บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1459 หรือเจ้ายังคิดว่าอยากให้ถูกกุมไว้ในมือของผู้ชาย
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1459 หรือเจ้ายังคิดว่าอยากให้ถูกกุมไว้ในมือของผู้ชาย
หยู่เหวินเห้าพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ไร้สาระสิ้นดี ทำไมข้าจะไม่คิดเพื่อเขาล่ะ? แต่เรื่องนี้เพิ่งผ่านไปได้นานเท่าไหร่เอง? หลังจากนี้เขาอยากจะแต่งสักสามคน ห้าคน หรือเจ็ดคน ข้าก็เข้าไปยุ่งไม่ได้ แต่ตอนนี้มันไม่ได้ นี่ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะก่อเรื่องหรอกรึ? ”
อ๋องอานผายมือออก “ถึงอย่างไรเรื่องนี้ข้าก็เข้าไปยุ่งไม่ได้ เจ้าไปคุยกับเขาเองเถอะ ข้าจะไม่เป็นฝ่ายเข้าไปถามแน่ ๆ”
“เจ้าเป็นคนวางอุบายอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่?” หยู่เหวินเห้าถาม
อ๋องอานพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าจะวางอุบายอะไรได้ล่ะ? หรือเจ้าคิดว่าข้ามีความสามารถขนาดพาตัวคุณหนูโจวคนนั้นไปส่งถึงบนเตียงของเขาได้? เขาโตขนาดนี้แล้ว ตัวเองควรทำอย่างไร เขาก็ควรรู้ตัวเองดี พวกเราไปยุ่งอะไรด้วย? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? เจ้าเป็นรัชทายาท แต่เจ้ายังไม่ได้เป็นฮ่องเต้ ถ้าเจ้าชอบยุ่งมากนัก ก็ไปยุ่งแต่กับเรื่องในจวนอ๋องฉู่ของเจ้าเถอะ จะยุ่งเรื่องของคนอื่นไปทำไม?”
เมื่อหยู่เหวินเห้าได้ยินดังนี้ ก็ตกใจจนผงะ “ความหมายของเจ้าคือ พวกเขาสองคนมีอะไรกันแล้วรึ?”
อ๋องอานเอามือไพล่หลัง “ข้าก็ไม่รู้ ข้าแค่พูดเท่าที่รับรู้มา ส่วนเรื่องระหว่างเขากับคุณหนูโจว ข้ารู้มาแค่ว่าคุณหนูโจวนั่นเอาแต่วิ่งตามส่วนเขาก็เอาแต่วิ่งหนี บอกว่าถ้าไม่ใช่เขาก็จะไม่แต่งกับใครทั้งสิ้น เจ้าเมืองโจวก็เคยมาถามข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน อยากให้ข้าช่วยเป็นพ่อสื่อ ข้าเคยเอ่ยปากเรื่องนี้ขึ้นมา ก็ถูกเขาไล่ตีออกจากจวนไปเลยล่ะ”
“ถูกไล่ตีออกไปเลยรึ? นั่นก็หมายความว่าเขาไม่ได้เจตนาอย่างนั้นสินะ?” เมื่อได้ยินประโยคนี้ หยู่เหวินเห้าก็รู้สึกโล่งอก แต่แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง “ในเมื่อเขาเองไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น ทำไมถึงพาคนกลับเมืองหลวงมาด้วยล่ะ?”
“ เกรงว่าคุณหนูโจวคนนั้นจะไล่ตามกลับมาเองมากกว่า เจ้าเองก็รู้นิสัยพี่สามดี เขาไม่ค่อยจะปฏิเสธคนอื่น อย่างมากก็แค่ไม่สนใจ แต่ระหว่างทางกลับ ถ้านางเดินทางของนางเอง ส่วนเขาก็เดินทางของเขาเอง การจะขับไล่นางไปมันใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ นี่ แล้วถ้าจะให้พูดไป เรื่องนี้เจ้าจะร้อนใจไปทำไมล่ะ? ทั้งยังโกรธขนาดนี้อีก มันเป็นความผิดตรงไหนรึ?” ฟังน้ำเสียงของอ๋องอานดูสุภาพอ่อนโยนขึ้น รวมทั้งกิริยาท่าทางก็เปลี่ยนไปด้วยเล็กน้อย
หยู่เหวินเห้าปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าหยวนเคยบอกว่า จิ้งเหอเคยมีความผิดปกติทางอารมณ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งนางเรียกมันว่าภาวะโรคซึมเศร้า เมื่อก่อนตอนที่นางอารมณ์แปรปรวนหนัก ๆ จิ้งเหอถึงกับพยายามฆ่าตัวตาย แม้ว่าตอนนี้จะดีขึ้นแล้ว แต่โรคนี้จะกลับมาเป็นซ้ำได้ง่ายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากถูกกระตุ้น ซึ่งแทบบอกไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
อ๋องอานถึงกับตะลึง “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกกระมัง?” แต่เมื่อย้อนนึกถึงฉากก่อนหน้านี้ ที่นางอาละวาดหนัก ๆ จนกระโดดจากกำแพงเมือง นั่นเป็นอะไรที่น่าตกใจมากจริง ๆ ในใจจึงอดรู้สึกหวาดหวั่นไม่ได้
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “ตัวนางเองตัดสินใจที่จะอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตแล้ว จู่ ๆ เจ้าสามก็พาผู้หญิงคนหนึ่งกลับมา นางจะทนรับเรื่องนี้ได้หรือ? ช่างเถอะ! ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”
ฝ่ายอ๋องอานกลับมีความคิดอื่น ถามว่า “ จริงสิ เสด็จพ่อมีรับสั่งให้ข้ากลับเมืองหลวง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นเรื่องอะไร?”
หยู่เหวินเห้าปรายตามองเขาแวบหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ?”
“เจ้าไม่รู้รึ? เจ้าต้องรู้แน่ ๆ ตอนนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรเสด็จพ่อล้วนบอกเจ้าทุกอย่าง มีเรื่องสำคัญอะไรใช่หรือไม่?” อ๋องอานลองถามหยั่งเชิง
หยู่เหวินเห้าสลัดมือของเขา พูดว่า “หรือบางทีเสด็จพ่ออาจจะทรงรับสนมใหม่”
“ ไร้สาระ เจ้าจะพูดหรือไม่?” อ๋องอานรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้าก็ไปถามเองสิ พรุ่งนี้จะเข้าวังอยู่แล้วไม่ใช่รึ? ถามเองเลย”
อ๋องอานพูดอย่างมีโทสะว่า “ข้าจะกล้าถามได้อย่างไรล่ะ? เขาพูดอะไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ต่อให้เขาจะสั่งให้ข้ากลับมาเมืองหลวงเดือนละครั้ง ข้าก็ไม่กล้าถามหรอก ข้าจะไปเทียบกับเจ้าได้อย่างไรกัน? ตอนนี้เจ้าเป็นลูกชายคนโปรดของเขาไปแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องถามจากเจ้าสิ”
หยู่เหวินเห้าตบ ๆ ไหล่เขาเบา ๆ แล้วพูดกวนโมโหเขาไปประโยคหนึ่งว่า “ไม่ ตอนนี้ลูกชายที่เสด็จพ่อโปรดปรานที่สุดคือเจ้าสิบ เจ้าควรไปถามเจ้าสิบต่างหาก!”
อ๋องอานจ้องเขาเขม็ง “สนุกมากหรือไม่?”
เขาหันหลังเดินเข้าไปข้างใน พูดอะไรบางอย่างกับแขกสองสามคำ แล้วสั่งให้ผู้ดูแลส่งพวกเขาออกไป หยู่เหวินเห้าปรายสายตามองเล็กน้อย เขาพอจะรู้จักสองสามคนนี้ พวกเขาเป็นทหารส่วนหนึ่งในกองทัพ ทันทีที่เจ้าสี่กลับมาก็รีบสั่งให้พวกเขามาหา เห็นได้ชัดว่าคงอยากสอบถามเรื่องนี้ เดาว่าคงจะสงสัยถึงจุดประสงค์ที่จู่ ๆ เสด็จพ่อก็เรียกตัวเขากลับเมืองหลวง ในใจเขาก็คงจะเกิดความลังเลไม่เชื่อมั่นขึ้นมา
นี่เจ้ายังรู้จักกลัวด้วยรึ?
หลังจากที่แขกกลับไป อ๋องอานก็เชิญหยู่เหวินเห้าเข้ามา หลังจากนั่งลงก็พูดว่า “คุณหนูโจวคนนี้มีนิสัยใจคอค่อนข้างคล้ายกับฮู่เฟยมากทีเดียว หากนางตัดสินใจแล้วจะไม่ยอมปล่อยมือเด็ดขาด คอยสะกดรอยตามพัวพันพี่สามมานานเหมือนกันแล้ว ทุกวันนางจะวิ่งไล่พี่สามก็จะคอยวิ่งหนี ประเพณีพื้นบ้านของเจียงเป่ยค่อนข้างเปิดกว้าง ดังนั้น จึงไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับการกระทำของนาง ตอนแรกพี่สามก็ไม่สนใจนางหรอก ต่อมาพี่สามเข้าไปสำรวจภูมิประเทศในภูเขา คุณหนูโจวคนนั้นก็ไล่ตามเข้าไปด้วย แล้วไม่ระวังพลัดตกลงไปในกับดักของนักล่า ประจวบกับบังเอิญมีหิมะตกหนัก เลยต้องติดอยู่บนภูเขาเป็นเวลาสองวัน หลังออกมาได้ พี่สามถึงค่อยเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อนาง แต่ก็ไม่ถึงขั้นกระตือรือร้นอะไร แต่พอเจ้าเมืองโจวเห็นดังนั้น ก็คิดไปว่าพี่สามเริ่มมีใจให้แล้ว เลยสนับสนุนให้คุณหนูโจวไล่ตามพี่สามต่อ ก่อนจะกลับเมืองหลวงครั้งนี้ ข้าได้เจอเจ้าเมืองโจว เขาบอกว่าคุณหนูโจวก็จะไล่ตามพี่สามกลับเมืองหลวงมาด้วย เดิมทีข้าก็คิดว่าจะไปถามพี่สามให้รู้เรื่องเหมือนกัน แต่ก็ไม่เห็นเขา ข้าเลยกลับมาก่อน เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้นี่ล่ะ ”
“ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าก็อย่าไปเพิ่มเชื้อไฟให้มันโหมแรงขึ้นก็แล้วกัน ” หยู่เหวินเห้าพูดจบ ได้รู้ว่าเจ้าสามไม่ได้มีใจ ก็รู้สึกวางใจลงได้มาก จึงไม่มัวพูดพิรี้พิไรกับเขา ลุกขึ้นแล้วจากไปทันที
อ๋องอานหน้ามุ่ย เดิมทียังคิดจะตะล่อมถามบางอย่างออกจากปากเขาอยู่แท้ ๆ
เขารู้สึกใจคอไม่สู้ดีจริง ๆ กลัวว่าเสด็จพ่อจะคิดบัญชีย้อนหลัง แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะอันที่จริง หลังการเผชิญความวุ่นวายเมื่อครั้งก่อน เขาเองก็นับว่ามีส่วนทำความดีความชอบให้ประเทศชาติ ทั้งยังแขนขาดไปข้างหนึ่งด้วย ถ้าพูดกันตามเหตุผล เสด็จพ่อก็คงจะไม่คิดบัญชีเก่าอีกแน่
แน่นอนว่า เขายิ่งไม่หวังให้เป็นไปตามการคาดเดาอีกอย่างหนึ่ง แม้เขาจะรู้ว่าช้าเร็วเรื่องนี้ก็ต้องมาถึง แต่เสด็จพ่อก็ยังหนุ่มแน่นอยู่มาก
พอคิดดูแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่แล้วมาเคยมีฮ่องเต้ที่ยังแข็งแรงยอมสละราชบัลลังก์เองเสียที่ไหน? ก่อนหน้านี้ก็เพราะไท่ซ่างหวงประชวรหนัก ถึงได้ยอมส่งต่อบัลลังก์ให้เสด็จพ่อ
ในใจอดรู้สึกกระสับกระส่ายไม่ได้ เมืองหลวงหาความสงบสุขเหมือนที่เจียงเป่ยไม่ได้เลยจริงๆ
องครักษ์ลับผีไปสืบถามดูแล้ว ไม่ถึงสองวัน ก็มีข่าวส่งกลับมา
“ ทูลรัชทายาท อ๋องเว่ยเดินทางกลับเมืองหลวงเองเพียงลำพัง แต่ว่า ที่ด้านหลังของเขาไม่ไกลนัก มีผู้หญิงคนหนึ่งไล่ตามอยู่จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ ควบม้าตามมา คอยรักษาระยะห่างหนึ่งลี้”
“ลองถามอ๋องเว่ยแล้วหรือไม่?” หยู่เหวินเห้าถาม
องครักษ์ลับผีตอบว่า “ถามแล้วพ่ะย่ะค่ะ อ๋องเว่ยบอกว่าผู้หญิงคนนั้นแซ่โจว เป็นลูกสาวของเจ้าเมืองเจียงเป่ย สะกดรอยตามเขากลับเมืองหลวงมาด้วย”
“แล้วเขาไม่ไล่นางไปรึ?”
“ เคยไล่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่คุณหนูโจวบอกว่านางจะไปเยี่ยมญาติที่เมืองหลวง เขาก็ทำอะไรไม่ได้” องครักษ์ลับผีตอบ
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้ว ทำไมพี่สามถึงได้มีดวงดอกท้อแบบนี้นะ? เขาไม่เห็นจะมีบ้างเลย
“นานแค่ไหนกว่าเขาจะถึงเมืองหลวง?” หยู่เหวินเห้าถาม
“อีกไม่นานพ่ะย่ะค่ะ ราว ๆ ครึ่งวัน คงมาถึงเมืองหลวงในช่วงค่ำ ๆ” องครักษ์ลับผีตอบ
หลังจากหยู่เหวินเห้าสั่งให้เขาออกไป ก็หมุนตัวเดินกลับไปที่พระตำหนักเซี่ยวเยว่เพื่อคุยเรื่องนี้กับเจ้าหยวน
“ ตอนนี้ยืนยันได้แล้วว่าผู้หญิงแซ่โจวแอบตามพี่สามมา ด้วยนิสัยที่เป็นอยู่ตอนนี้ของพี่สาม คิดว่าคงไม่สามารถขับไล่ไปได้แน่ ได้ยินเจ้าสี่บอกว่าคุณหนูโจวคนนั้นมีนิสัยค่อนข้างดื้อรั้นชอบตามตอแย ถ้ามาถึงเมืองหลวงแล้วเกิดไปก่อเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นมา จนเป็นข่าวลือลอยไปเข้าหูจิ้งเหอ ก็เกรงว่าจะไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นข้าลองคิดดูแล้ว ทำไมเจ้าไม่ลองไปหยั่งเชิงกับจิ้งเหอดูก่อนล่ะ? ให้นางได้รู้ว่าคุณหนูโจวนั่นไล่ตามมาถึงเมืองหลวงด้วย แบบนี้อย่างน้อยก็ไม่ถึงกับทำให้นางเข้าใจพี่สามผิด”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “เจ้าว่าพวกเรามีปฏิกิริยาอ่อนไหวเกินไปหรือไม่?”
หยู่เหวินเห้านั่งลง ดูมีท่าทีกังวลไม่น้อย “ประเด็นหลักคือ ที่เสด็จพ่อสั่งให้พวกเขากลับเมืองหลวง ก็เพื่อเรื่องสละราชบัลลังก์เรื่องหนึ่ง หากราชวงศ์เกิดเรื่องที่ทำให้ไม่มีความสุขขึ้นมาตอนนี้ หรือเกิดเรื่องอะไรที่จบแบบโศกนาฏกรรมขึ้นมา งานใหญ่ของเรางานนี้ยังจะทำต่อไปหรือไม่? งานแต่งงานในยุคใหม่จัดได้ง่ายดายขนาดนั้น ถ้าเราจะจัดงานใหญ่ในเมืองหลวงก็สามารถจัดให้ใหญ่โตได้ เมื่อถึงเวลา พวกท่านแม่ยายก็จะต้องมากันครบแน่ พูดตามจริง การที่พวกเขาต่างอยู่กันอย่างสงบสุขก็เป็นเรื่องที่วิเศษที่สุดแล้ว ถ้าจับพลัดจับผลูมาเกิดเรื่องของคุณหนูโจว มันจะทำให้ทุกคนขุ่นข้องหมองใจเปล่า ๆ พี่สามนี่ก็จริง ๆ เลย ในเมื่อใจไม่ได้ยินยอม ทำไมถึงไม่ปฏิเสธให้เด็ดขาดไปเลยนะ?”
หยวนชิงหลิงได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม “ถ้านิสัยของคุณหนูโจวเป็นเหมือนไฟ ด้วยวิธีรับมือผู้หญิงของอ๋องเว่ย จะไปรับมือนางไหวได้อย่างไรล่ะ? ไม่ต้องพูดถึงอ๋องเว่ยหรอก ขนาดเสด็จพ่อ ตอนแรกก็ยังไม่มีวิธีรับมือฮู่เฟยเลยไม่ใช่หรือ? ”
หยู่เหวินเห้าแอบแลมองหยวนชิงหลิงแวบหนึ่ง “เจ้าว่า ทำไมผู้ชายตระกูลหยู่เหวินเราถึงถูกกุมไว้ในมือของผู้หญิงกันหมดนะ”
หยวนชิงหลิงหัวเราะพลางเตะเขาไปทีหนึ่ง ” หรือเจ้ายังคิดว่าอยากให้ถูกกุมไว้ในมือของผู้ชายล่ะ?”