีแค่ครื้นเครงยินดีอยู่กับบ้านฝ่ายหญิงก็พอแล้ว แต่ในเวลาเดียวกัน พวกนางก็เป็นเพื่อนของทางสำนักเหลิ่งหลังด้วยเช่นกัน เป็นธรรมดาที่ต้องไปดื่มเหล้ามงคลที่บ้านเจ้าบ่าว ที่สำคัญที่สุดคือ พวกนางสัญญาแล้วว่าจะเดินทางไปกับขบวนแต่งของฮูหยินเหยา แน่นอนว่าย่อมไม่อาจผิดสัญญาได้
ดังนั้น หลังจากที่เกี้ยวเจ้าสาวเคลื่อนตัว พวกนางก็เดินตามไปด้วย
เมื่อไปถึงจวนของฮุ่ยเทียน ก็ได้ฤกษ์กราบไหว้ฟ้าดินพอดี พวกนางจึงยืนอยู่ข้างนอก มองดูพวกเขาทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน
ขณะที่สามีภรรยากำลังคำนับกันและกัน จู่ ๆ หยวนชิงหลิงก็ร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้ม พอหันหน้าไป ก็เห็นพวกพี่สะใภ้น้องสะใภ้อีกหลายคนต่างก็ร้องไห้ น้ำตาไหลด้วยความยินดี
หรงเยว่ชอบดูงานแต่งงานมากที่สุด นางรู้สึกซาบซึ้งเป็นพิเศษ “พวกเราส่งฮูหยินเหยาให้แต่งงานออกไปได้แล้วนะ!”
“ใช่ ได้แต่งออกไปแล้ว!” พระชายาซุนยิ้มพลางเช็ดน้ำตา “ดีจริง ๆ หลังจากนี้นางจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องอยู่เพียงลำพังไปตลอดชีวิตที่เหลือของนางแล้ว”
ตอนที่นางพูดประโยคนี้ มือก็กุมจับมือของจิ้งเหอไว้ แต่กลับลอบถอนหายใจเบา ๆ
จิ้งเหอมองนางด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้า พูดว่า “ฮุ่ยเทียนจะต้องดีกับนางมากแน่ ๆ พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลแทนนางอีกแล้ว”
“แต่ว่าเจ้า…..” พระชายาซุนมีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ พี่สะใภ้รอง เราทุกคนสบายดี เราทุกคนต่างก็ไม่ต้องให้คนอื่นมาคอยเป็นห่วงแล้ว ท่านวางใจเถอะ” จิ้งเหอพูดเบาๆ
บรรดาพี่สะใภ้น้องสะใภ้ทยอยเดินออกไป ได้เวลาส่วนตัวของพวกผู้ชายแล้ว ในงานแต่งคืนนี้ ผู้ชายทั้งหลายล้วนตกลงกันแล้วว่า คืนนี้ไม่เมาไม่กลับ
สุดท้ายเขาซึ่งเป็นขุนนางระดับสูงในราชสำนัก ก็ทำตามที่พูดจริง ๆ รอจนงานเลี้ยงแต่งงานจบลง แต่ละคนก็ช่วยกันหามญาติพี่น้องขึ้นรถม้าไป สภาพของทุกคนเมาเละเทะจนแทบดูไม่ได้
เจ้าห้าแนบตัวพิงไหล่ของหยวนชิงหลิง หน้าแดงเถือก แดงจนไปถึงหลังหู คืนนี้เขาดื่มเยอะมาก มีอาการเมาไปแล้วราวเจ็ดแปดส่วนได้ ก่อนออกไปก็อาเจียนไปแล้วหนึ่งรอบ
“ดื่มแล้วทรมานจริง ๆ จากนี้ข้าจะไม่ดื่มอีกแล้ว” เขาดึงคอเสื้อ พูดด้วยความทรมาน
หยวนชิงหลิงพยุงเขา พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “คนอื่นเขาดื่มเหล้าแลกความสนุกครื้นเครง แต่เจ้าดื่มเหล้าแบบเอาชีวิตเข้าแลก พูดอย่างไรก็ไม่ฟัง”
“ ข้ามีความสุข ใจข้ามีความสุข!” หยู่เหวินเห้าโผเข้ากอดนาง ตัวโคลงไปตามรถม้า พลันก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาอีกครั้ง โผล่หัวออกไปจากม่านด้านข้างรถ แต่ไม่อาเจียนออกมา แล้วลงไปนอนกองในสภาพร่อแร่ที่พื้นรถ มองหยวนชิงหลิงด้วยดวงตาพร่ามัว “เจ้าหยวน ข้าเริ่มจะเข้าใจถึงอาการคลื่นไส้แพ้ท้องของเจ้าขึ้นมาแล้วล่ะ”
หยวนชิงหลิงค้นยาจากกล่องยาออกมาเม็ดหนึ่ง แล้วยัดเข้าไปในปากของเขา “กลืนลงไป!”
หยู่เหวินเห้าเหยียดคอ กลืนยา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มีภรรยาเป็นหมอผู้มากความสามารถนี่ช่างดีจริง ๆ จะโรคอะไรก็ไม่ต้องกังวลเลย”
หยวนชิงหลิงพยุงเขาให้ลุกขึ้นนั่ง “ฮุ่ยเทียนแต่งงาน เจ้ามีความสุขมากเลยรึ?”
นางไม่รู้มาก่อนเลยว่า เขากับฮุ่ยเทียนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันขนาดนี้
เจ้าห้าเอื้อมมือไปค้ำหน้าผาก แล้วพูดว่า “เป็นเพราะฮูหยินเหยาแต่งงานต่างหาก ไม่ใช่ฮุ่ยเทียน ข้ามีความสุขแทนฮูหยินเหยา ชีวิตนี้ของนางเกือบจะถูกทำลายจนพินาศเพราะหยู่เหวินจุน ตอนนี้นางมีความสุข ข้าก็วางใจได้”
หยวนชิงหลิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คนที่ไม่ชอบใส่ใจรายละเอียดอย่างเจ้าห้า ทำไมจู่ ๆ ก็กลายเป็นคนละเอียดอ่อนขึ้นมาได้ล่ะนี่?
“ใช่แล้ว ข้าเองก็วางใจได้เหมือนกัน” หยวนชิงหลิงพูดเบาๆ
หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นนั่ง แล้วโอบกอดนาง “เจ้าหยวน พวกเราเองก็เรียกได้ว่าต้นร้ายปลายดีเหมือนกันนะ”
หยวนชิงหลิงกำลังคิดจะพยักหน้ารับว่าใช่ แต่กลับได้ยินเขาหัวเราะคิกคักขึ้นมาอีก “ฮุ่ยเทียน เจ้าตัวโง่เง่า กลัวก็แต่ว่าเขาจะไม่กล้าเข้าห้องหอกับเจ้าสาวน่ะสิ ข้าได้ยินท่านชายสี่บอกว่าเขาไม่เคยใกล้ชิดกับผู้หญิงมาก่อนเลย”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ “อย่าไปกังวลแทนเขาหน่อยเลยน่า”
เรื่องแบบนี้ มันมีใครเป็นหรือไม่เป็นเสียที่ไหนล่ะ? ใครไม่เคยมีอาจารย์สอนสั่งให้บ้าง?
ในห้องหอ เทียนมงคลที่มีขนาดพอ ๆ กับแขนของทารกกำลังลุกไหม้ ฮุ่ยเทียนเปิดผ้าคลุมหน้าของฮูหยินเหยา สายตาก็มองนางเหมือนตกอยู่ในภวังค์
เขาเมาไปเกินครึ่งแล้ว ในหัวใจเต็มไปด้วยความปีติยินดี แสงเทียนส่องประกายในอากาศ จากนั้นแสงก็เริ่มมอดแล้วดับลง ฮูหยินเหยาถอนหายใจเฮือก “เจ้าเอาแต่มองอะไรอยู่?”
เขาโน้มตัวลงไป กระซิบที่ข้างหูของนางอย่างแผ่วเบาว่า “ข้าไม่อยากเชื่อเลย ว่าจะได้แต่งงานกับเจ้าจริงๆ”
ฮูหยินเหยามองหน้าเขา ใบหน้าแดงก่ำ แฝงด้วยความเขินอายหลายส่วน “ข้านั่งอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว เจ้ายังจะไม่เชื่ออีกหรือ?”
“ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ!” ฮุ่ยเทียนมองริมฝีปากของนางราวตกอยู่ในภวังค์ ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาช้า ๆ
ทันทีที่ริมฝีปากร้อนถูกประทับลงไป เหมือนดั่งมีเปลวไฟที่ร้อนแรงจนสะท้านฟ้าสะเทือนดินลุกโชนขึ้น ในห้องหอ เทียนสีแดงยังคงเต้นไหวอยู่ในอากาศ แต่ม่านเตียงกลับถูกลดลงมาอย่างแผ่วเบา
หลังจากฮูหยินเหยากับฮุ่ยเทียนแต่งงานกันแล้ว งานสำคัญของฮ่องเต้หมิงหยวนก็กำลังดำเนินอยู่เช่นกัน
พระองค์เรียกประชุมเน่ย์เก๋อ หารืออภิปรายกันหลายครั้ง แล้วยกเลิกนโยบายเก่า ๆ บางส่วนไป
นโยบายเก่าเหล่านี้ ไม่เหมาะกับยุคปัจจุบันอีกต่อไปแล้ว เมื่อยกเลิกไป ก็จะดีต่อเจ้าห้ามากกว่ารอให้เขาขึ้นครองบัลลังก์ก็ยกเลิกนโยบายเก่า นั่นไม่แน่ว่าอาจทำให้พวกขุนนางเก่าแก่ทั้งหลายไม่พอใจขึ้นมาก็เป็นได้
อ๋องอานสามีภรรยาก็มาถึงเมืองหลวงในวันนั้นด้วย
ระหว่างทางกลับมา อ๋องอานค่อนข้างสงบปากสงบคำ เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เสด็จพ่อก็มีพระราชโองการเรียกเขากลับเมืองหลวงอย่างปัจจุบันทันด่วนเช่นนี้ แต่ก็รู้สึกว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเมืองหลวง ไม่อย่างนั้น เสด็จพ่อคงจะไม่เรียกเขากลับมาแน่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินว่าเจ้าเก้าก็กลับมาด้วย ในใจของเขาก็เกิดเสียงหนึ่งที่ดังกึกก้องขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็กลับรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ เสด็จพ่อยังหนุ่มแน่นขนาดนั้นแท้ ๆ
พระชายาอานกลับไม่คิดอะไรมาก นางได้กลับเมืองหลวงก็มีความสุขแล้ว เพราะมีโอกาสได้กลับมารวมตัวกับพวกนางอีก ช่วงเวลาที่อยู่เจียงเป่ย นางก็คิดถึงพวกพี่น้องสะใภ้แทบแย่แล้ว
ดังนั้น ในวันที่มาถึงเมืองหลวง นางจึงพาอานจือล่วงหน้าไปที่จวนอ๋องฉู่ก่อน
นางรู้เรื่องการแต่งงานของฮูหยินเหยา ดังนั้น จึงจัดเตรียมของขวัญให้ตามหลัง